รีวิวหลังจากไปดู Seventh Son มาครับ

สวัสดีครับ นี่เป็นการรีวิวครั้งแรกของผม ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

วันที่ 31 ธันวา เป็นวันแรกที่หนังเข้าครับ ซึ่งแน่นอนผมก็นัดแนะสหายรักไปดูด้วย เพื่อเพิ่มอรรถรสในการดูให้สนุกขึ้นอีกนิด ราคาตั๋วก็คนละ 170 ครับ แล้วก็จัดป็อปคอร์นกับน้ำไปด้วย มีเพื่อนมาด้วยข้อดีคือ มีเพื่อนร่วมฮา ข้อเสียคือมีคนแย่งกิน 555

พอๆนอกเรื่องเยอะและ อมยิ้ม16

จะขอแยกหัวข้อการรีวิวดังนี้ครับ คะแนนเต็ม 10

1.การดำเนินเรื่อง - แน่นอนครับ หนังแฟนตาซีแบบนี้คงจะหนีไม่พ้นแนวฟาดฟัน ใช้เวทย์มนต์ หรือมีสัตว์อสูร บลาๆมาสู้กันแน่ๆ โดยในระหว่างที่ดูก็ไม่ได้ฟาดฟันกันเลือดสาดตลอดเรื่องแต่อย่างใดครับ มีมุขตลกแซมตลอดเนื้อเรื่อง ซึ่งทำให้เนื้อเรื่องมันดูไม่ตึงเครียดจนเกินไป บทสนทนาของตัวละครไม่ยืดเยื้อจนเกินไปครับ พูดแบบรวบรัดตัดความ โอเค อนุมัติ รับบัตรเลย(ติดเล่นอีกและ)ซึ่งตามปกติแล้วหนังแนวนี้จะอธิบายพร่ำเพ้อไปถึงตำนานต่างๆซึ่งบางทีใช้เวลานานมากครับ ฟังจนคิดว่าเรื่องที่ตัวละครกำลังพูดเป็นแก่นของเรื่องเลยทีเดียว ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่อยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นบางบทสนทนาก็เข้าใจยากนิดนึงครับ เพราะในหนังแนวนี้จะใช้คำสรรพนามแบบ เจ้าๆ ข้าๆ รวมถึงสำนวนโบราณต่างๆ ที่โบราณสมชื่อคือถ้าไม่ฮา ก็คงเงียบไปพักนึง โดยรวมแล้วถือว่ารวดเร็วดีครับ ไม่ยืดมากไปจนน่าเบื่อ
การดำเนินเรื่อง เอาไป 9/10

2.ฉากและเอฟเฟคต่างๆ - สมัยนี้เรื่องฉากและกราฟฟิคสำคัญครับ บางทีเราดูหนังเรื่องนึงเราอาจจะหลงคิดว่าเป็นสถานที่จริง แต่บางทีก็ CG ล้วนๆครับ ซึ่งเราไม่มีทางแยกออกแน่ หรืออีกแง่นึงคือตอนเราดูหนังจะไม่มีการมานั่งวิเคราะห์แน่ว่าของจริงหรือ CG โดยในหนังทำได้ดีครับ สีสันของแต่ละสถานที่ทำออกมาได้ธรรมชาติ ไม่ได้ดูฉูดฉาดจนเกินงาม มองไปมองมาอาจจะคิดว่าจืดชืดไปหน่อยซึ่งนั่นก็ถูกครับ เอฟเฟคต่างๆ สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทำออกมาได้ดีครับ เคลื่อนไหวสมจริง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่นิ่งเฉยๆให้วิเคราะห์อะไรกันมากมาย หนังเรื่องนี้ถ้าจะขาดก็คงเวทย์มนต์ทั้งหลายแหล่นี่ล่ะครับ ก่อนมาดูผมก็คิดว่าจะจัดเต็มยิงลูกไฟ ใส่น้ำแข็ง เรียกสัตว์อสูรมาสู้กัน นู่นนี่นั่น ในหนังเรื่องนี้มีน้อยมากครับ มันจึงไม่ค่อยจะเข้ากับชื่อเรื่อง"สงครามหมาเวทย์"ซะเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีเลยจนหลุดกรอบหลุดเฟรมไปไกล
ฉากและเอฟเฟค เอาไป 8/10

3.ฉากต่อสู้ - ขึ้นชื่อว่า"สงครามมหาเวทย์"แล้ว ก่อนดูก็คิดได้สองแบบครับ 1.คือใช้เวทย์มนต์ห่ำหั่น ใส่กันไม่ยั้ง 2.คือฝ่ายพระเอกใช้กำลังล้วนๆตามล่าผู้ใช้เวทย์มนต์ ถามว่าหลุดกรอบมั้ย ตอบเลยว่า "ไม่ครับ" แต่ก็ไม่ถึงกับตรงกรอบเป๊ะๆไม่เบี้ยวเลย ลักษณะฉากต่อสู้ก็คล้ายๆแนว Hobbit เลยครับ ฝ่ายพระเอกใช้ดาบ อาวุธต่างๆบู๊กับศัตรูไปเรื่อย เพราะฉะนั้นเราจะไม่เห็นพระเอกมาเสกควายธนู ตะปูเรือใบ ไสยศาสตร์มืดแต่อย่างใด ในฉากต่อสู้ก็ยังมีช็อตฮาๆให้ได้ขำกันได้ครับ เรียกได้ว่าบางทีในหนังตัวละครเครียดแต่คนดูนั่งขำก๊ากกัน แต่ครับแต่ ไปเสียตรงที่ศัตรูครับ ขอบอกก่อนว่าศัตรูแต่ละตัวไม่มีมนุษย์ธรรมดาเลยครับ ในมุมมองของคนดูจะคิดว่ามันต้อง "เท่ห์ ถึก โหด โคตระจะ Immortal เลย" ใจผมเองก็คิดว่าจะสู้กันมันหยดตัวต่อตัว จะตายแล้วก็งัดไม้เด็ดมาสู้ต่อจนพระเอกเจ็บปางตาย ในความเป็นจริงมันไม่เป็นแบบนั้นเลยครับ ตรงข้ามกับที่คิดไว้หมดเลย แป่ววววว ขอบอกไว้แค่นี้ละกันมากกว่านี้ก็สปอยแล้วเดี๋ยวจะไม่สนุกเอา
ฉากต่อสู้ ให้ 7/10 ตอนแรกจะให้ 6 และ แต่เห็นว่ามีการใช้เวทย์มนต์บ้างเป็นครั้งคราวเลยให้ 7 ไป

4.ความยาวของหนัง - ข้อนี้ล่ะครับที่คาดไม่ถึงที่สุด หนังแนวนี้ส่วนมากจะกินเวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าคิดถึง Hobbit จะได้เวลาประมาณนี้เลยครับ ผมก็คิดว่าคงนั่งดูหนังจนแดดหมดเลยล่ะ ที่ไหนได้ล่ะ บอกก่อนนิดนึงผมไปดูรอบบ่ายโมงสิบห้าครับ คิดว่าจบแล้วคงซักบ่ายสามได้ แต่ที่ไหนได้ล่ะ บ่ายสองสี่สิบกว่าๆก็จบแล้วครับ ดูจนจบรู้สึกไม่สุดเลยครับ ยอมรับครับว่าหนังสนุก มันแหวกแนวฆ่า บ้าบิ่นที่ผมคิดไว้มาก แต่ถ้าความยาวของหนังมากกว่านี้ซักครึ่งชั่วโมง คนดูคงจะได้ความฟิน ความมัน และเรื่องไปพูดปากต่อปากกว่านี้อีกเยอะครับ เนื่องด้วยความยาวของหนังที่สั้นเกินไปสำหรับแนวผจญภัย แฟนตาซี
ทำให้ความสนุกที่น่าจะเต็มอิ่มกว่านี้หายไป ฉากต่อสู้ๆที่มันกว่านี้ก็หายไป ความสมเหตุสมผลของเรื่องราวจึงน้อยลงไป
ความยาวของหนัง เอาไป 6.5/10

สรุปคะแนน แอ่น แอ๊น แอ๊น
8/10 ครับ ความจริงได้ 7.6/10 แต่ด้วยความชอบในตัวอาจารย์ผู้น่านับถือ เลยปัดขึ้นให้ซะเลย เท่

ถ้ารีวิวแบ่งข้อดี-ข้อเสีย ก็...

ข้อดี
1.เป็นหนังแฟนตาซีแนวสู้รบที่ไม่ฮาร์ดคอจนเกินไปครับ ไม่มีการตัดหัว ชำแหละ ควักใส้มากินกันแน่นอน
2.เนื้อเรื่องไม่น่าเบื่อหรือชวนง่วงจนเกินไปครับ มีปล่อยมุขกันตล๊อดๆ วันนั้นคนดูเยอะ ฮากันตรึม
3.ดำเนินเรื่องกระชับ ฉับไว ไม่อืดอาด เวลาดูบทสนทนาไม่ทำให้เราจิตหลุดออกทะเลไปด้วย ฟันเฟิร์มครับ

ข้อเสีย
1.นี่ไม่ใช่หนังจอมเวทย์จ๋า (หนีข้าทำไม) อย่างที่ชื่อหนังบอกครับ ออกแนวเป็นแก่นของเรื่องซะมากกว่า เพราะฉะนั้นในหนังเราจะไม่เห็นการท่องคาถาสารพัดพิษ หรือเอ็กเพรสโส คาปูชิโน่แล้วเกิดแสงวาบแต่อย่างใด
2.หนังสั้นไปครับ ความยาวเกือบเท่ากับการ์ตูนหนึ่งเรื่องเลย จนทำให้เรารู้สึกว่ามันหนังเรื่องนี้ไม่สุดซักทางนึง

ข้อที่ผมเพิ่มเติม
1.ตอนเริ่มเรื่อง (ถ้าคุณเป็นคอเกมส์ The Witcher) เมื่อคุณเห็นท่านอาจารย์แล้ว คุณอาจจะลืมไปชั่วขณะหนึ่งว่า นี่คือหนังเรื่อง Seventh Son
2.ในหัวข้อรีวิว ไม่มีคะแนนด้านเสียง เพราะผมแยกไม่ออกครับว่า แบบไหนดี แบบไหนห่วย เอาเป็นว่าพากย์แบบฟังเข้าใจ ชัดเจน ไม่พากย์แบบทำปากอมฮอลล์ ก็พอแล้วครับ

สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า ถ้าท่านวางแผนจะไปดูหนังซักเรื่องในช่วงปีใหม่ ในตัวเลือกนั้นท่าน"ไม่ชอบหนังผี วิ่งหนีหนังไทย ไม่สนใจการ์ตูน" Seventh Son คือตัวเลือกที่ดีสำหรับปีใหม่ครับ รับรองคุ้มค่าตั๋วแน่นอน


รีวิว By อ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่