เล่ห์ลวงจันทร์ บทที่ 3

กระทู้สนทนา
บทที่ 1
http://pantip.com/topic/32990716

บทที่ 2
http://pantip.com/topic/33020292

บทที่ 3

    เขียนจันทร์จัดการล้างหน้าสีผสมอาหารบนหน้าออกจนสะอาด ปล่อยให้แจงพากองพันไปอาบน้ำบนห้อง ส่วนเธอทำหน้าที่มารับแขกกิตติมศักดิ์ของบ้าน เมื่อบ่ายคล้อยหม่อมยายของเธอออกไปงานการกุศลกับสมาคมคุณหญิงคุณนาย ส่วนแม่เธอนั้นตอนนี้ไปถือศีลอยู่ที่วัดต่างจังหวัด อีกหลายวันถึงจะกลับ ในบ้านจึงเหลือเพียงแค่เธอ กองพัน กับเหล่าคนงานในบ้าน

    “ลูกเพื่อนน้องเขียนเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ” บดินทร์ภัทรเริ่มวินิจฉัย แค่เด็กไม่พูดก็ถือว่ามีปัญหาทางพัฒนาการค่อนข้างมากแล้ว

    “น่าจะมีนะคะ แต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ฉันก็เพิ่งเจอน้องขุนครั้งแรกตอนเมื่อวันสองวันนี้เอง ของแบบนี้คงต้องคอยสังเกต” หญิงสาวตอบอย่างใจเย็น ทั้งที่ยิ่งเห็นปัญหาในตัวกองพันมากมาย เธอนึกอยากจะไปแล่เนื้อคนเลี้ยงมาให้จระเข้รับประทานสุดๆ แล้วก็ตาม ปัญหาคนเลี้ยงย่อมต้องมีส่วน

    ถ้าเขาจะเอาเวลาวิ่งไล่พี่สาวเธอมาใส่ใจกองพันเพิ่มสักนิดก็คงจะดีกว่านี้...

    “ชื่อน้องขุนเหรอคะ” บดินทร์ภัทรถามอย่างไม่แน่ใจ

    “ค่ะ ชื่อน้องลูกขุน” เขียนจันทร์มองประกายตาที่แปลกไปของบดินทร์ภัทร แต่เป็นเพียงชั่ววูบ เมื่อสายตาคู่เดิมกลับมาเป็นปกติ เธอจึงไม่ทันนึกเอะใจ

    “แกดูรักสัตว์นะคะ พอพูดเรื่องช้าง แกก็ดูสนใจขึ้นมาเลย”

    “ตรงนี้ถือเป็นเรื่องโชคดีของฉันเลยนะคะ” เขียนจันทร์ยิ้มรับ เธอเหมือนได้เห็นเงาตัวเองในวัยเด็กซ้อนทับภาพของกองพัน แต่น่าเสียดาย ที่สิ่งหนึ่งบนหน้าเด็กน้อยคนนี้ไม่มีเหมือนเธอในวัยเด็ก ก็คงเป็นความสุข สนุกไปตามวัย

    กองพันดูโต และมีความคิดเกินวัยตัวเอง เขานิ่ง และมักจะเหม่อลอย

    “เอาอย่างนี้สิคะ คนรู้จักพี่กำลังจะเปิดอะควาเรี่ยมที่ต่างจังหวัด เป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเลอีกสองวัน ถ้าน้องเขียนยังว่าง ก็ลองพาน้องขุนไปดูได้นะคะ เขายังหาดารามาว่ายแสดงเปิดในอะควาเรี่ยมไม่ได้ เห็นบอกว่าไม่มีใครกล้าสักคน น้องเขียนอยากลองดูไหมคะ”

    “อย่างนั้นยิ่งดีเข้าไปใหญ่ แต่ฉันไม่ใช่ดารานี่สิคะ”

    “แค่ทายาทโรงแรมห้าดาวกลางกรุงจะไปเปิดงานให้ ผู้ร่วมงาน ผู้สื่อข่าวก็จ้องตาเป็นมันแล้วค่ะ ถ้าน้องเขียนตกลง พี่จะได้โทรไปบอกเพื่อนให้” ข้อเสนอที่ยั่วใจนั้นมีหรือที่คนรักการดำน้ำ การอยู่กับสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่จะปฏิเสธ งานนี้เธอได้ประโยชน์ และเด็กชายตัวน้อยก็จะได้สัมผัสกับโลกเสมือนใต้ท้องทะเลด้วย

    “ด้วยความยินดีอย่างยิ่งค่ะ ขอบคุณนะคะคุณชาย”

    บดินทร์ภัทรกลับหลังจากนั้นไม่นาน รถยังแล่นไปเสียงยังไม่ขาดหู ประตูวังของหม่อมยายยังไม่ทันจะปิดสนิท เสียงตึงตังฝีเท้าหนักจากบนบ้านก็มาหยุดตรงหน้าเธอ แจงมีสีหน้ากังวลอย่างเห็นได้ชัด คอยมองรอบๆ ว่ามีใครมาแอบฟังหรือไม่

    “มีอะไรแจง”

    “เมื่อวานตอนอาบน้ำให้น้องขุนแจงก็คิดว่าแจงอาจมองไม่ชัด เป็นรอยผด มดกัดอะไร แต่วันนี้แจงดูใหม่ชัดๆ มันไม่ใช่รอยมดกัดแล้วค่ะคุณเขียน มันเป็นรอยไม้เรียว ตามตัวที่เสื้อผ้าปิดก็มีรอยเขียวช้ำเต็มไปหมด”

    หัวใจคนฟังหล่นวูบ เขียนจันทร์สงสารเด็กน้อยจับใจ เธอนึกภาพความโหดร้ายที่เด็กชายถูกกระทำมาเกือบไม่ไหว กว่าเธอจะมาทรุดลงอยู่ข้างเตียงนอนในห้องเธอได้ก็ยากลำบาก เด็กชายที่นอนหลับสนิทบนเตียงเธอนั้นดูสงบนิ่ง มือบางของเธอเอื้อมไปเลิกเสื้อนอนเด็กชายออกอย่างระวัง ไม่อยากทำให้กองพันตื่น ร่องรอยเขียวช้ำบริเวณเอวขึ้นสีม่วงชัดเป็นจ้ำตามตัว และถ้ามีรอยไม้เรียวด้วย มันก็คงไม่วายอยู่ตรงหลังหรือก้นของเด็กชาย

    เขียนจันทร์น้ำตาคลอ เธอลูบศีรษะเล็กอย่างทะนุถนอมเบามือ กลัวจะไปเพิ่มความเจ็บ แม้แต่ปลายเล็บ หญิงสาวนึกโกรธ โมโหที่รักษ์ชาติปล่อยให้น้องชายตัวเองพบเจอสภาพชีวิตแบบนี้ เธอเกือบโมโหจนขาดสติยับยั้งพานเชื่อว่ารักษ์ชาติเป็นคนลงมือต่อร่างน้อยนี้ แต่เธอยังเหลือสติ และระลึกได้ รักษ์ชาติบอกว่ากองพันมีพี่เลี้ยงคอยเลี้ยงดูเขาอยู่

    มือบางดึงผ้าห่มให้เด็กชายอย่างเรียบร้อย ก่อนจะจากมาด้วยย่างก้าวอันเงียบเชียบ มาหยุดยืนเกาะราวระเบียงหน้าห้อง ใช้โทรศัพท์ไร้สายของวังจักรตรากูลโทรหาน้องชายทันที

    “พรึกนายออกเวรหรือยัง” เมื่อได้รับคำตอบที่พึงพอใจ เขียนจันทร์ไม่รอช้าที่จะโยนเข้าเรื่องที่เธอตั้งไว้ “ช่วยสืบเรื่องพี่เลี้ยงของน้องขุนให้พี่ที เอาอย่างเร็วที่สุด”

    “เกิดอะไรขึ้นเหรอพี่เขียน ผมจะโดนข้อหาบุกรุกไหม”

    “พี่มีกุญแจบ้านเขา ยังไงนายต้องช่วยพี่ เห็นแก่หลานตาดำๆ สักคน” หลังจากนั้นเขียนจันทร์จึงเริ่มวางแผนดำเนินการค้นหาความจริง

    ไม่มีอะไรที่ไม่พอใจแล้วยังเล็ดลอดสายตา หรือไม่มีการตอกหน้าคืนเด็ดขาด ส่วนตัวพ่อ ไม่สิ พี่ชายของกองพัน เธอไว้ค่อยรอให้เขากลับมา ตอนนั้นเธอคงรู้ความจริงกระจ่าง จะได้รู้ว่ารักษ์ชาติมีความผิดมากน้อยแค่ไหน จะได้เอาคืนให้เจ็บแสบเหมือนที่กองพันเคยพบเจอมา
    

    เขียนจันทร์ได้รับรายละเอียดจากบดินทร์ภัทรที่อยากให้เธอไปซ้อมดำน้ำในอะควาเรี่ยมในวันรุ่งขึ้นกับทางนั้นก่อน เพิ่งวางสายได้ไม่นาน โทรศัพท์ของวังก็กรีดเสียงร้องอีก หญิงสาวที่สวมชุดนอนผ้าบางสีเทา คลุมด้วยชุดคลุมยาวสีขาวขยับตัวเปลี่ยนท่าบนโซฟาพนักสูง ตัดสินใจรับต่อ

    “ผมเองนะพี่เขียน เรื่องที่พี่ให้ผมไปดูให้ไง บ้านนั้นมีคนอยู่นี่ เป็นผู้หญิง ผมลองเข้าไปถามก็ทำหน้าระแวดระวังไม่รับแขก แต่ก็เปิดเพลงซะดังเชียว”

    คนฟังขมวดคิ้วฉับ “ผิดหลังหรือเปล่าพรึก คุณขุนไปตะลอนอยู่ที่อังกฤษ จะมีคนอยู่ได้ไง ถ้ามีคนอยู่ เขาจะเอาลูกขุนมาฝากกันเหรอ”

    “ผมลองตะล่อมถามมาจากพวกเพื่อนบ้าน ท่าทางนิสัยพี่เลี้ยงเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดา ส่วนพี่ขุนก็ไม่ค่อยมีเวลามาดูแลหรือกลับบ้าน”

    ยิ่งได้ฟังหญิงสาวก็รู้สึกโกรธจนหน้ามืด เรียบเรียงเรื่องได้ทั้งหมด “พรึกทำยังไงก็ได้ พี่อยากรู้ว่าเขาใช้ชีวิตยังไงในช่วงที่คุณขุนไม่อยู่”

    “ผมจะพยายามนะพี่เขียน แล้วสรุปมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกี่ยวกับน้องขุนเหรอ”

    “พี่ไม่อยากพูดเรื่องนี้ทางโทรศัพท์ เดี๋ยวพรึกมาแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง ที่แน่ๆ ถ้าตอนนี้พี่นอกไส้ของพรึกอยู่แถวนี้พี่จะจับมาหักคอจิ้มน้ำพริกแล้วโยนให้ปลาฉลามกิน”

    “โยนให้หมาแมวกินก็พอมั้งพี่ แต่อาจจะยากหน่อย ระดับเสี่ยสถานบันเทิงอย่างพี่ขุนคงไม่ยอมให้พี่ไปหักคอง่ายๆ”

    “เสี่ยสถานบันเทิง” มือที่ถือโทรศัพท์สั่นด้วยความโกรธ “เสี่ยนี่หมายถึงนักเที่ยว หรือเจ้าของ”

    “เจ้าของสิพี่เขียน เขาไปเทกโอเวอร์สถานบันเทิงที่หนึ่งมา ยอมขายมรดกเพื่อที่นี่เลย ได้สักสามปีได้”

    เขียนจันทร์ไม่แน่ใจว่าน้องชายพูดอะไรอีกก่อนวางสาย ในตอนนี้เพียงแค่นึกถึงสิ่งที่รักษ์ชาติกระทำตลอดสามปีที่ผ่านมานี้ อารมณ์โกรธมากมายยิ่งปะทุ สองวันที่เธอได้มีโอกาสอยู่กับกองพัน เธอประสบกับอาการนิ่งเงียบ ไม่พูดจา และหวาดระแวงของเขา เด็กชายสามขวบต้องพบเจออะไรขนาดไหน ถึงได้ไม่ยิ้มเลยสักครั้งเดียว แล้วเขาล่ะ คนที่อ้างตัวว่าเป็นพ่อเคยสนใจอะไรในชีวิตของกองพันบ้าง

     หญิงสาวนึกอย่างหงุดหงิด ในชีวิตผู้ชายที่ชื่อรักษ์ชาติไม่เคยทำอะไรให้เธอสบายใจมาก่อน ไม่จิกใช้ ก็อารมณ์เสีย หงุดหงิดใส่เสมอ ครั้งนี้ก็โยนภาระตัวน้อยมาให้เธอ ภาระที่เธอแกล้งทำเมินเฉยไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ แม้แต่นกที่ปีกหักเธอยังเก็บมารักษาและปล่อยมันไปหลังจากหายดี แล้วเด็กตาดำๆ ที่ต้องมีชีวิตต่อไปอีกเจ็ดสิบ แปดสิบปี เธอจะให้เขาพบเจอช่วงเวลาเลวร้ายเหล่านั้น ให้เรื่องพวกนี้เป็นแผลในใจเขาไปตลอดได้อย่างไร

    เด็กก็เหมือนผ้าขาว หากผู้ใหญ่ป้ายสีดำลงไป ผ้าผืนนั้นต่อให้ซักมันก็ยากจะขาวสะอาดได้ดังเดิม แต่อย่างน้อยเธอก็อยากจะเปลี่ยนสีดำ เปลี่ยนเป็นสีที่ใสขึ้น สะอาดขึ้น เธออยากเปิดใจเด็กชายให้ได้

    ร่างระหงกลับเข้ามาในห้องที่เปิดเครื่องปรับจนอุณหภูมิลดต่ำอยู่ในหลักเลขสองต้นๆ เด็กชายกองพันหลับตาสนิท แต่หัวคิ้วยังขมวด เขียนจันทร์สอดตัวเข้าไปในผ้าห่ม ดึงร่างเล็กมากอดกระชับไว้อย่างปลอบประโลม เธอรู้สึกว่าเด็กชายขืนตัว เกร็ง แต่ยังดีที่หลับตาสนิท และค่อยๆ คลายอาการเกร็งเหลือเพียงท่าผ่อนคลาย   

    บรรยากาศอบอุ่น ที่เธอเคยรับรู้มายามกอดพ่อหรือแม่หวนคืน แม้เธอจะเป็นเด็กบ้านแตก แต่ไม่ว่าเธอมีปัญหาอะไร เพียงแค่บอกพ่อหรือแม่ พวกท่านก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเสมอ แล้วเด็กคนนี้ล่ะ...เขามีใครที่พอจะรับฟังเสียงเล็กๆ ของเขาบ้างไหม

    ที่แน่ๆ พ่อกำมะลอของกองพันคือบุคคลที่ไม่ได้เรื่องที่สุด
    

    หนังสือคณิตอย่างง่ายๆ ที่เป็นเลขบวกลบ เพียงแค่ยื่นไปเบื้องหน้าเด็กชายกองพัน ดินสอไม้ที่วางเคียงกันก็ถูกมือเล็กกำไปเขียนตัวเลขคำตอบถูกต้องลงไป หรือจะหนังสือคำศัพท์ภาษาอังกฤษกองพันก็เติมคำที่ขาดหายไปได้อย่างครบถ้วน และรวมไปถึงประโยคสนทนาง่ายๆ ที่เธอลองเขียนถาม กองพันตอบถูกต้องทั้งหมด

    “ถ้าไม่นับนิสัยหยิบอาหารเม็ดมากินอาเขียนจะชมน้องขุนมากกว่านี้นะครับ” หลังจากตอนเช้าที่เธอตื่นนอน แจงก็วิ่งเข้ามาทำหน้าตาตื่น บอกกับเธอว่าน้องขุนนั่งหยิบอาหารเม็ดสุนัขที่เลี้ยงเจ้าพุดเดิลในบ้านกินหมดไปครึ่งจาน โชคดีที่เธอมีสติมากพอจะไม่เป็นลมล้มตึงไป สั่งให้แม่บ้านห้ามเป็นการใหญ่ ตอนที่เธอลงไปเห็นเด็กชายถึงกับกำอาหารเม็ดไว้ในมือวิ่งหนี กว่าจะจัดการให้กองพันเลิกทานอาหารสุนัขได้ก็เหนื่อยกันเป็นแถว

    แล้วเธอก็ต้องขับรถไปห้างสรรพสินค้า หิ้วเด็กชาย คอยจูงไว้กลัวจะคลาดสายตา จัดการเรื่องโทรศัพท์ และไปแผนกเด็กซื้อของเล่น เสื้อผ้า หรือหนังสือเพื่อเพิ่มทักษะให้กับกองพัน จนมาถึงโรงแรมในจังหวัดชลบุรี เธอเฝ้ามองพัฒนาการทางสติปัญญาของกองพันแล้ว ไม่ธรรมดา เรื่องบวกลบทำได้เก่ง ภาษาอังกฤษก็อยู่ในระดับสูง

    “เรียนกับใครมาครับ”

    กองพันเงยหน้าขึ้นมามอง แต่ไม่ตอบ วางดินสอแล้วนั่งหลังตรงเงียบๆ เหม่อไปข้างนอกแทน เขียนจันทร์ลูบศีรษะเด็กชายอย่างเห็นใจ มองตามสายตาก็เห็นว่ามองไปยังหาดทรายและท้องทะเล “อยากไปเดินเล่นไหมครับ เดี๋ยวอาเขียนพาไป”

    เด็กชายกระโดดลงจากเก้าอี้ เดินนำออกไป ปล่อยให้ผู้ใหญ่ยิ้มตามไล่หลัง

    เสียงเคาะประตูห้องดังก่อน เด็กชายที่ส่วนสูงไม่ถึงลูกบิดถอยออกมาจากประตู ปล่อยให้เขียนจันทร์เดินขึ้นหน้าไปเปิด รอยยิ้มคุณหมอใจดีฉายออกมาหลังประตูเปิดรับ

    “พี่กำลังจะมาตาม ทางนั้นเขารอน้องเขียนอยู่ค่ะ” น้ำเสียงละมุนใจดีของบดินทร์ภัทรเผื่อแผ่มายังเด็กชายตัวเล็กด้วย “ไปดูปลากันไหมครับ”

    “ดีเลยค่ะ ฉันจะได้ฝากน้องขุนให้คุณชายดูแลหน่อย”

    “อยากว่ายน้ำไหมครับ” คุณหมอก้มลงถามด้วยรอยยิ้มบนหน้า เพียงแค่เด็กชายพยักหน้าเขียนจันทร์ก็ตั้งท่าจะโวยวาย บดินทร์ภัทรจึงรีบเอ่ยอธิบาย “ที่โรงแรมมีสระสำหรับเด็ก เดี๋ยวพี่ดูแลให้ น้องเขียนไม่ต้องกลัวนะคะ”

    “รบกวนคุณชายจริงๆ ขอโทษด้วยนะคะ”

    เมื่อบดินทร์ภัทรไม่ว่าอะไร เขียนจันทร์จึงเดินกลับเข้ามาในห้อง หยิบถุงเสื้อผ้าสำหรับกองพัน เลือกกางเกงว่ายน้ำมาใส่ถุงกระดาษแยก ส่วนเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าเป้มาสะพายหลัง ที่เก็บชุดดำน้ำที่เธอใช้ประจำอยู่ภายใน

    เห็นสายตายอมรับ ไม่ต่อต้านของกองพันยามที่คุณชายหมอยอมให้ขึ้นขี่คอเดินไป เขียนจันทร์ก็รู้สึกว่าปากเธอจะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้หุบ จะว่าไปบดินทร์ภัทรก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หม่อมยายของเธอตาถึงไม่เบา

    ผู้ชายที่รักเด็ก เขาว่ากันว่ามักมีจิตใจที่อ่อนโยน...เธอว่ามันคือเรื่องจริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่