กายภาพบำบัดคืออะไร อยากให้คนไทยเข้าใจ

ในฐานะเป็นนักศึกษากายภาพบำบัด ก่อนที่จะสอบเข้าเพื่อนๆคนคงต้องค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคณะที่ตัวเองอยากเข้า  เว็บแรกๆที่จะหาคำตอบได้ง่ายๆคงหนีไม่พ้น pantip ที่ค้นใน google ก็เจอเลย  หรือตอนนี้ถ้าลองคลิกเล่นๆเข้าไปอ่าน tag กายภาพบำบัด ก็จะเจอคำถามเกี่ยวกับการนวด หาสถานที่นวด เราก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกับกายภาพบำบัดยังไงทั้งๆที่เรียนต่างกันมาก ซึ่งความเข้าใจผิดๆนี้เองที่อาจจะบั่นทอนกำลังใจของ คนที่กำลังทำงานกายภาพบำบัดอยู่ หรือกระทั่งผู้ที่กำลังศึกษาอยู่


เชื่อว่าอาจจะเกิดจากความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดของคนไทยหลายๆคน ที่มองกายภาพบำบัด ว่าคือการนวด ซึ่งจริงๆนักกายภาพบำบัดทำอะไรได้มากกว่าการนวดและการนวดเป็นสิ่งที่พวกเราได้เรียนเพื่อประกอบการรักษาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ในครึ่งภาคการศึกษาเดียว  
เรามีองค์ความรู้ทางกายภาพบำบัดอีกมาก และเครื่องมือต่างๆที่ใช้ได้เพียงนักกายภาพบำบัดหรือแพทย์เท่านั้น

Short Wave


Ultra Sound


Taping


การที่นักกายภาพบำบัดรักษาอาจจะใช้เทคนิคการ taping mobilization stretching manipulation การดัดดึงข้อต่อ  ซึ่งใช้สองมือเปล่า บวกกับอุปกรณ์ เช่น เทป ผ้ายืด เครื่องshortwave ultrasound   อาจจะคล้ายการนวดรึเปล่าไม่แน่ใจถึงทำให้คนมักเข้าใจผิดอยู่เรื่อยๆ
การรักษาต่างๆเราต้องอิงความรู้ทางมหกายวิภาคศาสตร์เพื่อให้ทราบว่ากล้ามเนื้อมัดไหนบาดเจ็บ เราจะทดสอบท่าไหนถึงจะระบุได้ว่าในการเคลื่อนไหวทิศทางนี้ที่มีกล้ามเนื้อเกี่ยวข้องหลายมัดมัดไหนที่บาดเจ็บจริงๆ  รวมถึงกลไกการขยับของข้อต่อและกล้ามเนื้อ  เราจะกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อแต่ละมัดต้องรู้จักจุดเกาะของกล้ามเนื้อมัดนัดนั้นๆ เราต้องเคาะปอดตำแหน่งไหนเพื่อกระตุ้นการไอของผู้ป่วย


เลยอยากตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาให้ๆทุกๆท่านหันมามองวิชาชีพเราอย่างถูกต้อง ในมุมมองนักศึกษาคนหนึ่ง


ถ้าจะพูดถึงวิชาชีพกายภาพบำบัด ขอเกริ่นก่อนว่ากายภาพบำบัดเริ่มเข้ามาในประเทศไทยได้ราวๆ ปี พ.ศ. 2507 หรือเข้ามาในไทยแล้วประมาณ 50 ปี ซึ่งจะเห็นว่ามีอายุน้อยมากๆ ถ้าจะเทียบอายุกับสาขาอาชีพอื่นในไทย เช่น แพทย์ พยาบาล  หรือ เภสัช  แต่จริงๆแล้วในต่างประเทศกำเนิดมาได้ ร้อยกว่าปีแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนไทยถึงไม่ค่อยรู้จักและเข้าใจการทำงานของนักกายภาพบำบัดมากนัก เหมือนกับคำๆนึงที่ จขกท เคยอ่านเจอว่า "อะไรที่มีอยู่นาน ย่อมเลอค่าไปตามกาลเวลา"



กายภาพบำบัด คืออะไร  
(อ้างอิงข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org/wiki/กายภาพบำบัด )

      กายภาพบำบัด (Physical Therapy หรือ Physio Therapy) เป็นวิชาชีพทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกัน รักษา และจัดการเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวที่ผิดปรกติ ที่เกิดขึ้นจากสภาพและภาวะของโรค ที่เกิดขึ้นในทุกช่วงของชีวิต
      กายภาพบำบัด จะกระทำโดย นักกายกายภาพบำบัด (PT) หรือผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด(Physical Therapy Assistant) ภายใต้การดูแลและแนวทางของนักกายภาพบำบัด
     นักกายภาพบำบัด จะใช้ประวัติทางการรักษา และข้อมูลจากการตรวจร่างกาย เพื่อประกอบการวินิจฉัยและ ให้การรักษา ถ้าหากว่าจำเป็น นักกายภาพบำบัดอาจจะต้องอาศัยข้อมูล หรือผลจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และการศึกษาภาพถ่ายทางรังสีด้วย การตรวจวินิจฉัยทางไฟฟ้า (เช่น การตรวจคลื่นกล้ามเนื้อไฟฟ้า, การวัดความเร็วการนำกระแสประสาท) ยังสามารถช่วยในการวินิจฉัยได้


สถานที่ทำงาน
นักกายภาพบำบัด ปฏิบัติงานในหลายลักษณะงาน เช่น ในส่วนของผู้ป่วยนอก คลินิค หรือสำนักงาน, แผนกผู้ป่วยใน เกี่ยวกับเวชกรรมฟื้นฟู, ผู้ป่วยที่ทำการฟื้นฟูอยู่บ้าน, วงการการศึกษา หรือศูนย์วิจัย, โรงเรียน, สถานพักฟื้น,โรงงานอุตสาหกรรม,ศูนย์ฟิตเนส และ สถานการฝึกสอนนักกีฬา





สาขาทางกายภาพบำบัด



หลายๆคนอาจจะนึกไม่ถึงว่ากายภาพบำบัด มีสาขาย่อยๆ อยู่หลายสาขา คือ
1.    ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ หรือ ออร์โธปิดิกส์


2.    ระบบทรวงอกและหัวใจ


3.    ระบบประสาท
4.    ในผู้ป่วยเด็ก


5.    ในผู้สูงอายุ
6.    กายภาพบำบัดทางด้านกีฬา


กว่าจะมีนักกายภาพบำบัดหนึ่งคน

นักกายภาพบำบัด ต้องเรียนจบปริญญาตรีเป็นอย่างต่ำ ในสาขากายภาพบำบัดซึ่งเปิดสอนในหลายๆมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ไม่จะเป็น ของรัฐ หรือ เอกชน ซึ่งสังกัดอยู่ในชื่อคณะที่แตกต่างกัน

1 คณะสหเวชศาสตร์ ภาควิชา กายภาพบำบัด (มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน เช่น จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ นเรศวร ฯลฯ)
2 คณะเทคนิคการแพทย์ ภาควิชา กายภาพบำบัด (มหาวิทยาลัยที่เปิดสอน เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น)
3คณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัย มหิดล
และมีหลายๆมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนในหลักสูตรปริญญาโทหรือเอก เช่น มหิดล จุฬา ธรรมศาสตร์ เชียงใหม่ ขอนแก่น


การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาต้องเริ่มเรียนวิชาพื้นฐานต่างๆ เช่น
1.    Anatomy   เป็นการศึกษากายวิภาคศาสตร์ ต้องผ่าอาจารย์ใหญ่เพื่อศึกษาการวางตัวของกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย ตลอดจนจุดเกาะต้นและจุดเกาะปลาย หน้าที่ เส้นประสาทและเส้นเลือดที่มาเลี้ยง อย่างละเอียด เพื่อเป็นความรู้ในวิชาการเรียนระดับสูงและขึ้นคลินิกเพื่อรักษาคนไข้ต่อไป


2.    Biomechanics เป็นการศึกษากลไกการทำงานทางชีวกลศาสตร์ของกระดูกและกล้ามเนื้อ เป็นการนำวิชา anatomy มาประยุกต์ใช้ และต้องสามรถคลำกระดูกเพื่อระบุโครงสร้าง การวางตัวและความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อและ ligamentที่มาเกาะ และแนวการวางตัวของกล้ามเนื้อ เรียนรู้กลไกการทำงานของข้อต่อเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวและศึกษาความสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อ ตลอดจน ligament ที่ปกคลุมข้อต่อ


3. Range of motion เป็นการศึกษาวิธีการวัดช่วงมุมการเคลื่อนที่ของข้อต่อ  โดยใช้อุปกรณ์ เช่น Goniometer มาใช้ในการวัดช่วงมุมการเคลื่อนไหว


4. Muscle manual testing เป็นการศึกษาการตรวจประเมินกล้ามเนื้อแต่ละมัดและการออกแรงต้าน
กลุ่มกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในท่าทางต่างๆ และมัดที่จำเพาะในการเคลื่อนไหวแต่ละท่าทาง สามารถตรวจประเมินบอกระดับกำลังกล้ามเนื้อออกมาได้ เป็น Grade 5 4 3  2 1 0


5.physiology pathophysiology เป็นการศึกษาภาวะที่ปกติและผิดปกติ รวมถึงกลไกการทำงานและการเกิดโรคต่างๆ
6. neuroscience
7.movement analysis
8. mobilization
.
.
etc.
จริงๆยังมีอีกหลายวิชาที่ต้องศึกษา คนที่สนใจค้นหาดูได้ไม่น่าจะเกินความสามารถ ^^

เมื่อศึกษาวิชาพื้นฐานทางกายภาพบำบัดแล้วต้องมีการขึ้นไปฝึกปฏิบัติงานทางคลินิคร่วมกับการเรียนบรรยาย ทั้งแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาลหรือแผนกผู้ป่วยนอกของคลินิกกายภาพบำบัด สำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 2.2  3 และ 4 (แตกต่างกันในแต่ละสถาบัน)


การเรียนในปี 3
จะเป็นการเรียนร่วมกับการขึ้นคลินิค ต้องเขียนรายงานเคสผู้ป่วย ที่ได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกาย รวมถึงการรักษาผู้ป่วย เพื่อวิเคราะห์สาเหตุและวางแผนการรักษาผู้ป่วย รายงานอาจารย์และมีการนำเสนอเคส
ซึ่งวันที่ขึ้นคลินิกนักศึกษาจะเปลี่ยนจากการใส่ชุดนักศึกษาเป็นชุดกาวน์สีขาว ซึ่งเป็นยูนิฟอร์มที่แตกต่างกันในแต่ละสถาบัน และแบ่งกลุ่มย่อยๆวนขึ้นแต่ละ ward บนหอผู้ป่วยใน (ทรวงอกและหัวใจ-ออโถ-เด็ก –neuro) จนจบภาคการศึกษานั้นๆ

จบการเรียนในปี 3 เทอม 2
ในช่วงปิดเทอมซัมเมอร์นี้นักศึกษาจะถูกส่งตัวไปปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลต่างๆ ทั้งโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลชุมชน  ภายใต้การควบคุมดูแลของอาจารย์พี่เลี้ยงในโรงบาลนั้นๆ

มหาวิทยาลัยมหิดล


จุฬาลงกรณ์ฯ


ธรรมศาสตร์

การเรียนในปี 4
ก็จะมีการเรียนคล้ายๆปี 3 ต้องออกไปฝึกปฏิบัติงานในโรงพยาบาลอื่นๆ แตกต่างกันไป และต้องมีการสอบความรู้ทางคลินิกที่ได้เรียนรู้ตั้งแต่ปี 1-4 เรียกว่า การสอบ OSCE
นอกจากนี้ยังต้องทำงานวิจัยศึกษาเรื่องที่ตนเองสนใจในสาขาต่างๆ

เมื่อจบการศึกษา
ต้องสอบใบประกอบวิชาชีพกับทางสภากายภาพบำบัดแห่งประเทศไทย หากสอบไม่ผ่านจะไม่ได้รับใบประกอบวิชาชีพกายภาพบำบัด และไม่สามารถทำงานในการรักษาผู้ป่วยได้
และต้องมีการต่อใบประกอบวิชาชีพทุกๆ 5 ปี

กายภาพบำบัดพึ่งเข้ามาในประเทศไทยได้ไม่นาน เจ้าของกระทู้เห็นว่า การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้น่าจะเป็นเพียงไม่กี่หนทางที่ทำให้คนไทยมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น  และหวังว่าซักวันหนึ่งกายภาพบำบัดในไทยจะเติบโต เหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย  ถ้าเรามีความเข้าใจในระบบสาธารณสุขพื้นฐานนอกจากจะเป็นการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชากรในประเทศ ให้ได้รับการรักษาที่ตรงจุด ลดภาระงานของแพทย์พยาบาลที่ไม่จำเป็น และลดการใช้ยาที่ไม่จำเป็น  เจ้าของกระทุ้มองว่าหากในอนาคตคนไทยเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ต่อตัวคนไข้เอง  


และอยากเป็นกำลังใจให้คนในสายวิชาชีพกายภาพบำบัดทุกคน วิชาชีพที่เป็นเหมือนเงา ที่อยู่เบื้องหลังผู้ป่วยในการดูแลให้เค้ากลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วและมีประสิทธิภาพที่สุด เท่าที่เราจะทำได้  สิ่งเล็กๆที่ได้รับคือ รอยยิ้ม ของคนไข้ นั่นก็คือรางวัลที่ทำให้เราทุกคนมีกำลังใจในการทำงานต่อไป และขอบคุณทุกคนที่เข้าใจบทบาทของวิชาชีพของเรา

กระทู้นี้ถ่ายทอดจากมุมมองของนักศึกษากายภาพบำบัดตัวเล็กๆคนหนึ่งถูกผิดยังไงรบกวนพี่ๆช่วยเสริมข้อมูลที่ถูกต้อง หรือข้อมูลเชิงลึก หวังว่าข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคนอื่นๆที่พบเห็นหรือน้องๆที่ต้องการศึกษา
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ในบรรดาวิทยาศาสตร์สุขภาพคณะนี้น่าเรียนที่สุดถ้ามีความสามารถและทุนทรัพย์ก็ต่อให้ถึงระดับปริญญาเอกเลย
สังคมไทยเริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและจะเต็มรูปแบบในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า งานสาขานี้สำคัญมากต่อการฟื้นฟู
และไม่ใช่การปฎิบัติต่อผู้สูงอายุอย่างเดียว คนทำงานกับคอมพิวเตอร์ในสังคมข่าวสารก็ต้องการการบำบัดเช่นกัน
ยังมีผู้ป่วยอื่นอีกเช่นบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือมีการผ่าตัดเป็นต้น เหล่านี้ก็ต้องการการฟื้นฟูเหมือนกันไม่ให้แผลตึงรั้ง
เท่าที่คุยกับอาจารย์คณะนี้เปอร์เซ็นต์การได้งานทำหลังเรียนจบมีสูงมากเรียกว่าอนาคตสดใส ถ้าเทียบในด้านสุขภาพ
หากมีทุนก็สามารถเปิดคลินิกกายภาพทำงานอิสระของตนได้ขณะที่คลินิกแพทย์ ทันตะมีทั่วไปหมด ยังไม่นับร้านยา
โอกาสทำอาชืพอิสระในตัวเมืองใหญ่กายภาพนับคลินิกได้เรียกว่าในแง่การตลาดยังถือเป็น blue oceanการแข่งขันต่ำ
เด็กมัธยมยังถูกฝังหัวว่าต้องเป็นหมอ เป็นทันตะ เป็นเภสัช อยากให้ลองเปิดใจกับสาขานี้ดู อาจก้าวไปถึงศาสตร์อื่นๆ
เช่นการจัดระเบียบกระดูก  แต่หลักสูตรก็รู้สึกเข้มนะ อ่านจากที่เจ้าของกระทู้เรียบเรียงมาเรียนหนักน่าดูในเวลา 4 ปี
ขอเอาใจช่วยน้องเจ้าของกระทู้ ขอบคุณที่มาให้รายละเอียด และขอให้จบได้เกียรตินิยมนะคะ ..
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 30
ขอบคุณน้องมากเลยค่ะที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา ยิ้ม

เราเป็นนักกายภาพบำบัดคนหนึ่งที่เพิ่งจบ ช่วงแรก ๆ ที่จบมา จะเจอเพื่อนรอบข้างทักว่า แก มานวดให้หน่อยสิ หรือแม้แต่ตอนฝึกงานที่คนไข้พูดว่า หมอเขาส่งให้มานวด พี่ก็รู้สึกขมขื่นพอประมาณ 5555 แต่เข้าใจว่าคนทั่ว ๆ ไปเขายังไม่เห็นถึงบทบาทหน้าที่ของเราชัดเจนเท่าอาชีพอื่นในสาย เช่น แพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เลยอยากจะขอแชร์ประสบการณ์นิดหน่อยว่าวิชาชีพของพวกเรานั้นเกี่ยวข้องกับอะไรบ้างค่ะ

กายภาพบำบัดทางระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ

ด้านนี้ดูจะเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุด เอาแบบใกล้ตัวก็คือพวก office syndrome มีอาการปวดคอ ปวดหลัง จากการนั่งทำงานนาน ๆ หรือการอยู่ในท่าทางที่ไม่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ นักกายภาพบำบัดนั้นมีบทบาทในการรักษาโดยการใช้พวกเครื่องมือ เช่น การใช้ความร้อน/ความเย็น, ultrasound, traction, short wave ฯลฯ รวมถึงการใช้ manual technique ทั้งจัดดัดดึง คลายกล้ามเนื้อ ยืดกล้ามเนื้อ และที่สำคัญคือแนะนำการออกกำลังกายต่าง ๆ เพื่อรักษาและป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นซ้ำอีก

ส่วนตัวคิดว่าการรักษาด้วย manual ร่วมกับการใช้เครื่องมือจะช่วยในเรื่องจิตวิทยากับผู้ป่วยด้วย

นอกจากนั้นก็มีการรักษาพวก
-    การฟื้นฟูหลังการใส่พวกเฝือกหรือเครื่องพยุง ผู้ป่วยหลายคนมีปัญหาเรื่องข้อติดหรือกล้ามเนื้อหดรั้งหลังการใส่เฝือก เพราะไม่ได้มีการออกกำลังกายแบบเกร็งกล้ามเนื้อ/ขยับข้อต่อเลย เป็นเวลาหลายเดือน นักกายภาพบำบัดจึงมีบทบาทตั้งแต่เริ่มคือแนะนำการออกกำลังกายให้แก่ผู้ป่วย และรักษาด้วย manual technique หลังถอดเฝือกออก โดยสิ่งที่สำคัญคือต้องดูด้วยว่ามีการดามเหล็กหรือใส่เครื่องมืออะไรไหม เพื่อเป็นข้อระวังในการรักษา
-    การรักษาในผู้ป่วยที่เกิดอุบัติเหตุ (trauma) แล้วมีขาหัก สะโพกหลุด ใส่เฝือก ดามเหล็ก เราก็จะไปสอนการออกกำลังกายเช่นเดียวกัน เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ข้อติด กล้ามเนื้อหดสั้น/ลีบ รวมถึงสอนการเดิน การใช้เครื่องช่วยเดิน ส่วนใหญ่เราจะมีบทบาทตั้งแต่การวัดไม้ค้ำยัน/เลือกเครื่องช่วยเดินที่เหมาะสมกับผู้ป่วยเลยค่ะ
-    การรักษาในผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางโครงสร้าง เช่น หลังคด หลังค่อม เป็นต้น โดยเป็น exercise หรือ manual therapy  

กายภาพบำบัดทางระบบหัวใจและทรวงอก

ในโรงพยาบาล: ดูแลผู้ป่วยที่มารักษาตัวในโรงพยาบาล เช่น ผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับระบบหายใจ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด ผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง และมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ เป็นต้น ผู้ป่วยบางส่วนอาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดติดเชื้อ ปอดแฟบ กล้ามเนื้อลีบ นักกายภาพบำบัดจะให้การรักษาด้วยวิธี เช่น การฝึกไอ การฝึกหายใจ การเคาะปอด การดูดเสมหะ การจัดท่าทาง การออกกำลังกาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย อาการ และข้อห้ามข้อควรระวังของผู้ป่วยคนนั้น ๆ ด้วยค่ะ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน และให้ผู้ป่วยสามารถช่วยเหลือตัวเองได้  

อาจารย์มักบอกอยู่เสมอว่าเราควรดูแลผู้ป่วยแบบเป็นองค์รวม ไม่เฉพาะเรื่องการหายใจ แต่ดูทั้งอาการปวด การเคลื่อนไหวร่างกายบนเตียง การลุกขึ้นมานั่ง มาเดิน ผู้ป่วยจะได้ช่วยเหลือตัวเองได้ดีขึ้นและออกจากโรงพยาบาลได้เร็วขึ้น ^^

ในชุมชน: ให้ความรู้เกี่ยวกับโรค เช่น หอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง รวมถึงวิธีการดูแลตนเองและการออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังมีการทดสอบสมรรถภาพของปอด เพื่อประเมินและติดตามการรักษาด้วยค่ะ

กายภาพบำบัดทางระบบประสาท

เป็นสาขาย่อยอย่างหนึ่งที่สนุกมากค่ะ เพียงแค่เรารู้และเข้าใจโครงสร้าง กลไกการทำงานของร่างกาย สมอง การเคลื่อนไหว ก็สามารถครีเอทการรักษาออกมาได้หลายวิธีเลยทีเดียว โดยให้การรักษาในผู้ป่วยที่มีการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อ อัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคทางระบบประสาทอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดูแลตั้งแต่การเคลื่อนย้ายตัวบนเตียง การลุกขึ้นมานั่ง การลุกขึ้นยืน การเดินทั้งใช้และไม่ใช้เครื่องช่วยเดิน การออกกำลังกายเพื่อฝึกความแข็งแรง การฝึกการใช้มือ การรับสัมผัส เป็นต้นค่ะ

ในชุมชน: จะมีการดูแลเรื่องการประเมินความพิการ การปรับสภาพบ้านให้เหมาะสมกับความพิการ การแนะนำอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายในชุมชนมาไว้สำหรับออกกำลังกาย

ช่วงเวลาที่เห็นผู้ป่วยจากนอนอยู่บนเตียงเฉย ๆ สามารถขึ้นมาเดินได้เอง และกลับบ้านด้วยรอยยิ้ม นักกายภาพบำบัดอย่างพวกเรามีความสุขมากค่ะ  

กายภาพบำบัดในเด็ก

กายภาพบำบัดในเด็กนี่มีหลายประเภทเลยค่ะ ทั้งในเด็กปกติ เด็กสมองพิการ เด็กที่เป็นโรคหัวใจหรือทางเดินหายใจ

เด็กปกติ: เนื่องจากในปี 3 หรือ 4 นั้นจะได้เรียนเกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กมาอย่างหนักหน่วง 555 ดังนั้น นักกายภาพบำบัดจึงมีบทบาทในการตรวจประเมิน และกระตุ้นพัฒนาการของเด็กตั้งแต่แรกเกิดเลยค่ะ เช่น กระตุ้นการตะแคงตัว การชันคอ การนั่ง เป็นต้น ตอนที่ไปฝึกงานโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ได้ไปกระตุ้นการดูดกลืนในเด็กทารกด้วยค่ะ ถือเป็นประสบการณ์ดี ๆ

เด็กสมองพิการ: ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีการเคลื่อนไหวและการทรงท่าที่ผิดปกติ นักกายภาพบำบัดจึงมีบทบาทตั้งแต่การตรวจประเมิน ให้การรักษา และการป้องกัน เช่น การจัดท่าทาง ลดความตึงตัวของกล้ามเนื้อ การเพิ่มช่วงการเคลื่อนไหว กระตุ้นการเคลื่อนไหว การใช้อุปกรณ์จำพวกฝึกยืน/เดิน เป็นต้นค่ะ

เด็กที่เป็นโรคหัวใจหรือเกี่ยวกับทางเดินหายใจ: การรักษาจะคล้ายกับในผู้ใหญ่แบบที่กล่าวไปข้างต้นค่ะ แต่ต้องรู้ข้อห้ามข้อควรระวัง ต้องระวังมากกว่าผู้ใหญ่ เนื่องจากเด็กบางคนยังพูดไม่ได้ ไม่สามารถบอกได้ว่ามีอาการอย่างไร

กายภาพบำบัดทางการกีฬา

มีบทบาทในเรื่องการวางแผนการฟื้นฟู การรักษาอาการบาดเจ็บ การตรวจสมรรถภาพร่างกายด้านต่าง ๆ ค่ะ ในบางแห่งไม่แน่ใจว่าน่าจะมีการวางแผนการซ้อมร่วมกับผู้ฝึกสอนด้วย โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับชีวกลศาสตร์และสรีรวิทยาการออกกำลังกายเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บและทำให้การเคลื่อนไหวมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

กายภาพบำบัดในภาวะเฉพาะ

-    ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีการตรวจเท้าเบาหวาน ดูว่ามีแผล มีความผิดปกติในการรับความรู้สึกหรือไม่ รวมถึงแนะนำการออกกำลังกายให้แก่ผู้ป่วย
-    การออกกำลังกายในคุณแม่ก่อนคลอดและหลังคลอด
-    การออกกำลังกายทางเลือกอื่น ๆ เช่น โยคะ ไทชิ พีราติสท์ เป็นต้น

สิ่งที่เราพิมพ์มาอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการทำงานในวิชาชีพกายภาพบำบัด แต่อย่างน้อยขอให้คนทั่วไปได้เห็นถึงบทบาทของเราว่า นักกายภาพบำบัดนั้นทำอะไรได้มากกว่าการนวด อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญสุดคือตัวของนักกายภาพบำบัดเองว่าจะทำอย่างไรให้เขาเห็นความสำคัญของเรา การมีความสุขกับการทำงาน การหาความรู้และเทคนิคการรักษาใหม่ ๆ การรักษาที่ตรงจุด การใส่ใจในการรักษา จะช่วยให้เรามีตัวตนขึ้นมาเองค่ะเราเชื่อแบบนั้น เป็นกำลังใจให้นักกายภาพบำบัดทุกคนค่ะ ^^

หากมีผิดพลาดตรงไหน ให้พี่ ๆ น้อง ๆ ช่วยเสริมหรือแก้ไขด้วยนะคะ

ปล. ขอโทษด้วยค่ะ พิมพ์ยาวประหนึ่งตั้งกระทู้เอง 555
ความคิดเห็นที่ 25
ผู้ชายตรงกลางในภาพ คืออาจารย์ณัฐธกรณ์ เปียงเจริญ
เคยสอนที่คณะสหเวชศาสตร์ สาขากายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นหนึ่งในคณาจารย์ที่สอนและเป็นแรงบันดาลใจ
ให้เรามาทำงานกายภาพบำบัดทางกีฬา

ตอนนี้อาจารย์ได้ตามความฝันของตัวเองไปเป็นนักกายภาพบำบัด
ให้ทีมสโมสรฟุตบอลเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่ประเทศอังกฤษค่ะ ยิ้ม


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่