ไม่เคยช่วยตัวเอง แปลกไหม ? (ผู้ชาย)

กระทู้คำถาม
ผู้ชายอายุประมาณ 20 ไม่เคยช่วยตัวเองแปลกไหม ? แต่เคยแบบดูหนังอย่างว่าก็เกิดอารมณ์นะ แต่ไม่ได้ทำ
เราเคยถามเพื่อน เพื่อนเราบอกว่าแปลก มันยังบอกอีกว่าถ้าเราจะใช้งานจริงๆ จะมันใช้การไม่ได้ แต่เราเคยฝันเปียกนะ เลยงงๆว่าเราจะใช้การไม่ได้จริงไหม
เรากังวลมาก แต่ก็ไม่กล้าทำอยู่ดี เราจะเป็นอะไรไหม
ปล. ถ้าแท็กมั่วขออภัยด้วยนะ ร้องไห้ กระทู้แรก
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ทำตามใจของตนเอง. ไม่ต้องฟังใคร. เมื่อเจอของจริงใจเย็นๆ. ไม่ต้องรีบร้อน. ดูพฤติกรรมของอีกฝ่ายเป็นสำคัญด้วย.
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
ผมเห็นคุณพิมพ์ว่า คุณอยากเก็บครั้งแรกให้คนที่ใช่ เรามักมีอุดมคติว่า จะเก็บครั้งแรกไว้กับโน้นกับนี่กับนั้น ผมจะอธิบายอาจจะดูเป็นวิชาการหน่อย แต่ก็ไม่วิชาการจ๋าอะไรขนาดนั้นหรอก แต่ผมจะอธิบายให้ละเอียดเลยนะครับ เผื่อคุณจะคิดใหม่ ผมจะร่ายยาวเรื่องเกี่ยว การประกอบสร้างทางเพศเลยละกันนะครับ

จริงๆเป็นที่ถกเถียงกันในแวดวงเกี่ยวกับGender นะครับ เอาเข้าจริงค่อนข้างตกผลึกแล้วหละกับข้อถกเถียงนี้ คือ

1.รักกับเซ็กส์ ในทางหนึ่งก็เป็นของที่ควรแยกออกจากกันหรือไม่ เช่น มีผู้หญิงน่ารักๆ ยอมเสนอ หรือ เคลิ้ม, เมา, ยอม มีอะไรกับคุณอย่างเปิดเผยในบรรยากาศ2ต่อ2ในสถานที่มิดชิด คุณจะยินยอมที่จะสละความซิงของคุณหรือไม่ ทั้งที่ทั้งคู่อาจจะไม่ได้รักกัน (อารมณ์ทางเพศนำไปก่อน หรือพูดง่ายๆ ว่า One night stand) หรืออีกข้อพิสูจน์นึงคือ เรามักจะเห็นภรรยาตั้งกระทู้ว่า สามีดูหนังโป๊ และช่วยตัวเอง แม้แต่งงานแล้ว

2.แต่ในทางหนึ่งรักกับเซ็กส์ มันก็แยกออกจากความรักได้ยาก ในกรณีที่มีคู่ครอง เช่น มีแฟนแล้ว ไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นก็จะไม่สามารถทำได้ หรืออีกข้อหนึ่งคือต้องการจะเก็บซิงไว้ให้คนที่รัก ก็เช่นกัน ทั้งที่อารมณ์ ความต้องการเพศ แน่นอนว่า ต้องมีอยู่แล้ว แต่ต้องฝืนทำกับแฟน? หรือ ไม่มีแฟน ต้องฝืนเก็บซิงเพื่อคนรัก? ซึ่งข้อนี้มักจะมีกฎของมัน อาจจะเป็นกฎของสังคม เช่น สังคมฝรั่ง One night stand เป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับไทย เราอาจมีกันบ้าง แต่เราก็มักจะมองเป็นเรื่องน่าเกลียด

2 ข้อนี้ มีจุดเน้นที่แตกต่างกัน ในแง่ที่ ข้อ1 เน้นในด้านของอารมณ์แท้ๆของมนุษย์ แต่ข้อ2 มีมายาคติทีสังคมประกอบสร้างกันขึ้นมาด้วย เพราะแต่ละสังคม หรือแต่ละยุคนสมัยก็ปฏิบัติกันทางด้านเพศแตกต่างกันออกไป และจุด Focus ทางด้านเพศ ก็แตกต่างกันออกไป

สิ่งที่ผมอยากจะบอกเจ้าของกระทู้คือ คุณกำลังสร้างภาพมายาคติ ขึ้นมาเพื่อฝืนอารมณ์ตนเอง และภาพมายาคตินี้ เปลี่ยนไปตามสังคม และกาลเวลา ผมขอยกตัวอย่างให้คุณให้คุณเห็นภาพชัดอีกตัวอย่างนะครับเกี่ยวกับคำว่ามายาคติทางเพศ ผมยกตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ ในสมัย ร.5 เนี้ย ผู้หญิง เปลือยอกนะครับ(ค้นรูปในgoogleได้) สิ่งที่พวกนางปกปิดคือขาอ่อนครับ ดังนั้นจินตนาการของเพศชายในสมัย ร.5 เกี่ยวกับ ผู้หญิง เขาจะมีอารมณ์ทางเพศเมื่อจินตนาการถึงขาอ่อน ไม่ใช่หน้าอกครับ แต่ในสมัยปัจจุบันเราเปิดโชว์ขาอ่อนกัน แต่ปิดหน้าอกครับ ดังนั้นสมัยปัจจุบันเรามักจินตนาการถึงหน้าอกบ้าง ขาอ่อนบ้าง ที่ยกตัวอย่างมา

ผมจะบอกว่า มันก็คล้ายๆกับมายาคติของคุณว่า คุณต้องไม่เสียซิง หรือไม่ช่วยตัวเองเพื่อเก็บให้คนรักนั่นแหละครับ ทีนี้คุณลองกลับไปข้อ1ที่ผมเขียนข้างบน คุณจะเห็นว่ามันฝืนธรรมชาติ พอมาข้อ2 คุณจะรู้ว่า คุณจินตนาการภาพมายาคติเหล่านี้ขึ้นมาเอง และภาพมายาคติเหล่านี้มันไม่ได้มาเอง มันเกิดจากภาพมายาคติของสังคม ดังที่ผมยกตัวอย่างไปแล้วว่า ไอเดียเรื่องเก็บซิงให้คนรัก และผัวเดียวเมียเดียว(Monogamy) ม้นเพิ่งจะเป็รไอเดีนที่มาหลังๆนี่เองครับ ไอ้ละคร, ภาพยนตร์ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ว่าคนสมัยก่อน ผัวเดียวเมียเดียว รักเดียวใจเดียว มันใช้มุมมองของยุคปัจจุบันเขียน คนกำกับก็ใช้มุมมองของยุคปัจจุบันกำกับ ก็สื่ออกมาให้เราเข้าใจว่าไอ้เรื่อง เก็บซิงให้คนรัก หรือผัวเดียวเมียเดียว มันมีมานานแล้ว แต่จริงๆแล้วมันเพิ่งจะมีเมื่อไม่นานมานี้เองครับ(ไม่ถึง3เจนเนอเรชั่น) หรือแม้กระทั่งSex แบบOralนั้น King Henry VIII ก็เพิ่งเรียนรู้มาจากสาวชาวฝรั่งเศส ของอังกฤษ แน่นอน เราย่อมปฏิบัติตามกฎของสังคมที่มีขึ้นมาใหม่

ที่ผมพิมพ์มายาวๆไม่ใช่อะไรหรอก ผมว่าคุณน่ะ หนักอยู่นะครับ พูดด้วยความเคารพเลย และไม่คิดว่าคุณผิด เพราะภาพมายาคติเหล่านี้มันเกิดขึ้นจากหลายสิ่งรอบตัวคุณ เช่น สื่อเอย อะไรเอย ที่ทำให้คุณคิดว่า ต้องเก็บไว้ให้คนรัก ผมจึงยกตัวอย่างว่า ไอ้มายาคติเรื่องเพศเนี้ย มันไม่ได้ตายตัว มันหลื่นไหลได้ และผมอยากให้คุณเป็นอิสระจากภาพมายาคตินั้น ผมไม่ได้บอกว่าคุณต้องออกนอกกรอบของมายาคติเหล่านั้นหมด เช่นเรื่องผัวเดียวเมียเดียว แม้จะเป็นเรื่องใหม่ในสังคมดังที่ผมอธิบายไป แต่คุณต้องอยู่ในกรอบนี้ต่อไป เพราะกรอบนี้มันกำหนดไว้แล้วว่าถ้าคุณออกจากกรอบนี้ คุณจะกลายเป็นคนที่เรียกว่า คนไม่ดีขึ้นมาทันทีในสายตาของสังคม ซึ่งผมเองแม้จะศึกษาเรื่องGender & Sexuality แต่ก็ยังอยู่ในกรอบนี้ แต่ที่สำคัญคือ คุณควรเลือกกรอบที่เหมาะสม และไม่สุดโต่ง ผมว่ากรอบที่คุณใช้มันสุดโต่งมากๆ และผมว่ามันเป็นการควบคุมตัวเองอย่างน่าเห็นใจ

ที่พิมพ์มาอาจจะดูเหมือนคนเพี้ยนๆ ดูซับซ้อน แต่เอาเข้าจริงที่ผมพูดมาทั้งหมดพวกนี้มีสอนอยู่ในมหาลัยนะครับ ลองตามอ่านงานของ รศ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา, ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ จาก ม.ธรรมศาสตร์ ฯลฯ แล้วคุณจะเข้าใจว่า สิ่งที่คุณคิดน่ะ มันไม่แปลกหรอก แต่มันน่าเห็นใจมาก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่