ในฐานะเป็นนักศึกษากายภาพบำบัด ก่อนที่จะสอบเข้าเพื่อนๆคนคงต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะที่ตัวเองอยากเข้า เว็บแรกๆที่จะหาคำตอบได้ง่ายๆคงหนีไม่พ้น pantip ที่ค้นใน google ก็เจอเลย หรือตอนนี้ถ้าลองคลิกเล่นๆเข้าไปอ่าน tag กายภาพบำบัด ก็จะเจอคำถามเกี่ยวกับการนวด หาสถานที่นวด เราก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับกายภาพบำบัดยังไงทั้งๆที่เรียนต่างกันมาก ซึ่งความเข้าใจผิดๆนี้เองที่อาจจะบั่นทอนกำลังใจของ คนที่กำลังทำงานกายภาพบำบัดอยู่ หรือกระทั่งผู้ที่กำลังศึกษาอยู่
เชื่อว่าอาจจะเกิดจากความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดของคนไทยหลายๆคน ที่มองกายภาพบำบัด ว่าคือการนวด ซึ่งจริงๆนักกายภาพบำบัดทำอะไรได้มากกว่าการนวดและการนวดเป็นสิ่งที่พวกเราได้เรียนเพื่อประกอบการรักษาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในครึ่งภาคการศึกษาเดียว
เรามีองค์ความรู้ทางกายภาพบำบัดอีกมาก และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ได้เพียงนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เท่านั้น

Short Wave

Ultra Sound

Taping
การที่นักกายภาพบำบัดรักษาอาจจะใช้เทคนิคการ taping mobilization stretching manipulation การดัดดึงข้อต่อ ซึ่งใช้สองมือเปล่า บวกกับอุปกรณ์ เช่น เทป ผ้ายืด เครื่องshortwave ultrasound อาจจะคล้ายการนวดรึเปล่าไม่แน่ใจถึงทำให้คนมักเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ
การรักษาต่างๆเราต้องอิงความรู้ทางมหกายวิภาคศาสตร์เพื่อให้ทราบว่ากล้ามเนื้อมัดไหนบาดเจ็บ เราจะทดสอบท่าไหนถึงจะระบุได้ว่าในการเคลื่อนไหวทิศทางนี้ที่มีกล้ามเนื้อเกี่ยวข้องหลายมัดมัดไหนที่บาดเจ็บจริงๆ รวมถึงกลไกการขยับของข้อต่อและกล้ามเนื้อ เราจะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อแต่ละมัดต้องรู้จักจุดเกาะของกล้ามเนื้อมัดนัดนั้นๆ เราต้องเคาะปอดตำแหน่งไหนเพื่อกระตุ้นการไอของผู้ป่วย
เลยอยากตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาให้ๆทุกๆท่านหันมามองวิชาชีพเราอย่างถูกต้อง ในมุมมองนักศึกษาคนหนึ่ง
ถ้าจะพูดถึงวิชาชีพกายภาพบำบัด ขอเกริ่นก่อนว่ากายภาพบำบัดเริ่มเข้ามาในประเทศไทยได้ราวๆ ปี พ.ศ. 2507 หรือเข้ามาในไทยแล้วประมาณ 50 ปี ซึ่งจะเห็นว่ามีอายุน้อยมากๆ ถ้าจะเทียบอายุกับสาขาอาชีพอื่นในไทย เช่น แพทย์ พยาบาล หรือ เภสัช แต่จริงๆแล้วในต่างประเทศกำเนิดมาได้ ร้อยกว่าปีแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนไทยถึงไม่ค่อยรู้จักและเข้าใจการทำงานของนักกายภาพบำบัดมากนัก เหมือนกับคำๆนึงที่ จขกท เคยอ่านเจอว่า "อะไรที่มีอยู่นาน ย่อมเลอค่าไปตามกาลเวลา"
กายภาพบำบัด คืออะไร
(อ้างอิงข้อมูลจาก
http://th.wikipedia.org/wiki/กายภาพบำบัด )
กายภาพบำบัด (Physical Therapy หรือ Physio Therapy) เป็นวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน รักษา และจัดการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติ ที่เกิดขึ้นจากสภาพและภาวะของโรค ที่เกิดขึ้นในทุกช่วงของชีวิต
กายภาพบำบัด จะกระทำโดย นักกายกายภาพบำบัด (PT) หรือผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด(Physical Therapy Assistant) ภายใต้การดูแลและแนวทางของนักกายภาพบำบัด
นักกายภาพบำบัด จะใช้ประวัติทางการรักษา และข้อมูลจากการตรวจร่างกาย เพื่อประกอบการวินิจฉัยและ ให้การรักษา ถ้าหากว่าจำเป็น นักกายภาพบำบัดอาจจะต้องอาศัยข้อมูล หรือผลจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และการศึกษาภาพถ่ายทางรังสีด้วย การตรวจวินิจฉัยทางไฟฟ้า (เช่น การตรวจคลื่นกล้ามเนื้อไฟฟ้า, การวัดความเร็วการนำกระแสประสาท) ยังสามารถช่วยในการวินิจฉัยได้
สถานที่ทำงาน
นักกายภาพบำบัด ปฏิบัติงานในหลายลักษณะงาน เช่น ในส่วนของผู้ป่วยนอก คลินิค หรือสำนักงาน, แผนกผู้ป่วยใน เกี่ยวกับเวชกรรมฟื้นฟู, ผู้ป่วยที่ทำการฟื้นฟูอยู่บ้าน, วงการการศึกษา หรือศูนย์วิจัย, โรงเรียน, สถานพักฟื้น,โรงงานอุตสาหกรรม,ศูนย์ฟิตเนส และ สถานการฝึกสอนนักกีฬา
สาขาทางกายภาพบำบัด
หลายๆคนอาจจะนึกไม่ถึงว่ากายภาพบำบัด มีสาขาย่อยๆ อยู่หลายสาขา คือ
1. ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ หรือ ออร์โธปิดิกส์
2. ระบบทรวงอกและหัวใจ
3. ระบบประสาท
4. ในผู้ป่วยเด็ก
5. ในผู้สูงอายุ
6. กายภาพบำบัดทางด้านกีฬา
กว่าจะมีนักกายภาพบำบัดหนึ่งคน
นักกายภาพบำบัด ต้องเรียนจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ ในสาขากายภาพบำบัดซึ่งเปิดสอนในหลายๆมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ไม่จะเป็น ของรัฐ หรือ เอกชน ซึ่งสังกัดอยู่ในชื่อคณะที่แตกต่างกัน
1 คณะสหเวชศาสตร์ ภาควิชา กายภาพบำบัด (มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ นเรศวร ฯลฯ)
2 คณะเทคนิคการแพทย์ ภาควิชา กายภาพบำบัด (มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น)
3คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัย มหิดล
และมีหลายๆมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในหลักสูตรปริญญาโทหรือเอก เช่น มหิดล จุฬา ธรรมศาสตร์ เชียงใหม่ ขอนแก่น
การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาต้องเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานต่างๆ เช่น
1. Anatomy เป็นการศึกษากายวิภาคศาสตร์ ต้องผ่าอาจารย์ใหญ่เพื่อศึกษาการวางตัวของกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย ตลอดจนจุดเกาะต้นและจุดเกาะปลาย หน้าที่ เส้นประสาทและเส้นเลือดที่มาเลี้ยง อย่างละเอียด เพื่อเป็นความรู้ในวิชาการเรียนระดับสูงและขึ้นคลินิกเพื่อรักษาคนไข้ต่อไป
2. Biomechanics เป็นการศึกษากลไกการทำงานทางชีวกลศาสตร์ของกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นการนำวิชา anatomy มาประยุกต์ใช้ และต้องสามรถคลำกระดูกเพื่อระบุโครงสร้าง การวางตัวและความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อและ ligamentที่มาเกาะ และแนวการวางตัวของกล้ามเนื้อ เรียนรู้กลไกการทำงานของข้อต่อเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวและศึกษาความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ ตลอดจน ligament ที่ปกคลุมข้อต่อ
3. Range of motion เป็นการศึกษาวิธีการวัดช่วงมุมการเคลื่อนที่ของข้อต่อ โดยใช้อุปกรณ์ เช่น Goniometer มาใช้ในการวัดช่วงมุมการเคลื่อนไหว
4. Muscle manual testing เป็นการศึกษาการตรวจประเมินกล้ามเนื้อแต่ละมัดและการออกแรงต้าน
กลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในท่าทางต่างๆ และมัดที่จำเพาะในการเคลื่อนไหวแต่ละท่าทาง สามารถตรวจประเมินบอกระดับกำลังกล้ามเนื้อออกมาได้ เป็น Grade 5 4 3 2 1 0
5.physiology pathophysiology เป็นการศึกษาภาวะที่ปกติและผิดปกติ รวมถึงกลไกการทำงานและการเกิดโรคต่างๆ
6. neuroscience
7.movement analysis
8. mobilization
.
.
etc.
จริงๆยังมีอีกหลายวิชาที่ต้องศึกษา คนที่สนใจค้นหาดูได้ไม่น่าจะเกินความสามารถ ^^
เมื่อศึกษาวิชาพื้นฐานทางกายภาพบำบัดแล้วต้องมีการขึ้นไปฝึกปฏิบัติงานทางคลินิคร่วมกับการเรียนบรรยาย ทั้งแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลหรือแผนกผู้ป่วยนอกของคลินิกกายภาพบำบัด สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2.2 3 และ 4 (แตกต่างกันในแต่ละสถาบัน)
การเรียนในปี 3
จะเป็นการเรียนร่วมกับการขึ้นคลินิค ต้องเขียนรายงานเคสผู้ป่วย ที่ได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย รวมถึงการรักษาผู้ป่วย เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและวางแผนการรักษาผู้ป่วย รายงานอาจารย์และมีการนำเสนอเคส
ซึ่งวันที่ขึ้นคลินิกนักศึกษาจะเปลี่ยนจากการใส่ชุดนักศึกษาเป็นชุดกาวน์สีขาว ซึ่งเป็นยูนิฟอร์มที่แตกต่างกันในแต่ละสถาบัน และแบ่งกลุ่มย่อยๆวนขึ้นแต่ละ ward บนหอผู้ป่วยใน (ทรวงอกและหัวใจ-ออโถ-เด็ก –neuro) จนจบภาคการศึกษานั้นๆ
จบการเรียนในปี 3 เทอม 2
ในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์นี้นักศึกษาจะถูกส่งตัวไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลชุมชน ภายใต้การควบคุมดูแลของอาจารย์พี่เลี้ยงในโรงบาลนั้นๆ
มหาวิทยาลัยมหิดล

จุฬาลงกรณ์ฯ

ธรรมศาสตร์
การเรียนในปี 4
ก็จะมีการเรียนคล้ายๆปี 3 ต้องออกไปฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลอื่นๆ แตกต่างกันไป และต้องมีการสอบความรู้ทางคลินิกที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่ปี 1-4 เรียกว่า การสอบ OSCE
นอกจากนี้ยังต้องทำงานวิจัยศึกษาเรื่องที่ตนเองสนใจในสาขาต่างๆ
เมื่อจบการศึกษา
ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพกับทางสภากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย หากสอบไม่ผ่านจะไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด และไม่สามารถทำงานในการรักษาผู้ป่วยได้
และต้องมีการต่อใบประกอบวิชาชีพทุกๆ 5 ปี
กายภาพบำบัดพึ่งเข้ามาในประเทศไทยได้ไม่นาน เจ้าของกระทู้เห็นว่า การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้น่าจะเป็นเพียงไม่กี่หนทางที่ทำให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และหวังว่าซักวันหนึ่งกายภาพบำบัดในไทยจะเติบโต เหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ถ้าเรามีความเข้าใจในระบบสาธารณสุขพื้นฐานนอกจากจะเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ ให้ได้รับการรักษาที่ตรงจุด ลดภาระงานของแพทย์พยาบาลที่ไม่จำเป็น และลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เจ้าของกระทุ้มองว่าหากในอนาคตคนไทยเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคนไข้เอง
และอยากเป็นกำลังใจให้คนในสายวิชาชีพกายภาพบำบัดทุกคน วิชาชีพที่เป็นเหมือนเงา ที่อยู่เบื้องหลังผู้ป่วยในการดูแลให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ สิ่งเล็กๆที่ได้รับคือ รอยยิ้ม ของคนไข้ นั่นก็คือรางวัลที่ทำให้เราทุกคนมีกำลังใจในการทำงานต่อไป และขอบคุณทุกคนที่เข้าใจบทบาทของวิชาชีพของเรา
กระทู้นี้ถ่ายทอดจากมุมมองของนักศึกษากายภาพบำบัดตัวเล็กๆคนหนึ่งถูกผิดยังไงรบกวนพี่ๆช่วยเสริมข้อมูลที่ถูกต้อง หรือข้อมูลเชิงลึก หวังว่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆที่พบเห็นหรือน้องๆที่ต้องการศึกษา
กายภาพบำบัดคืออะไร อยากให้คนไทยเข้าใจ
เชื่อว่าอาจจะเกิดจากความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดของคนไทยหลายๆคน ที่มองกายภาพบำบัด ว่าคือการนวด ซึ่งจริงๆนักกายภาพบำบัดทำอะไรได้มากกว่าการนวดและการนวดเป็นสิ่งที่พวกเราได้เรียนเพื่อประกอบการรักษาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในครึ่งภาคการศึกษาเดียว
เรามีองค์ความรู้ทางกายภาพบำบัดอีกมาก และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ได้เพียงนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เท่านั้น
Short Wave
Ultra Sound
Taping
การที่นักกายภาพบำบัดรักษาอาจจะใช้เทคนิคการ taping mobilization stretching manipulation การดัดดึงข้อต่อ ซึ่งใช้สองมือเปล่า บวกกับอุปกรณ์ เช่น เทป ผ้ายืด เครื่องshortwave ultrasound อาจจะคล้ายการนวดรึเปล่าไม่แน่ใจถึงทำให้คนมักเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ
การรักษาต่างๆเราต้องอิงความรู้ทางมหกายวิภาคศาสตร์เพื่อให้ทราบว่ากล้ามเนื้อมัดไหนบาดเจ็บ เราจะทดสอบท่าไหนถึงจะระบุได้ว่าในการเคลื่อนไหวทิศทางนี้ที่มีกล้ามเนื้อเกี่ยวข้องหลายมัดมัดไหนที่บาดเจ็บจริงๆ รวมถึงกลไกการขยับของข้อต่อและกล้ามเนื้อ เราจะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อแต่ละมัดต้องรู้จักจุดเกาะของกล้ามเนื้อมัดนัดนั้นๆ เราต้องเคาะปอดตำแหน่งไหนเพื่อกระตุ้นการไอของผู้ป่วย
เลยอยากตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาให้ๆทุกๆท่านหันมามองวิชาชีพเราอย่างถูกต้อง ในมุมมองนักศึกษาคนหนึ่ง
ถ้าจะพูดถึงวิชาชีพกายภาพบำบัด ขอเกริ่นก่อนว่ากายภาพบำบัดเริ่มเข้ามาในประเทศไทยได้ราวๆ ปี พ.ศ. 2507 หรือเข้ามาในไทยแล้วประมาณ 50 ปี ซึ่งจะเห็นว่ามีอายุน้อยมากๆ ถ้าจะเทียบอายุกับสาขาอาชีพอื่นในไทย เช่น แพทย์ พยาบาล หรือ เภสัช แต่จริงๆแล้วในต่างประเทศกำเนิดมาได้ ร้อยกว่าปีแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนไทยถึงไม่ค่อยรู้จักและเข้าใจการทำงานของนักกายภาพบำบัดมากนัก เหมือนกับคำๆนึงที่ จขกท เคยอ่านเจอว่า "อะไรที่มีอยู่นาน ย่อมเลอค่าไปตามกาลเวลา"
กายภาพบำบัด คืออะไร
(อ้างอิงข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/กายภาพบำบัด )
กายภาพบำบัด (Physical Therapy หรือ Physio Therapy) เป็นวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน รักษา และจัดการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติ ที่เกิดขึ้นจากสภาพและภาวะของโรค ที่เกิดขึ้นในทุกช่วงของชีวิต
กายภาพบำบัด จะกระทำโดย นักกายกายภาพบำบัด (PT) หรือผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด(Physical Therapy Assistant) ภายใต้การดูแลและแนวทางของนักกายภาพบำบัด
นักกายภาพบำบัด จะใช้ประวัติทางการรักษา และข้อมูลจากการตรวจร่างกาย เพื่อประกอบการวินิจฉัยและ ให้การรักษา ถ้าหากว่าจำเป็น นักกายภาพบำบัดอาจจะต้องอาศัยข้อมูล หรือผลจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และการศึกษาภาพถ่ายทางรังสีด้วย การตรวจวินิจฉัยทางไฟฟ้า (เช่น การตรวจคลื่นกล้ามเนื้อไฟฟ้า, การวัดความเร็วการนำกระแสประสาท) ยังสามารถช่วยในการวินิจฉัยได้
สถานที่ทำงาน
นักกายภาพบำบัด ปฏิบัติงานในหลายลักษณะงาน เช่น ในส่วนของผู้ป่วยนอก คลินิค หรือสำนักงาน, แผนกผู้ป่วยใน เกี่ยวกับเวชกรรมฟื้นฟู, ผู้ป่วยที่ทำการฟื้นฟูอยู่บ้าน, วงการการศึกษา หรือศูนย์วิจัย, โรงเรียน, สถานพักฟื้น,โรงงานอุตสาหกรรม,ศูนย์ฟิตเนส และ สถานการฝึกสอนนักกีฬา
สาขาทางกายภาพบำบัด
หลายๆคนอาจจะนึกไม่ถึงว่ากายภาพบำบัด มีสาขาย่อยๆ อยู่หลายสาขา คือ
1. ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ หรือ ออร์โธปิดิกส์
2. ระบบทรวงอกและหัวใจ
3. ระบบประสาท
4. ในผู้ป่วยเด็ก
5. ในผู้สูงอายุ
6. กายภาพบำบัดทางด้านกีฬา
กว่าจะมีนักกายภาพบำบัดหนึ่งคน
นักกายภาพบำบัด ต้องเรียนจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ ในสาขากายภาพบำบัดซึ่งเปิดสอนในหลายๆมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ไม่จะเป็น ของรัฐ หรือ เอกชน ซึ่งสังกัดอยู่ในชื่อคณะที่แตกต่างกัน
1 คณะสหเวชศาสตร์ ภาควิชา กายภาพบำบัด (มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ นเรศวร ฯลฯ)
2 คณะเทคนิคการแพทย์ ภาควิชา กายภาพบำบัด (มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น)
3คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัย มหิดล
และมีหลายๆมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในหลักสูตรปริญญาโทหรือเอก เช่น มหิดล จุฬา ธรรมศาสตร์ เชียงใหม่ ขอนแก่น
การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาต้องเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานต่างๆ เช่น
1. Anatomy เป็นการศึกษากายวิภาคศาสตร์ ต้องผ่าอาจารย์ใหญ่เพื่อศึกษาการวางตัวของกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย ตลอดจนจุดเกาะต้นและจุดเกาะปลาย หน้าที่ เส้นประสาทและเส้นเลือดที่มาเลี้ยง อย่างละเอียด เพื่อเป็นความรู้ในวิชาการเรียนระดับสูงและขึ้นคลินิกเพื่อรักษาคนไข้ต่อไป
2. Biomechanics เป็นการศึกษากลไกการทำงานทางชีวกลศาสตร์ของกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นการนำวิชา anatomy มาประยุกต์ใช้ และต้องสามรถคลำกระดูกเพื่อระบุโครงสร้าง การวางตัวและความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อและ ligamentที่มาเกาะ และแนวการวางตัวของกล้ามเนื้อ เรียนรู้กลไกการทำงานของข้อต่อเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวและศึกษาความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ ตลอดจน ligament ที่ปกคลุมข้อต่อ
3. Range of motion เป็นการศึกษาวิธีการวัดช่วงมุมการเคลื่อนที่ของข้อต่อ โดยใช้อุปกรณ์ เช่น Goniometer มาใช้ในการวัดช่วงมุมการเคลื่อนไหว
4. Muscle manual testing เป็นการศึกษาการตรวจประเมินกล้ามเนื้อแต่ละมัดและการออกแรงต้าน
กลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในท่าทางต่างๆ และมัดที่จำเพาะในการเคลื่อนไหวแต่ละท่าทาง สามารถตรวจประเมินบอกระดับกำลังกล้ามเนื้อออกมาได้ เป็น Grade 5 4 3 2 1 0
5.physiology pathophysiology เป็นการศึกษาภาวะที่ปกติและผิดปกติ รวมถึงกลไกการทำงานและการเกิดโรคต่างๆ
6. neuroscience
7.movement analysis
8. mobilization
.
.
etc.
จริงๆยังมีอีกหลายวิชาที่ต้องศึกษา คนที่สนใจค้นหาดูได้ไม่น่าจะเกินความสามารถ ^^
เมื่อศึกษาวิชาพื้นฐานทางกายภาพบำบัดแล้วต้องมีการขึ้นไปฝึกปฏิบัติงานทางคลินิคร่วมกับการเรียนบรรยาย ทั้งแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลหรือแผนกผู้ป่วยนอกของคลินิกกายภาพบำบัด สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2.2 3 และ 4 (แตกต่างกันในแต่ละสถาบัน)
การเรียนในปี 3
จะเป็นการเรียนร่วมกับการขึ้นคลินิค ต้องเขียนรายงานเคสผู้ป่วย ที่ได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย รวมถึงการรักษาผู้ป่วย เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและวางแผนการรักษาผู้ป่วย รายงานอาจารย์และมีการนำเสนอเคส
ซึ่งวันที่ขึ้นคลินิกนักศึกษาจะเปลี่ยนจากการใส่ชุดนักศึกษาเป็นชุดกาวน์สีขาว ซึ่งเป็นยูนิฟอร์มที่แตกต่างกันในแต่ละสถาบัน และแบ่งกลุ่มย่อยๆวนขึ้นแต่ละ ward บนหอผู้ป่วยใน (ทรวงอกและหัวใจ-ออโถ-เด็ก –neuro) จนจบภาคการศึกษานั้นๆ
จบการเรียนในปี 3 เทอม 2
ในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์นี้นักศึกษาจะถูกส่งตัวไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลชุมชน ภายใต้การควบคุมดูแลของอาจารย์พี่เลี้ยงในโรงบาลนั้นๆ
มหาวิทยาลัยมหิดล
จุฬาลงกรณ์ฯ
ธรรมศาสตร์
การเรียนในปี 4
ก็จะมีการเรียนคล้ายๆปี 3 ต้องออกไปฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลอื่นๆ แตกต่างกันไป และต้องมีการสอบความรู้ทางคลินิกที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่ปี 1-4 เรียกว่า การสอบ OSCE
นอกจากนี้ยังต้องทำงานวิจัยศึกษาเรื่องที่ตนเองสนใจในสาขาต่างๆ
เมื่อจบการศึกษา
ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพกับทางสภากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย หากสอบไม่ผ่านจะไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด และไม่สามารถทำงานในการรักษาผู้ป่วยได้
และต้องมีการต่อใบประกอบวิชาชีพทุกๆ 5 ปี
กายภาพบำบัดพึ่งเข้ามาในประเทศไทยได้ไม่นาน เจ้าของกระทู้เห็นว่า การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้น่าจะเป็นเพียงไม่กี่หนทางที่ทำให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และหวังว่าซักวันหนึ่งกายภาพบำบัดในไทยจะเติบโต เหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ถ้าเรามีความเข้าใจในระบบสาธารณสุขพื้นฐานนอกจากจะเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ ให้ได้รับการรักษาที่ตรงจุด ลดภาระงานของแพทย์พยาบาลที่ไม่จำเป็น และลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็น เจ้าของกระทุ้มองว่าหากในอนาคตคนไทยเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคนไข้เอง
และอยากเป็นกำลังใจให้คนในสายวิชาชีพกายภาพบำบัดทุกคน วิชาชีพที่เป็นเหมือนเงา ที่อยู่เบื้องหลังผู้ป่วยในการดูแลให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด เท่าที่เราจะทำได้ สิ่งเล็กๆที่ได้รับคือ รอยยิ้ม ของคนไข้ นั่นก็คือรางวัลที่ทำให้เราทุกคนมีกำลังใจในการทำงานต่อไป และขอบคุณทุกคนที่เข้าใจบทบาทของวิชาชีพของเรา
กระทู้นี้ถ่ายทอดจากมุมมองของนักศึกษากายภาพบำบัดตัวเล็กๆคนหนึ่งถูกผิดยังไงรบกวนพี่ๆช่วยเสริมข้อมูลที่ถูกต้อง หรือข้อมูลเชิงลึก หวังว่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆที่พบเห็นหรือน้องๆที่ต้องการศึกษา