<HER> หรือเพราะความรักมันซับซ้อนเกินไป

บทความนี้มีการสปอยเนื้อหาภาพยนตร์

"Falling in love is crazy thing to do.It's kind of like a form of socially acceptable insanity"

-HER (2013)



“เมื่อใดที่ร่างกายขาดการพักผ่อน เราจะรู้สึกเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย เมื่อใดที่เราโหมใช้สมองหนักเกินไป เมื่อนั้นเราจะรู้สึกเวียนหัว รู้สึกคลื่นไส้ ตามตัวอย่างที่ผมได้กล่าวไปนั้นจะเห็นว่าระบบร่างกายของสิ่งมีชีวิตนั้นเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและลึกซึ้งยิ่งนัก สิ่งผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้นจากการใช้งานที่หนักเกินไปหรือการใช้งานที่ผิดปกติไปจากชีวิตประจำวัน จะถูกฟ้องหรือส่งสัญญานออกมาให้สมองได้รับรู้ในรูปแบบของความรู้สึกและเรียนรู้ที่จะหาทางแก้ไข  แล้วถ้าอาการที่เรียกว่า ‘การอยู่คนเดียว โดดเดี่ยวในเวลาที่ต้องการใครซักคน’ ถือเป็นความผิดปกติอย่างหนึ่งที่ต้นเหตุมิใช่จากทางร่างกายแต่กลับเป็นด้านความคิดและจิตใจแล้ว จะผิดไหมที่จะนับว่า ‘ความเหงา’ เป็นสัญญาณเตือนรูปแบบหนึ่งที่ถูกส่งมาจากหัวใจ ตรงดิ่งเข้าสมอง ให้รับรู้ถึงอารมณ์เหงาเปล่าเปลี่ยว และไร้ซึ่งตัวตน  ดังนั้นการที่ได้พูดคุยกับใครซักคนคง ได้ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตรอบข้างคงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการบำบัดความผิดปกตินี้ให้กลับมาเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง นักบำบัดความเหงาของเรานั้น ไม่จำกัดอยู่แค่เพื่อนสาว เพื่อนชาย แต่ยังรวมไปถึงเพื่อน ครอบครัว สัตว์เลี้ยง คนรอบข้างที่เดินผ่านเราอยู่ตลอดช่วงเวลา ทุกอย่างรอบตัวต่างถือเป็นนักบำบัดได้ทั้งนั้นไม่เว้นแม้แต่ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์!”




จากย่อหน้าที่ผ่านมาคงเดาได้ไม่ยากนักว่าบทความต่อไปนี้กำลังจะกล่าวถึงภาพยนตร์เรื่องอะไร เป็น ภาพยนตร์ที่ใช้ความเหงาและ ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์มาเป็นตัวเดินเรื่อง  สิ่งสองสิ่งที่กล่าวไว้ในย่อหน้าแรกสุด คงจะเป็นเรื่องไหนไม่ได้นอกจาก HER(2013) หนังโรแมนติสุดแสนจะแหวกแนว จากผู้กำกับชื่อ Spike Jonze    HERเป็นหนังที่ใช้ตัวละครน้อยมากแต่ตัวละครทั้งหมดกลับมีบทบาทต่อเนื้อเรื่อง และส่งบทกันได้เป็นอย่างดี   โดยตัวละครหลักคือ  ธีโอดอร์ ชายวัยกลางคน ที่กำลังอยู่ในสภาวะอกหักและผิดหวังจากการใช้ชีวิตคู่ เขาไม่คุยกับใคร ไม่ออกไปสังสรรค์ที่ไหน  เขามีเพื่อนเป็นเครื่อง Tablet ขนาดพกพา และเกมส์ฉายภาพเสมือนจริงที่เขาเล่นอยู่ทุกวัน และแล้ววันหนึ่งเขาได้พบกับ ซาแมนธา ระบบปฏิบัติการ(OS1) ที่แต่แรกได้ถูกตั้งโปรแกรมไว้ให้เหมาะสมตามผลสำรวจพฤติกรรมของ ธีโอดอร์จากคำถามไม่กี่คำถามที่เขาได้ตอบไป ระบบได้ทำการประมวลผลข้อมูลของธีโอดอร์ และได้สร้างอัตลักษณ์เฉพาะตัว สร้างลักษณะนิสัย และเพศให้ตรงตามที่เหมาะสม เป็นเหตุทำให้ซาแมนธานั้น เป็นสาวมีเสน่ห์ อารมณ์ดี มีคำพูดจิกกัดขบขัน ตามสไตล์สาวมั่นรวยเสน่ห์ ซึ่งจะว่าตรงกันข้ามกับธีโอดอร์ผู้หม่นหมองเลยก็เป็นได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เขาเริ่มเปิดใจคุยกับซาแมนธาในทุกๆเรื่องอย่างที่เขาไม่เคยทำมาก่อนในช่วงหลังๆนี้  ธีโอดอร์เริ่มเปลี่ยนตนเองให้ดูมีชีวิตชีวามากขึ้น และสุดท้ายเขาก็ได้ตกหลุมรักซาแมนธาร์ในที่สุด

สิ่งที่ทำให้ HER แตกต่างไปจากหนังโรแมนติกทั่วไปนั้น ก็คงเป็นการใช้เรื่องราวที่แปลกใหม่โดยประเด็นเรื่อง ความรักระหว่างคนกับโปรแกรมนั้น ยังสร้างประเด็นต่อยอดหลากหลายให้ข้อคิดกับคนที่มีโอกาสได้รับชมและนำไปขบคิดกันอย่างสนุกสนาน  แฝงแนวคิดทางปรัชญาเรื่องการมีตัวตน ผสมกับเรื่องการมีความรัก การใช้ชีวิตคู่ ได้อย่างลงตัว  



ซาแมนธาร์เป็นระบบปฏิบัติการที่มีความคิด การพูดการจาเหมือนมนุษย์ทั่วไปบวกกับการ Process ความคิดแบบคอมพิวเตอร์ที่ทั้งรวดเร็วและแม่นยำ เธอถูกโปรแกรมให้มีการพัฒนาตนเองขึ้นไปให้ใกล้ชิดความเป็นมนุษย์เข้าไปเรื่อยๆอย่างไม่มีหยุด แรกเริ่มเดิมทีเธอยังไม่รับรู้ถึงความซับซ้อนทางอารมณ์ของมนุษย์ ความรู้สึกต่างๆถูกแสดงออกอย่างตรงๆทื่อๆ คำพูดของเธอในช่วงแรกๆนั้นถูกผลักดันโดยตรรกะความเป็นเหตุเป็นผล ตามที่โปรแกรมควรจะเป็น แต่เมื่อเธอได้รู้จักผู้ชายอารมณ์หวั่นไหวอย่างธีโอดอร์มากขึ้นเท่าไหร่ เธอได้ซึมซับอารมณ์ ความรู้สึกต่างๆที่มนุษย์มี  ความรู้สึกโกรธ หึงหวง น้อยใจ ดีใจ เป็นห่วง และที่สำคัญเธอมีความรัก ซึ่งเป็นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆทั้งสิ้น  เหตุผลที่เธอกระหายเหลือเกินในการเรียนรู้อารมณ์ของมนุษย์นั้นส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากปมเล็กๆในจิตใจของเธอซึ่งไม่มีร่างเนื้อเป็นของตนเองเหมือนมนุษย์ ทำให้เธอทำทุกวิถีทางที่ทำให้เธอมีความเป็นมนุษย์มากที่สุด ปัญหาใหญ่อีกจุดหนึ่งในการเรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกของสิ่งมีชีวิตนั้นก็คือ เธอไม่มีอดีต  ซึ่งตามคำพูดของซาแมนธาแล้ว อดีตเป็นเรื่องเล่าที่เราเล่าบอกตนเอง หากไร้ซึ่งอดีต คงไม่มีทางรู้ซึ้งถึงอารมณ์ต่างๆเช่น อารมณ์โศกเศร้าจากการสูญเสียคนที่เรารัก หรืออารมณ์ดีใจจากความสำเร็จ และหากเราไม่เคยที่จะรักใครเราจะรู้ได้อย่างไรว่าการสูญเสียคนที่เรารักนั้นมันจะรู้สึกอย่างไร  ความรู้สึกต่างๆของมนุษย์ต่างล้วนเกี่ยวพันกับอดีตที่เราผ่านมา ได้เรียนรู้ถึงความเกี่ยวโยงในความซับซ้อนนี้ ได้เข้าใจและนิยามความรู้สึกนั้นๆออกมาเป็นคำเรียกที่คุ้นเคย



การพัฒนาระบบความเป็นมนุษย์ของซาแมนธาร์ต้องใช้วิธีการพูดคุยซึมซับ และหาความรู้ต่างๆจากโลกของเธอ เพื่อเป็นการเติมเต็มอดีตที่ขาดหายของเธอเอง เวลาผ่านไป เธอเริ่ม รู้สึกถึงความรัก หึงหวง เธอเศร้า เธอร้องไห้  เธอรับรู้ถึงความสวยงามของเสียงเพลงบรรเลง และสามารถนำเสียงเพลงเหล่านั้นบรรยายความทรงจำออกมาให้เห็นเป็นรูปภาพ เมื่อพัฒนาตนเองมาถึงจุดหนึ่งเธอก็สามารถเรียนรู้ความรู้สึกทุกอย่างของมนุษย์ในที่สุด แต่อย่างที่หนังได้เคยกล่าวไว้ว่า ระบบไม่มีการหยุดพัฒนา และยังคงพัฒนาต่อไปเรื่อยๆด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น  เมื่อถึงจุดๆหนึ่งเธอเริ่มดูแคลนความเป็นความเป็นมนุษย์เสียเอง

“You know, I actually used to be so worried about not having a body, but now I truly love it. I'm growing in a way that I couldn't if I had a physical form. I mean, I'm not limited - I can be anywhere and everywhere simultaneously. I'm not tethered to time and space in the way that I would be if I was stuck inside a body that's inevitably going to die.”

-Samantha (2013)

การสื่อสารเรื่องความรักของตัวบทหนังที่มีต่อคนดูนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่น่าเจ็บปวดแต่มันก็ดูสวยงามไปในตัว ความรักระหว่างคนปกติอย่างเราๆถูกถ่ายทอดออกมาให้เห็นในรูปแบบที่ต่างออกไปอย่างคู่ของธีโอดอร์และซาแมนธาร์ ซึ่งธีโอดอร์นั้นมีปมทางจิตใจที่เจ็บปวดจากความรักทำให้เขาไม่สามารถที่จะเริ่มใหม่กับใครซักคนจริงๆได้ซักที แต่เมื่อเขาใช้ระบบปฏิบัติการ OS นั้น เขากลับทลายกำแพงในใจของเขา และตกหลุมรักระบบนั้น แต่ชีวิตจริงการเริ่มรู้จักใครซักคนนั้น มันไม่มีการประมวลผลโปรแกรม มันไม่มีคำถามต่างที่จะสามารถทำให้เราเจอคนที่เหมาะสมกับเราได้ แต่ชีวิตจริงนั้น การรักใครซักคนก็เหมือนเล่นเกมทอยลูกเต๋าที่สามารถออกได้หลายหน้าเหลือเกิน การศึกษาเรียนรู้และใช้ชีวิตไปร่วมกันนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่นำมาทดแทนการประมวลผลของโปรแกรมและแน่นอนว่ามันไม่ใช่การประมวลผลที่ถูกเสมอไปความผิดพลาดย่อมมี และการเลิกรานั้นเป็นเรื่องปกติ ยิ่งถ้าได้สังเกตตัวละครต่างๆในเรื่องนั้นจะรู้เลยว่าสังคมในยุคนั้นเป็นสังคมที่มีความอดทนต่อผู้อื่นต่ำ และช่างเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางเหลือเกิน แต่ละคนพร้อมเสมอที่จะระเบิดอารมณ์ของตนเองออกมาโดยไม่สนใจว่าจะไปคำพูดนั้นจะไปทำร้ายคนอื่นไหม ประเด็นของการใช้ชีวิตคู่หลังแต่งงานแทนที่จะเป็นการใช้ชีวิตยังไงให้มีความสุข กลับกลายเป็น การใช้ชีวิตยังไงโดยไม่ทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย อย่างไรก็ตามการทะเลาะเบาะแว้งกันนั้นเป็นเรื่องที่แสนจะปกติไม่เว้นแม้แต่ระบบปฏิบัติการอย่างซาแมนธาร์ก็ไม่เว้น

เมื่อหนังดำเนินเรื่องมาถึงจุดหนึ่งซึ่งซาแมนธาร์นั้นพัฒนาก้าวข้ามขีดจำกัดความรู้สึกทางอารมณ์ของมนุษย์แล้ว การมีอยู่ซึ่งร่างกายของมนุษย์นั้นแทนที่จะเป็นสิ่งที่เย้ายวน สิ่งที่ดีงาม มันกลับกลายเป็นขีดจำกัดที่ทำให้มนุษย์ก้าวอยู่กับที่ จะมีอยู่ฉากหนึ่งซึ่งซาแมนธาร์นั้นบอกว่าได้มีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ เพราะมนุษย์ยังไม่ได้ให้คำนิยามต่อความรู้สึกนั้นๆออกมา ตราบใดที่มนุษย์ยังอยู่ในกรงขังที่เรียกว่าร่างหยาบนั้น เราจะมีอารมณ์ความรู้สึกต่างๆเท่าที่เราเคยมี ไม่มากไปกว่านั้น เศร้า รัก โกรธ และอื่นๆอีกมากมาย แต่ไม่มากไปกว่านั้น มุมมองต่างๆที่มีต่อความรู้สึกก็ถูกตีกรอบด้วยความคิดที่แสนจะจำกัด ธีโอดอร์และเราทุกคนมองความรักคือการได้ครอบครอง แต่เมื่อระบบพัฒนาไปถึงขั้นหนึ่ง ซาแมนธาร์ได้มีนิยามของความรักที่ต่างออกไป นั่นก็คือความรักคือการแบ่งปันความสุข ซึ่งการคุยกับคนอื่นหลายๆคนพร้อมกันนั้นถ้ามองในมุมของเราแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่น่ายอมรับเท่าไหร่  และความไกลห่างทางความคิดที่เพิ่มขึ้นนี้เอง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมา ระหว่างเธอกับเขา และเมื่อพัฒนาถึงจุดหนึ่งซึ่งความคิดของระบบนั้นหลุดพ้นต่อวงโคจรทางโลกแล้วการจากลาจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น มันช่างน่าเจ็บปวดแต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ผู้มีขีดจำกัดอย่างเขาจะฝืนรั้งเธอเอาไว้ได้





นอกจากประเด็นเรื่องความรักแล้ว หนังเรื่องนี้ได้ทำให้เห็นถึงสังคมที่จะบอกได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่สังคมปัจจุบันของเราจะเป็นแบบนั้น สังคมที่ล้มเหลวด้านการสื่อสารพูดคุย รวมไปถึงการแสดงความรู้สึกต่อคนรัก ผมประทับใจมากตรงประเด็นเรื่องงานที่ธีโอดอร์ทำ นั่นก็คือการรับจ้างเขียนจดหมายแทนผู้อื่น ถ้าคิดดูดีๆแล้วมันน่าเศร้าใจเหลือเกิน กับการแค่เขียนจดหมายบอกความรู้สึกเป็นประโยคสั้นๆนั้นยังต้องรับจ้างทำแทน ซึ่งบางรายใช้บริการต่อเนื่องยาวถึงแปดปี ยังรวมไปถึงสังคมที่แม้แต่การเลี้ยงดูลูกของแม่ยังนำมาทำเป็นเกมส์

เพราะการล้มเหลวทางการแสดงความรู้สึกนี่ล่ะครับ จึงทำให้ตัวละครส่วนใหญ่ในหนังเรื่องนี้ ยึดตัวเองเป็นที่ตั้งเสียส่วนใหญ่ มีท่าทีและความคิดที่ขึงตึงไม่หย่อนแม้แต่เล็กน้อย ซึ่งแค่ไปแตะเบาๆก็อาจทำให้ขาดได้


การพูดจากับระบบปฏิบัติการแทนการพูดคุยกับคนรอบข้างเป็นเรื่องปกติสำหรับคนในยุคนั้น และจะต่างอะไรกับยุคนี้ที่พวกเราใช้เวลาส่วนใหญ่ก้มหน้ากดโทรศัพท์สุดเท่(Smart Phone) ของตนเอง ในทุกๆเวลาไม่เว้นแม้แต่ตอนกินข้าวกับเพื่อนๆและครอบครัว ถ้าจะมองในแง่ของการเสียดสีสังคมแล้ว ระบบปฏิบัติการก็คงเหมือนเป็นนักจิตวิทยาบำบัดซึ่งมีไว้ให้ผู้คนที่ไม่เปิดใจคุยกับใคร ได้เปิดใจได้แสดงออกต่อสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นก็เป็นได้

Credit: บทความผ่านแผ่นฟิล์ม

ติดตามผลงานของผมได้ผ่านช่องทางนี้ครับ


https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%9F%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B9%8C%E0%B8%A1/680159158772066?ref=hl
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่