เล่ห์ลวงจันทร์ บทที่ 6

กระทู้สนทนา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^_^

บทที่ 1
http://pantip.com/topic/32990716

บทที่ 2
http://pantip.com/topic/33020292

บทที่ 3
http://pantip.com/topic/33035387

บทที่ 4 - 5
http://pantip.com/profile/1943614



.........................................

บทที่ 6

    บดินทร์ภัทรก้มหน้าก้มตาใส่ปลอกรัดข้อมือไว้เพื่อดามไม่ให้ข้อมือข้างที่เจ็บของเขียนจันทร์เคลื่อนไหวมาก หลังจากเพิ่งถูกบีบมาจนกล้ามเนื้ออักเสบ คุณหมอหนุ่มมองท่าทีนิ่งงันไปของอีกฝ่าย ที่เอาแต่ไม่พูดจา ซ้ำยังยอมปล่อยให้เขาพาไปรักษาข้อมือก่อนจะไปทานข้าวด้วยกันอย่างไม่มีข้อบิดพลิ้ว

    “นวดยาสักอาทิตย์นะคะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

    เขียนจันทร์กะพริบตาเรียกสติของตัวเองให้กลับมาจดจ่อยังใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาเบื้องหน้า ยามที่มือของคุณหมอลงมือตรวจข้อมือให้เธอนั้น หญิงสาวแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด นอกจากแปลบปลาบบ้างประปรายยามเธอเองเผลอเคลื่อนไหว

    ความใจดี เข้าใจ และไม่ถามบีบเค้นให้เธอลำบากใจเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอนึกขอบคุณการกระทำของบดินทร์ภัทรเสมอ เขาทำให้เธอสบายใจ และปลอดภัยได้ดีกว่าการอยู่ข้างกายรักษ์ชาติ

    “สบายใจขึ้นไหม”

    อาการพยักหน้ารับ และมีสติขึ้นนั้นทำให้คุณหมอวางใจ เขาไม่รู้หรอกว่าระหว่างเขียนจันทร์กับรักษ์ชาตินั้นทะเลาะกันด้วยเรื่องอะไร แต่คงรุนแรงมากพอ ไม่อย่างนั้นข้อมือเล็กคงไม่เจ็บหนักขนาดนี้

    “คุณชายหิวไหมคะ ฉันอยากชวนลูกขุนไปกินด้วยกัน กลัวแกจะหิว” พอมีสติ เขียนจันทร์ก็เริ่มรับรู้ และคิดได้มากขึ้น เวลานี้กับรักษ์ชาติเธอแทบไม่รู้สึกอะไรอีก มันชินชา เพราะสุดท้ายหากใส่ใจในความรู้สึก เก็บทุกคำพูดของเขามาครุ่นคิดก็มีแต่จะเจ็บปวดกันเปล่าๆ เธอปล่อยวางมาได้นาน แต่ตอนนี้สิ่งหนึ่งที่เธอควรจะระวังมากขึ้นก็คงเป็นปาก และการกระทำของเธอเอง รักษ์ชาติคงจะไม่โกรธ และไม่โมโหใส่อีกหากเธอไม่ตอบโต้ ไม่เยาะเย้ยถากถาง หรือจี้ใจดำ เขาไม่ใช่เธอที่จะปล่อยวางได้ง่ายๆ

    รักษ์ชาติยิ่งกว่าวัตถุไวไฟ จุดติดง่าย และพลังทำลายล้างสูง...กับคนลูก ไม่มีอะไรที่เธอต้องไม่สนใจ เขียนจันทร์นึกสงสารกองพันมากขึ้นด้วยซ้ำ รักษ์ชาติเพียงคนเดียว ที่ทั้งอารมณ์ร้าย ไม่มีเวลาให้ลูก เธอไม่อยากให้ลูกขุนโตขึ้นมาเป็นเจ้าขุนจูเนียร์

    “ซื้อของไปกินในห้องไหมคะ เผื่อน้องขุนจะอยากอยู่กับพ่อเขา”

    “ก็ดีค่ะคุณชาย แต่คุณชายห้ามหนีกลับก่อนนะคะ”

    “ถ้าไม่มีคนไล่ก่อนพี่จะยังไม่กลับนะคะ”

    คำพูดทีเล่นทีจริงเรียกเสียงหัวเราะคนฟังได้ เขียนจันทร์อยากทำให้บดินทร์ภัทรยิ้ม มีความสุข และเป็นแสงสว่างอบอุ่นอย่างที่เธอรู้สึกในตอนนี้ตลอดไป เวลาเธอไปรบราในสงครามกับรักษ์ชาติขอให้รู้ว่าเธอจะประกอบร่างคืนสติได้ก็ต่อเมื่อได้พบบดินทร์ภัทร


    กลิ่นสปาเกตตีที่เวฟจากร้านสะดวกซื้ออบอวลไปทั่วห้อง เขียนจันทร์เพิ่งเก็บซากกล่องเปล่าใส่ถุงดำด้วยมือข้างเดียว แม้จะทุลักทุเลอยู่บ้าง เขียนจันทร์ก็ไม่ได้ปริปากบ่น เมื่อสิบนาทีก่อนบดินทร์ภัทรถูกเรียกตัวด่วนจากทางโรงพยาบาลจึงไม่ทันอยู่ทานต่อจนเสร็จ

    เขียนจันทร์รู้สึกห้องสงบน่าอยู่ขึ้นเยอะเมื่อรักษ์ชาติตั้งหน้าตั้งตาอ่านเอกสารที่ลูกน้องเอาเข้ามาให้ เธอรู้สึกดีขึ้นที่ไม่ต้องตกเป็นเป้าสายตาจ้องจับผิดของเขา

    ถุงขยะถูกมัดรวมไว้บริเวณหนึ่ง เธอตั้งใจจะเอาออกไปทิ้งหลังจากพากองพันเข้านอน เขียนจันทร์จัดชุดรอไว้ให้กองพันออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบเสร็จ วางไว้ตรงปลายเตียงนอนคนเฝ้าไข้ มองจากขนาดเตียงแล้วเขียนจันทร์ก็นึกมาดมายไว้ในใจเงียบๆ ว่ารอให้ดึกเธอจะแอบกลับไปนอนที่บ้าน แล้วค่อยมาอีกทีตอนรุ่งสาง ให้กองพันนอนสบายๆ คนเดียวดีกว่า

    “ไปเรียกคนของฉันที่อยู่หน้าห้องเข้ามาที ฉันมีเรื่องจะสั่ง” เสียงเข้มออกจากปากของคนบนเตียง หน้าตาจดจ่ออยู่บนหน้ากระดาษโดยไม่ละสายตาขึ้นมามองคนที่เขาวานสักนิด เขียนจันทร์ลุกออกไปหน้าห้องที่มีคนตัวสูงร่างหนาสองคนวัยราวๆ สามสิบยืนนิ่งอยู่ด้านซ้ายด้านขวาของประตู เธอเห็นคนพวกนี้มายืนตั้งแต่ชั่วโมงก่อนได้ พอเธอเรียกคนหน้าห้องเสร็จจึงถอยกรูดกลับเข้ามา

    “เอาขยะไปทิ้งที ที่มีอยู่สามถุงน่ะ ฉันเหม็นทุเรียน”

    “ฉันตั้งใจจะเอาไปทิ้งเองอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องใช้คนของคุณเลย ขยะพวกนี้ส่วนใหญ่มาจากฉันทั้งนั้น ไม่ต้องหรอกค่ะ” เขียนจันทร์ดึงถุงสามใบมาถือไว้เอง ก่อนจะทำหน้าเจ็บปวด ปล่อยถุงหลุดมือจากข้างที่เจ็บ คนของรักษ์ชาติจึงถือโอกาสก้มเก็บจากพื้นมาถือไว้เอง และเดินออกไปเงียบๆ ไม่ยอมรอฟังคำค้านจากปากเขียนจันทร์

    รักษ์ชาติหัวเราะในลำคอ ปิดแฟ้มเสียงดังฉับ เอื้อมมือมารั้งข้อศอกมือข้างที่เจ็บของเขียนจันทร์อย่างเบามือ กำไว้หลวมๆ นิ้วมือเย็นเฉียบสัมผัสเพียงแค่ปลายนิ้ว ไม่กล้าเคลื่อนมาใกล้บริเวณข้อมือ ดวงตาฉายแววสำนึกผิดไม่ปิดบัง

    “ขอโทษ...เธอเจ็บมากไหม”

    หัวคิ้วเรียวขมวดมุ่น เขียนจันทร์หรี่ตามองคนถามคล้ายไม่แน่ใจว่าหูตัวเองเฝื่อนหรือเปล่าถึงได้ยินคำว่าขอโทษจากผู้ชายอย่างรักษ์ชาติ เขียนจันทร์ใช้อีกมือปลดแขนเขาออก ก่อนจะซ่อนมันไว้ข้างหลัง ไม่ให้รักษ์ชาติแตะกายเธอได้อีก ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังไม่อยากสวมเฝือกอ่อน หรือทานยากระดูกเพิ่มมาอีก

    “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็หาย”

    “มีหมอดีถึงหายไวสิ”

    ดวงตาหวาดระแวงแปรเปลี่ยนเป็นประกายสดใสเมื่อจบคำของรักษ์ชาติ หญิงสาวพยักหน้ายืนยัน “คุณชายดูแลดีมากค่ะ คุณเองเดี๋ยวก็จะหายเหมือนกัน เชื่อฉันได้เลย”

    “ระริกระรี้อย่างกับปลากระดี่ได้น้ำ”

    “นี่คุณดูออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอคะ อย่างนี้คุณชายจะดูออกไหม” เขียนจันทร์ไม่ได้ใส่ใจฟังว่าคำห้วนนั้นจะเป็นวาจาค่อนขอดไม่ใช่เปรียบเปรยธรรมดา ดวงตาเป็นประกายยิ้มยามพูด รักษ์ชาติเบะปากมอง ค่อยเอนตัวลงนอน เก็บแฟ้มไว้เหนือศีรษะ แล้วหลับตา

    “บอกพยาบาลด้วยว่าถ้าเข้ามาอย่าทำให้ฉันตื่น จะกินยาอะไรก็ให้เธอปลุก ไม่ก็ฉีดเข้าสายน้ำเกลือเอา”

    “ค่า...ท่านเจ้าขุน” หญิงสาวรับคำอย่างเคยตัว คนฟังมีอาการชะงักไป คำเรียกลงท้ายติดประชดนี้คนต้นคิดก็คือเขียนจันทร์ คิดตั้งแต่อายุไม่ถึงห้าขวบ เรียกตามละครพีเรียตที่ดังเปรี้ยงปร้างในอดีต เป็นช่วงเวลาที่เขียนจันทร์เพิ่งรู้ว่า ’เจ้าขุน’ ของเขามีความหมายว่ายศถาบรรดาศักดิ์ของคน ไม่ใช่ ‘เจ้าขุน’ ที่มาจาก ‘เจ้าขุนทอง’ รายการเด็กที่ใช้ชื่อพันธุ์นกชนิดหนึ่งมาตั้ง

    พาให้น้องอีกสองคนของเธอเรียกเขาตามแบบนั้นไปด้วยเวลาต้องจำใจทำตามคำสั่งของเขา   
        
    “ฉันไม่ได้ยินใครเรียกฉันแบบนี้มานานแล้ว”

    หญิงสาวเงยหน้ามองคนพูดที่ยังหลับตาสนิท น้ำเสียงของเขาดูอ้างว้าง แต่ก็ไม่ได้อ้อนวอนให้ใครเห็นใจ คล้ายปรับทุกข์เสียมากกว่า

    “มีแต่คนบ้าอำนาจเท่านั้นแหละค่ะ ไม่ได้ทำตัวให้น่าเรียกว่าท่านเลย”

    “เธอก็เรียกแต่ปากไม่ใช่เหรอ เคยรู้สึกเคารพฉันที่อายุมากกว่าซะที่ไหน” น้ำเสียงหยันติดกลั้วหัวเราะไม่จริงจังทำคนฟังกลอกตาด้วยความระอา รักษ์ชาติควรพิจารณาด้วยตัวเองว่าตนนั้นได้แสดงออกว่าน่าเคารพตั้งแต่เมื่อไหร่

    “ถ้าฉันรู้สึก ฉันจึงจะเคารพ ฉันเป็นคนไม่ชอบฝืนกับการแสดงออกที่ไม่จริงใจน่ะค่ะ”

    “ปิดไฟให้ฉันด้วย” รักษ์ชาติตัดบทสนทนาน้ำเสียงห้วนจัด เขียนจันทร์ไม่อยากมานั่งทะเลาะอีกจึงทำตามที่เขาบอก กองพันออกมาห่อตัวด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ ตัวสั่นเทา หญิงสาวยกมือแตะริมฝีปากให้เงียบ แล้วจึงเริ่มเช็ดตัวให้อย่างเบามือจนแห้ง และส่งเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ให้เด็กชายสวมใส่ เธอจัดแจงที่นอนให้กองพันนอน ห่มผ้าให้ ไม่นานเด็กชายก็ผล็อยหลับไป หญิงสาวเงยหน้าเลื่อนสายตาไปยังร่างโตบนเตียงคนไข้ เห็นว่ามีลมหายใจสม่ำเสมอ และคงไม่ลุกมาหาเรื่องเธออีก เขียนจันทร์ก็เริ่มปฏิบัติการหนีกลับบ้าน

    กระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ถูกถือด้วยมือข้างที่ไม่เจ็บ ค่อยๆ เดินแบบไม่มีเสียงออกไปทางประตู โชคดีที่ฝีเท้าเธอยังเบา ไม่ทำให้สองพ่อลูกตื่น

    “จะไปไหนครับ” คนของรักษ์ชาติถามเสียงเข้ม

    “ฉันต้องกลับบ้าน พรุ่งนี้มีงานด่วนค่ะ ฉันบอกคุณขุนไว้แล้ว”

    “ให้ไปส่งไหมครับ” ท่าทีที่อ่อนลง และนอบน้อมขึ้นทำให้เขียนจันทร์ต้องยิ้มขอบคุณ ลูกน้องเขาที่เธอเคยนึกว่านักเลงจ๋า เก่งแต่จับปืน คงไม่ได้โหดร้ายเหมือนเจ้านายเขานัก

    “ไม่ต้องค่ะ ฉันเอารถมา”

    ให้เธอถึงบ้านก่อนคนทางนี้ตื่นน่าจะดีกว่า ถึงจะต้องขับรถด้วยมือข้างเดียวก็ไม่เห็นเป็นไร จะรถหรือม้าเธอก็ขับมันได้ชำนาญทั้งคู่ทั้งนั้น


    เสียงเปิดปิดประตูของนางพยาบาลปลุกให้คนที่หลับไปได้สามชั่วโมงต้องตื่น รักษ์ชาติรู้สึกแผลตึงเปรี๊ยะ เคลื่อนตัวยังรู้สึกเจ็บ ได้แต่นอนนิ่งๆ ตอนที่นางพยาบาลเข้ามาฉีดยาผ่านสายน้ำเกลือให้ กระทั่งทุกอย่างผ่านไป นางพยาบาลออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็นึกอยากจะเหวี่ยงคนที่ไม่มามีส่วนร่วมในการปลุกเขา ทั้งที่เขาเตือนแล้วหากมีนางพยาบาลเข้ามา สายตาปะทะกับร่างกองพันที่นอนขดในผ้าห่ม เต็มที่นอนเฝ้าไข้เพียงคนเดียว

    หัวคิ้วเข้มผูกเป็นโบ ดวงตาวาววับยามมองหาร่องรอยของกระเป๋าเสื้อผ้า หรือแม้แต่ห้องน้ำเผื่อว่าจะเปิดไฟ แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาคิด ไม่มีทั้งกระเป๋าเสื้อผ้า ไม่มีไฟในห้องน้ำสว่างลอดช่องข้างใต้มาให้เห็น หรือจะร่างที่น่าจะนอนบนเตียงข้างลูกชายเขานั้นก็ไม่มีเลย

    รักษ์ชาติยันกายลุกขึ้นนั่ง เจ็บแผลแต่ไม่คิดอยากจะส่งเสียงร้องขอความเห็นใจจากใคร การแสดงออกชัดเจนของเขียนจันทร์ทำให้รักษ์ชาติทั้งโมโห และรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นกำลังรังเกียจเขามาก

    โทรศัพท์ถูกกดหาเบอร์ที่ช่วงนี้เขาส่งข้อความหรือโทรหาบ่อยกว่าเบอร์หุ้นส่วนทางธุรกิจ รอสัญญาณไม่นานคนปลายสายก็รับ ไม่ต้องรอให้เขียนจันทร์อ้าปากพูด รักษ์ชาติก็ระเบิดลงเสียก่อน

    “จากนี้อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก อย่ามายุ่ง ส่วนลูกฉัน ฉันเลี้ยงเองได้ เธอจะไปทำอะไรกับใครต่อจากนี้ ก็อย่ามาวุ่นวายอีก”

    “ฉันไม่อยากแย่งที่นอนน้องขุน ไม่อยากให้คุณตื่นขึ้นมาอารมณ์เสีย ทะเลาะกับฉัน ฉันถึงกลับบ้าน”

    ถึงแม้เหตุผลของเขียนจันทร์จะน่าฟัง แต่รักษ์ชาติไม่รู้สึกอยู่ในอารมณ์รับฟังได้ “ไม่มีเตียงก็บอกสิ แค่เตียงเดียวทำไมจะเพิ่มไม่ได้ อย่ามาอ้างหน่อยเลย เกลียดฉันนักนี่”

    “คุณมันคนเอาแต่ใจ”

    สัญญาณที่ขาดไปนั้นทำให้รักษ์ชาติได้แต่กำเครื่องสื่อสารไว้ในมือ กระแทกมันลงไปข้างเตียงจนกระเทือนถึงแผลตรงช่องท้อง รักษ์ชาติทำได้เพียงกัดฟันกรอด เขาไม่เคยเข้าใจตัวเองเลยว่าทำไมต้องโกรธยามที่ถูกเขียนจันทร์เมินเฉย ปกติแต่เดิมเจ้าหล่อนก็ไม่ได้พิศวาสอะไรเขานักหรอก เขาไม่เคยสนใจ แต่ตอนนี้เขาเริ่มสนใจ ยิ่งทีท่านั้นต่อต้านแรงเท่าไหร่ ชายหนุ่มยิ่งรู้สึกอยากเอาชนะ แต่ก็ไม่เคยชนะได้สักครั้ง

    อย่างในครั้งนี้ คนที่ได้แต่แค้นใจก็มีเพียงเขาคนเดียว

    
    “ผมไม่เห็นด้วยนะครับ” บดินทร์ภัทรออกปากท้วงกับคนป่วยที่จัดการเปลี่ยนชุด ถอดสายน้ำเกลือด้วยตัวเองเสร็จสรรพ ตอนที่เขาเข้ามาตรวจ รักษ์ชาติก็สวมเชิ้ตทับสูทเรียบร้อย ราวกับปกติ ในห้องไม่มีใครป่วย พอเขาตรวจ และถามอาการเป็นครั้งสุดท้ายรักษ์ชาติก็ตอบตามจริง แต่ไม่เปลี่ยนความคิดในเรื่องที่ควรนอนโรงพยาบาลต่ออีกสักคืน

    “คืนเดียวก็พอแล้วหมอ ไม่เห็นจะน่านอนเท่าไหร่ สมัยก่อนเจ็บหนักกว่านี้ยังผ่านมาได้” ทหารเก่าตอบปฏิเสธอย่างไม่แยแส

    “ถ้าอย่างนั้นก็ระวังเวลาเคลื่อนไหวร่างกายด้วยนะครับ แผลอย่าถูกน้ำ คอยมาตรวจแผลเป็นระยะๆ แล้วอย่าลืมมาตัดไหมด้วยนะครับ เดี๋ยวผมบอกน้องเขียนให้เตือนคุณอีกทาง”

    “ไม่ต้องหรอกหมอ อย่าไปกวนเขาเลย”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่