เป็นสมาชิก พันทิปมา ผมชอบอ่านครับ ตอบบ้าง ตั้งกระทู้นี่ไม่ถนัดเลย...
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้อาจจะทำให้คุณพ่อ อยากจะกอดลูก ๆ บ้าง...
ผมเป็นผู้ชาย หน้าตาโหดร้าย นิสัยค่อนข้างกระด้าง แสดงออกน้อย ขัดกับจิตใจที่อ่อนโยนอยู่นะ...
ผมกับภรรยา มี เจ้านาย สองคน ชายคู่ คนนึง ห้าขวบกว่า ๆ อีกคน สองขวบนิด ๆ ...
ผมทำงานไกลบ้าน เมื่อก่อน อยู่ต่างประเทศ เกือบ ๆ สี่ปี ช่วงนั้น ภรรยา คลอดเจ้านายคนแรก ผมไม่มีโอกาส อยู่ด้วย กลับมาเจอหน้าก็ 15 วันแล้ว...
รู้สึกเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ เหมือนของขวัญที่มีค่ามากสำหรับผม ช่วงที่ผมทำงานต่างประเทศ มีโอกาส กลับบ้าน หกสัปดาห์ ครั้ง ครั้งละ 10 วัน...
ประมาณ ประมาณ เขาอายุ 3 ขวบกว่า ๆ ผมก็กลับมาเมื่อไทย แต่ทำงานต่างจังหวัด กลับบ้านเดือนละครั้ง ครั้งละ 7 วัน...
เจ้านายคนโต นิสัย ค่อนข้างเหมือนผม เรียกได้ว่าถอดแบบ เงียบ ๆ พูดน้อย แต่ว่าพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ ไม่ค่อยแสดงออกถึงความรู้สึก...
เข้าเรื่องกับ หัวข้อ กระทู้นะครับ ...
เดือนนี้ มีเหตุให้ผมต้องยืดเวลากลับบ้าน เกือบ ๆ 2 สัปดาห์ เนื่องจากมีงานต้องให้เคลียร์ จากที่ต้องกลับ ต้นเดือน ก็เป็นเกือบ ๆ ปลายเดือน...
ก็คุย โทรศัพท์กับ แม่เขาส่วนใหญ่ เจ้านายตัวเล็ก แย่งคุยบ้าง คนโต ผมเห็นผิดปกติ ไม่ค่อยอยากคุยโทรศัพท์ คุยนิดหน่อย ทักทายแล้วคุยต่อ...
ผมขับรถกลับถึงบ้านประมาณ ราว ๆ สามทุ่ม เป็นเวลาปกติ ประมาณนั้น ขึ้นอยู่กับ จะขับช้าขับเร็ว สภาพการจราจร แวะบ่อยไหม...
ช่วงขับรถ แฟนก็โทรฯ เช็ค ว่าถึงไหนแล้ว ก็คุยกันนิดหน่อย คนโต ก็คุย น้ำเสียงสดใส ถามว่าถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่จะถึง รีบ ๆ กลับนะ หนูรอ...
วันนั้นผมเอง ก่อนออกมา ยังไม่ได้ทานเที่ยง พอเจ้านายสั่งอย่างนั้น ก็เลย เอาวะ ไปถึงบ้านก่อนค่อยว่ากัน ไม่แวะหาไรกิน...
กลับถึงบ้าน สามทุ่ม ไม่ขาดไม่เกิน พอรถถึงหน้าบ้าน เจ้านายคนโต วิ่งมาเปิดประตูให้ ทั้ง ๆ ที่น่าจะเป็นเวลานอนแล้ว เช้าต้องไปโรงเรียน...
พอผมเอารถเข้าจอด ก็ยากพอสมควร เพราะว่า ทำโรงรถใหม่ และ มีรถอีกคนจอดอยู่ จอดครั้งเดียวไม่ได้ ต้องลงมาดู เพื่อขยับรถ...
คนโตวิ่งมาหา ผมเลยก็ทักทาย ตามปกติ บอกว่า เดี๋ยวพ่อจะขยับรถจอด เดินเล็งเหลี่ยมอยู่หลายรอบ เค้าก็วิ่งไปวิ่งมา รอบรถ มายืนข้าง ๆ ...
เหลือบไปเห็น แม่เค้าซึ่งยืนอยู่อีกฝั่ง เห็นกอดลูก หอมกัน ผมก็ไม่ได้คิดไร คิดว่าคงกลัวลูกหนาวเลยกอด...
พอผมจอดรถเสร็จ ก็จูงมือลูกมา แล้ว เอาของที่ฝากมาให้ คนละชิ้น กับน้อง (น้องตอนนั้นหลับแล้ว) แล้วก็กอดกันนิดหน่อย ตามประสาผู้ชาย...
แล้วก็ยืนคุยกัน แม่เค้าเดินเข้ามา บอกเสียงแข็ง ๆ ว่ากอดลูกหน่อย ลูกวิ่งไปวิ่งมาอยู่นั่น ผมเฉย ๆ เพราะว่าก็เพิ่งกอดกัน...
ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตามปกติ เหมือนทุกครั้ง เตรียมเข้านอ เพราะว่าเช้า คนโต ต้องไปโรงเรียน (เรียนอยู่ อนุบาล 3 ) ...
พอเข้านอน ก็นอนข้าง ๆ คนโต เพราะว่าคนเล็ก หนีไปนอนกับคุณยาย ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ติดคุณยาย...
ก็ปกติ นอนข้าง ๆ ลูก ผมนอนกลาง ก็คุยกันว่าพรุ่งนี้หนูต้องไปโรงเรียน ต้องรีบนอน แล้ว เขาก็นอนหลับไป...
หลังจากลูกหลับไป ก็ถึงเวลากล่อมคุณแม่นอน นะครับ คงเข้าใจเดือนกว่า กลับบ้านที ปิดไฟ พาลูกนอนแล้ว ก็หันกลับไปทางแม่เค้า เอามือลูบหัว...
ก็เห็นนิ่ง ๆ นึกว่าหลับ ปกติ แม่เค้าหลับง่าย เพราะว่าทำงานเหนื่อย ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัว ...
ก็เอามือลูบผม ลูบหัว ลูบหน้า กะจะบิ้ว นั่นล่ะครับ คิดว่า ถ้าหลับ ก็คงต้องปลุกกันล่ะ ฮ่า ๆ ...
พอดีลูบหน้า แล้วมีน้ำที่แก้ม มันไหลออกมาจากตา ผมตกใจ เลยถามว่าเป็นอะไร เธอไม่ตอบ บอกไม่มีไร...
ผมคาดคั้น จนบอกออกมาว่าสงสาร คนโต เค้าคิดถึงพ่อมาก กลับบ้านช้า นี่ลูกคิดถึงมาก ๆ ...
ผมก็ได้แต่บอกว่า ก็ต้องเข้าใจ เพราะว่า พ่อเองก็ต้องทำงาน ภาระหน้าที่เรามี ก็ต้องบอกลูกให้เข้าใจ...
ต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมจุกอกมากที่สุดเลยครับ ผมอาจจะไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือได้ละเอียดนัก ...
แม่เค้าบอกว่า ที่เค้าร้องไห้ ส่วนหนึ่งคือ เห็นเราเหมือนเฉยชากับลูกจังเลย ลงจากรถ ก็ไม่ยอมกอดลูก ผมยอมรับว่าตอนที่เปิดประตูลงมา นั้น รถไม่ได้ดับเครื่อง คนโต ก็วิ่งมาใกล้ ๆ ตั้งใจมาหาพ่อ...
จังหวะนั้น ผมเกรงว่า รถยังจอดไม่เรียบร้อย เลยไม่ได้เวิ่นเว้อ ไม่ได้กอด ไม่ได้อุ้ม (คนโตนี่ตัวโตนะ สำหรับเด็ก 5 ขวบกว่า ๆ 30 โล แต่ว่าผมก็ยังอุ้ม อยู่ ถ้านาน ๆ เจอกัน)...
แม่เค้าบอกว่า น้อยใจแทนลูก ที่เห็นพ่อเฉย ๆ แบบนั้น แสดงออกไม่สมกับที่ลูกคิดถึงมาก ตั้งหน้าตั้งตารอ ...
ผมก็ได้แต่ฟัง ไม่พูดอะไร ก็อธิบายไปว่า กอดลูกแล้ว ก็คุยกัน ประสาผู้ชาย แมน ๆ ...
แม่เค้าร้องไห้ แล้วเล่าต่อ ว่ารู้ไหม ลูกรอทุกวัน ว่าเมื่อไหร่จะกลับ...
ที่เห็นแม่กอดเค้านั้น เพราะว่า แม่เค้าคงรู้ว่าลูกอยากให้พ่อกอด เลยกอด แล้วถามว่า หนูอยากให้พ่อกอดเหรอลูก...
ลูกบอกว่าใช่ หนูอยากให้พ่อกอดตั้งแต่วันพ่อ เหมือนคนอื่น ๆ เค้าแล้ว (พิมพ์ถึงตรงนี้ น้ำตาผมคลอเบ้านะครับ ) ผมนี่อึ้งครั้งแรก...
รู้มั๊ย ว่าทำไมลูกไม่อยากคุยโทรฯ ด้วย เค้าบอก ไม่อยากคุยกับพ่อ คุยแล้วพ่อก็ไม่มา หนูคิดถึง ไม่คุยดีกว่า อึ้งอีก (ตอนนี้น้ำตาผมไหลนะ พิมพ์ต่อด้วยความลำบาก)...
ลูกไม่ยอมหลับยอมนอน เพื่อรอพ่อ (ผมคิดในใจ ว่าดีนะ ที่ผมไม่แวะกินข้าว ทั้ง ๆ ที่หิว ถ้าแวะกินข้าว ลูกต้องรอนานกว่านี้อีก ผมสังเกต ว่าช่วงที่ผมอาบน้ำอยู่ คนโตก็รออยู่นอกห้องน้ำ ทั้ง ๆ ที่เด็ก ๆ เค้าก็กลัวผีบ้าง ก็มาชวนพ่อคุยนอกห้องน้ำ อาบน้ำเสร็จ ผมทานข้าวที่แม่เค้าเตรียมไว้ ก็นั่งอยู่ด้วยกัน คุยกันแบบแมน ๆ เขาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เกินตัว คุยรู้เรื่อง)...
ช่วงที่เค้ารอผมนั้น แม่บอกว่า อยู่ในบ้านก็ได้ลูก ไม่ต้องไปนั่งรอนอกบ้าน มันหนาว แกบอกว่าไงรู้มั๊ย บอกแม่ไปว่า ถ้าอยู่ในบ้านพ่อมา หนูก็ไม่รู้สิ ไม่ได้เปิดประตูให้พ่อ และ เวลารถคันไหนวิ่งผ่าน ก็จะวิ่งมามอง ภรรยาผมสงสารลูกมาก ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว...
ทีนี้ พอพ่อมาถึง คงอยากให้พ่อกอดตั้งแต่แรก แต่ผมไม่ได้ทำ เพราะว่าไม่ได้รับรู้ ความรู้สึกตรงนั้น ปกติ แกไม่แสดงออก ทำให้ผมไม่คิดอะไรมากมาย...
ภรรยาบอก เค้าเหมือนพ่อมาก หน้าตา ท่าทาง นิสัย การแสดงออก ความคิดความอ่าน และ เก็บอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกัน ไม่ค่อยแสดงออก...
ถึงตรงนี้พอภรรยาเล่า ผมถึงกับร้องไห้ แล้วกอดลูก หอมลูกทั้ง ๆ ที่เค้านอนหลับอยู่นั่นแหละ...
ในใจบอกลูกว่า...
พ่อขอโทษลูกที่ ไม่ได้กอดลูกเมื่อลงจากรถ ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่พ่อควรจะทำกับลูกหลังจากไม่เจอกันเดือนครึ่ง...
พอขอโทษ ที่กอดลูกไม่นานพอให้แม่หนูรู้สึกว่าพ่อรู้สึกยังไงกับลูก...
หนูไม่ใช่แม่ ที่สามารถรับรู้ความรัก ความห่วงใย ของพ่อได้ แม่พ่อไม่แสดงออกมากนัก...
ต่อไปนี้ พ่อจะแสดงออกให้พ่อรู้ว่าพ่อรักหนูขนาดไหน ทั้งสิ่งที่พ่อทำอยู่ในการสร้างความมั่นคง สร้างอนาคตให้หนู กับ สิ่งที่ต้องทำเฉพาะหน้า คือ กอดหนู หอมแก้มหนู กำหมัดต่อยกันเบา ๆ แล้วร้องว่า แหล่ว ๆ ๆ เหมือน เบลย์แม๊ก ในบิ๊กฮีโร่ ที่หนูชอบ...
พ่อสัญญาว่า จะไม่ทำให้หนูเสียใจเลย (ก่อนหน้านี้ ปัจจุบัน ก็ไม่เคยทำ) ...
คืนนั้น กว่าจะได้นอนหลับ กว่าจะปรับความรู้สึกให้หลับกับภรรยาได้ ก็ดึกเหมือนกัน ปกติ ก็หลับหลังจากลูกไม่นาน...
เช้ามา เขาก็ตื่นขึ้นมาแบบไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ก็คงจะไม่มีอะไรค้างคาใจสำหรับเขา ผมก็พยายามชดเชย ตื่นมากอด พาไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ เหมือนที่เคยทำแหละ ไปส่งที่โรงเรียน ก่อนเข้าห้องเอาหมัดชนกัน แล้วร้อแล่ว ๆ ผมเป็น ฮิโร๊ะ เจ้านายคนโต เป็น เบลย์แม๊ก ...
เหตุการณ์นี้สอนให้ผมรู้ว่า สำหรับลูกแล้ว การแสดงออกทั้ง ทางภาษากาย ทางคำพูด นั้นสำคัญ สำหรับเขามาก ๆ ขอให้ทำเถอะครับ คุณพ่อทั้งหลาย...
สิ่งเหล่านี้ การกอดลูก หอมลูก เล่นกับเค้า แสดงออกถึงความรักให้มาก ๆ จะช่วยให้ลูกเรามีความรู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่น ที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้...
ปกติผมก็ทำนะ แต่ว่าอาจจะไม่พอ สัญญากับตัวเอง ว่าต่อจากนี้ไป จะแสดงออกให้มากที่สุด กับเจ้านายทั้งสองคน...
สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราคิดไม่ถึง บางครั้งสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ กับหัวใจดวงน้อย ๆ ของเจ้านายเรานะครับ...
ปล. เมื่อก่อนเที่ยงวันอังคาร หลังจากผมกลับมาทำงานได้ 5 วัน ผมตัดสินใจขับรถ 500 กม. กลับไปเพื่อร่วมงานเลี้ยงของโรงเรียน ซึ่งเจ้านายคนโตขึ้นเวที แสดงด้วย โดยที่ไม่ได้บอกเค้า บอกแต่แม่ และบอกคุณแม่ ว่าไม่ต้องบอกเค้านะ...
กลับถึงบ้านเห็นแต่งตัว แต่งหน้าเตรียมไปแสดงอยู่ ผมขับรถผ่านหน้าบ้าน เพื่อจอดไว้ข้าง ๆ ตอนนั้น ประมาณ 17:00 เขาต้องไปที่ งานเลี้ยง 18:00 พอเห็นผม มองดู เขาก็เฉย ๆ พอผมจอดรถได้ ก็รีบวิ่งมากอด มาหอม มีการบอกว่า พ่อไปอาบน้ำแต่งตัว อย่ามาโอ้เอ้ เดี๋ยวหนูจะไปไม่ทันแสดง (ฮ่วย มาไล่พ่ออีก พ่อน้อยจะนะเว้ยเฮ้ย ขับรถ มาครึ่งพันโล มาเซอร์ไพรซ์ แต่ว่าเจอทำเฉย ๆ มันยังไง)...
ก็เลยต้องอาบน้ำแต่งตัว เสร็จ ผมก็เดินไปหาเตรียมนั่นนี่ หาไรกินรองท้อง เพราะว่างานเลี้ยงผมไม่คาดหวังอาหารเท่าไหร่ สักพักเจ้านายมากระโดดกอด หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมก็เลยถามว่า ดีใจมั๊ย ที่พ่อมา แกตอบว่าไงรู้มั๊ยครับ ก็ดีใจ (เฮ๊ย คำว่าก็ดีใจ นี่มันคิดไปได้ว่า ดีใจไปงั้น ๆ นะ อันนี้ผมคิด ฮ่า ๆ )...
ก็กอด ก็หอมกันไป ก่อนที่จะไปงานเลี้ยง...
ตัดมาที่ หลังจากกลับจากงานเลี้ยง แกนอนหลับในรถ คุณแม่บอกว่า รู้มั๊ย ก่อนพ่อจะมา คุณยายบอกว่า เนี่ย เดี๋ยวพ่อก็มาดูหนูแสดงบนเวทีด้วยนะ แกบอกว่า คุณ ยายอย่าโกหก ซ่ะให้ยากเลย พ่อมาไม่ได้หรอก พ่อเพิ่งกลับไปทำงาน งานพ่อเยอะ งานยุ่ง เห็นไหม กว่าจะได้มาก็ตั้งนาน คุณ ยายเลยเฉย ๆ ไม่ว่าอะไร(แกเข้าข้างพ่อเสมอ)...
คุณ แม่บอกว่า ตอนที่แต่งตัวน่ะ แกบอกว่า นี่แม่ ถ้าพ่อมาจริง ๆ อย่างที่คุณยายบอกคงจะดีเนาะ แม่ได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่ตอบอะไร เลยถามไปว่า ทำไม อยากให้พ่อมาเหรอลูก คำตอบคือ ครับ หนูอยากให้พ่อมาเห็นหนูแสดง (ฟังแล้วผมปลื้มมาก ใจหายด้วย เกือบไม่ได้มาแล้ว เพราะว่า วันนั้น งานที่ทำงานเกือบทำให้ปลีกตัวไม่ได้ พอดีตั้งใจไว้แล้ว ยังไงต้องกลับเลยทำทุกอย่างเพื่อเคลียร์ งาน พี่ ๆ น้อง ๆ เข้าใจเลยช่วยให้ได้กลับ ถ้ากลับไม่ได้ คงจะรู้สึกผิด หากได้ยินคำนี้ทีหลัง) ...
การแสดงผ่านไป กลับถึงบ้าน ปลุกมาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วบอกว่า เช้าพ่อต้องกลับแล้วนะครับ พ่อต้องทำงาน แกเลยถาม ว่าแล้วทำไมวันนี้พ่อมาได้ ล่ะ เพิ่งกลับไปทำงานเอง ตอบแกไปว่า มาดูหนูนี่ล่ะ พ่ออยากเห็นว่าหนูจะเต้นเป็นไหม ที่บ้านไม่เคยเห็นแสดงออกอะไร...
เช้า ตีสี่ ออกเดินทางจากบ้าน กลับถึงหน้างาน ประมาณ เที่ยง มาทำงานที่ออฟฟิซ ต่อ ขับรถ ประมาณ 1000 โล ภายใน 24 ชั่วโมง นี่ก็เหนื่อยใช้ได้ครับ...
ส่งท้าย ในใจที่ผมตอบกับลูก ตอนที่ลูกถามว่าทำไมพ่อกลับได้ ผมตอบในใจว่าอย่างนี้ครับ "สำหรับลูกน่ะ ต่อให้ที่ไหน เวลาไหน ระยะทาง กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นโล ถ้าลูกต้องการ พ่อก็จะไป ขอแค่หนูมีความสุข"...
ขอบคุณทุกท่านที่เผลอเข้ามาอ่าน และ อ่านจนจบครับ อาจจะยาวหน่อย เพราะว่าไม่รู้จะเขียนให้สั้น ๆ ยังไงครับ...
หนูอยากให้พ่อกอดตั้งแต่วันพ่อแล้ว...
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้อาจจะทำให้คุณพ่อ อยากจะกอดลูก ๆ บ้าง...
ผมเป็นผู้ชาย หน้าตาโหดร้าย นิสัยค่อนข้างกระด้าง แสดงออกน้อย ขัดกับจิตใจที่อ่อนโยนอยู่นะ...
ผมกับภรรยา มี เจ้านาย สองคน ชายคู่ คนนึง ห้าขวบกว่า ๆ อีกคน สองขวบนิด ๆ ...
ผมทำงานไกลบ้าน เมื่อก่อน อยู่ต่างประเทศ เกือบ ๆ สี่ปี ช่วงนั้น ภรรยา คลอดเจ้านายคนแรก ผมไม่มีโอกาส อยู่ด้วย กลับมาเจอหน้าก็ 15 วันแล้ว...
รู้สึกเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ เหมือนของขวัญที่มีค่ามากสำหรับผม ช่วงที่ผมทำงานต่างประเทศ มีโอกาส กลับบ้าน หกสัปดาห์ ครั้ง ครั้งละ 10 วัน...
ประมาณ ประมาณ เขาอายุ 3 ขวบกว่า ๆ ผมก็กลับมาเมื่อไทย แต่ทำงานต่างจังหวัด กลับบ้านเดือนละครั้ง ครั้งละ 7 วัน...
เจ้านายคนโต นิสัย ค่อนข้างเหมือนผม เรียกได้ว่าถอดแบบ เงียบ ๆ พูดน้อย แต่ว่าพูดจาเหมือนผู้ใหญ่ ไม่ค่อยแสดงออกถึงความรู้สึก...
เข้าเรื่องกับ หัวข้อ กระทู้นะครับ ...
เดือนนี้ มีเหตุให้ผมต้องยืดเวลากลับบ้าน เกือบ ๆ 2 สัปดาห์ เนื่องจากมีงานต้องให้เคลียร์ จากที่ต้องกลับ ต้นเดือน ก็เป็นเกือบ ๆ ปลายเดือน...
ก็คุย โทรศัพท์กับ แม่เขาส่วนใหญ่ เจ้านายตัวเล็ก แย่งคุยบ้าง คนโต ผมเห็นผิดปกติ ไม่ค่อยอยากคุยโทรศัพท์ คุยนิดหน่อย ทักทายแล้วคุยต่อ...
ผมขับรถกลับถึงบ้านประมาณ ราว ๆ สามทุ่ม เป็นเวลาปกติ ประมาณนั้น ขึ้นอยู่กับ จะขับช้าขับเร็ว สภาพการจราจร แวะบ่อยไหม...
ช่วงขับรถ แฟนก็โทรฯ เช็ค ว่าถึงไหนแล้ว ก็คุยกันนิดหน่อย คนโต ก็คุย น้ำเสียงสดใส ถามว่าถึงไหนแล้ว เมื่อไหร่จะถึง รีบ ๆ กลับนะ หนูรอ...
วันนั้นผมเอง ก่อนออกมา ยังไม่ได้ทานเที่ยง พอเจ้านายสั่งอย่างนั้น ก็เลย เอาวะ ไปถึงบ้านก่อนค่อยว่ากัน ไม่แวะหาไรกิน...
กลับถึงบ้าน สามทุ่ม ไม่ขาดไม่เกิน พอรถถึงหน้าบ้าน เจ้านายคนโต วิ่งมาเปิดประตูให้ ทั้ง ๆ ที่น่าจะเป็นเวลานอนแล้ว เช้าต้องไปโรงเรียน...
พอผมเอารถเข้าจอด ก็ยากพอสมควร เพราะว่า ทำโรงรถใหม่ และ มีรถอีกคนจอดอยู่ จอดครั้งเดียวไม่ได้ ต้องลงมาดู เพื่อขยับรถ...
คนโตวิ่งมาหา ผมเลยก็ทักทาย ตามปกติ บอกว่า เดี๋ยวพ่อจะขยับรถจอด เดินเล็งเหลี่ยมอยู่หลายรอบ เค้าก็วิ่งไปวิ่งมา รอบรถ มายืนข้าง ๆ ...
เหลือบไปเห็น แม่เค้าซึ่งยืนอยู่อีกฝั่ง เห็นกอดลูก หอมกัน ผมก็ไม่ได้คิดไร คิดว่าคงกลัวลูกหนาวเลยกอด...
พอผมจอดรถเสร็จ ก็จูงมือลูกมา แล้ว เอาของที่ฝากมาให้ คนละชิ้น กับน้อง (น้องตอนนั้นหลับแล้ว) แล้วก็กอดกันนิดหน่อย ตามประสาผู้ชาย...
แล้วก็ยืนคุยกัน แม่เค้าเดินเข้ามา บอกเสียงแข็ง ๆ ว่ากอดลูกหน่อย ลูกวิ่งไปวิ่งมาอยู่นั่น ผมเฉย ๆ เพราะว่าก็เพิ่งกอดกัน...
ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตามปกติ เหมือนทุกครั้ง เตรียมเข้านอ เพราะว่าเช้า คนโต ต้องไปโรงเรียน (เรียนอยู่ อนุบาล 3 ) ...
พอเข้านอน ก็นอนข้าง ๆ คนโต เพราะว่าคนเล็ก หนีไปนอนกับคุณยาย ตั้งแต่หัวค่ำแล้ว ติดคุณยาย...
ก็ปกติ นอนข้าง ๆ ลูก ผมนอนกลาง ก็คุยกันว่าพรุ่งนี้หนูต้องไปโรงเรียน ต้องรีบนอน แล้ว เขาก็นอนหลับไป...
หลังจากลูกหลับไป ก็ถึงเวลากล่อมคุณแม่นอน นะครับ คงเข้าใจเดือนกว่า กลับบ้านที ปิดไฟ พาลูกนอนแล้ว ก็หันกลับไปทางแม่เค้า เอามือลูบหัว...
ก็เห็นนิ่ง ๆ นึกว่าหลับ ปกติ แม่เค้าหลับง่าย เพราะว่าทำงานเหนื่อย ที่บ้านทำธุรกิจส่วนตัว ...
ก็เอามือลูบผม ลูบหัว ลูบหน้า กะจะบิ้ว นั่นล่ะครับ คิดว่า ถ้าหลับ ก็คงต้องปลุกกันล่ะ ฮ่า ๆ ...
พอดีลูบหน้า แล้วมีน้ำที่แก้ม มันไหลออกมาจากตา ผมตกใจ เลยถามว่าเป็นอะไร เธอไม่ตอบ บอกไม่มีไร...
ผมคาดคั้น จนบอกออกมาว่าสงสาร คนโต เค้าคิดถึงพ่อมาก กลับบ้านช้า นี่ลูกคิดถึงมาก ๆ ...
ผมก็ได้แต่บอกว่า ก็ต้องเข้าใจ เพราะว่า พ่อเองก็ต้องทำงาน ภาระหน้าที่เรามี ก็ต้องบอกลูกให้เข้าใจ...
ต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ผมจุกอกมากที่สุดเลยครับ ผมอาจจะไม่สามารถบรรยายเป็นตัวหนังสือได้ละเอียดนัก ...
แม่เค้าบอกว่า ที่เค้าร้องไห้ ส่วนหนึ่งคือ เห็นเราเหมือนเฉยชากับลูกจังเลย ลงจากรถ ก็ไม่ยอมกอดลูก ผมยอมรับว่าตอนที่เปิดประตูลงมา นั้น รถไม่ได้ดับเครื่อง คนโต ก็วิ่งมาใกล้ ๆ ตั้งใจมาหาพ่อ...
จังหวะนั้น ผมเกรงว่า รถยังจอดไม่เรียบร้อย เลยไม่ได้เวิ่นเว้อ ไม่ได้กอด ไม่ได้อุ้ม (คนโตนี่ตัวโตนะ สำหรับเด็ก 5 ขวบกว่า ๆ 30 โล แต่ว่าผมก็ยังอุ้ม อยู่ ถ้านาน ๆ เจอกัน)...
แม่เค้าบอกว่า น้อยใจแทนลูก ที่เห็นพ่อเฉย ๆ แบบนั้น แสดงออกไม่สมกับที่ลูกคิดถึงมาก ตั้งหน้าตั้งตารอ ...
ผมก็ได้แต่ฟัง ไม่พูดอะไร ก็อธิบายไปว่า กอดลูกแล้ว ก็คุยกัน ประสาผู้ชาย แมน ๆ ...
แม่เค้าร้องไห้ แล้วเล่าต่อ ว่ารู้ไหม ลูกรอทุกวัน ว่าเมื่อไหร่จะกลับ...
ที่เห็นแม่กอดเค้านั้น เพราะว่า แม่เค้าคงรู้ว่าลูกอยากให้พ่อกอด เลยกอด แล้วถามว่า หนูอยากให้พ่อกอดเหรอลูก...
ลูกบอกว่าใช่ หนูอยากให้พ่อกอดตั้งแต่วันพ่อ เหมือนคนอื่น ๆ เค้าแล้ว (พิมพ์ถึงตรงนี้ น้ำตาผมคลอเบ้านะครับ ) ผมนี่อึ้งครั้งแรก...
รู้มั๊ย ว่าทำไมลูกไม่อยากคุยโทรฯ ด้วย เค้าบอก ไม่อยากคุยกับพ่อ คุยแล้วพ่อก็ไม่มา หนูคิดถึง ไม่คุยดีกว่า อึ้งอีก (ตอนนี้น้ำตาผมไหลนะ พิมพ์ต่อด้วยความลำบาก)...
ลูกไม่ยอมหลับยอมนอน เพื่อรอพ่อ (ผมคิดในใจ ว่าดีนะ ที่ผมไม่แวะกินข้าว ทั้ง ๆ ที่หิว ถ้าแวะกินข้าว ลูกต้องรอนานกว่านี้อีก ผมสังเกต ว่าช่วงที่ผมอาบน้ำอยู่ คนโตก็รออยู่นอกห้องน้ำ ทั้ง ๆ ที่เด็ก ๆ เค้าก็กลัวผีบ้าง ก็มาชวนพ่อคุยนอกห้องน้ำ อาบน้ำเสร็จ ผมทานข้าวที่แม่เค้าเตรียมไว้ ก็นั่งอยู่ด้วยกัน คุยกันแบบแมน ๆ เขาค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เกินตัว คุยรู้เรื่อง)...
ช่วงที่เค้ารอผมนั้น แม่บอกว่า อยู่ในบ้านก็ได้ลูก ไม่ต้องไปนั่งรอนอกบ้าน มันหนาว แกบอกว่าไงรู้มั๊ย บอกแม่ไปว่า ถ้าอยู่ในบ้านพ่อมา หนูก็ไม่รู้สิ ไม่ได้เปิดประตูให้พ่อ และ เวลารถคันไหนวิ่งผ่าน ก็จะวิ่งมามอง ภรรยาผมสงสารลูกมาก ตั้งแต่ตอนนี้แล้ว...
ทีนี้ พอพ่อมาถึง คงอยากให้พ่อกอดตั้งแต่แรก แต่ผมไม่ได้ทำ เพราะว่าไม่ได้รับรู้ ความรู้สึกตรงนั้น ปกติ แกไม่แสดงออก ทำให้ผมไม่คิดอะไรมากมาย...
ภรรยาบอก เค้าเหมือนพ่อมาก หน้าตา ท่าทาง นิสัย การแสดงออก ความคิดความอ่าน และ เก็บอารมณ์ความรู้สึกเหมือนกัน ไม่ค่อยแสดงออก...
ถึงตรงนี้พอภรรยาเล่า ผมถึงกับร้องไห้ แล้วกอดลูก หอมลูกทั้ง ๆ ที่เค้านอนหลับอยู่นั่นแหละ...
ในใจบอกลูกว่า...
พ่อขอโทษลูกที่ ไม่ได้กอดลูกเมื่อลงจากรถ ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่พ่อควรจะทำกับลูกหลังจากไม่เจอกันเดือนครึ่ง...
พอขอโทษ ที่กอดลูกไม่นานพอให้แม่หนูรู้สึกว่าพ่อรู้สึกยังไงกับลูก...
หนูไม่ใช่แม่ ที่สามารถรับรู้ความรัก ความห่วงใย ของพ่อได้ แม่พ่อไม่แสดงออกมากนัก...
ต่อไปนี้ พ่อจะแสดงออกให้พ่อรู้ว่าพ่อรักหนูขนาดไหน ทั้งสิ่งที่พ่อทำอยู่ในการสร้างความมั่นคง สร้างอนาคตให้หนู กับ สิ่งที่ต้องทำเฉพาะหน้า คือ กอดหนู หอมแก้มหนู กำหมัดต่อยกันเบา ๆ แล้วร้องว่า แหล่ว ๆ ๆ เหมือน เบลย์แม๊ก ในบิ๊กฮีโร่ ที่หนูชอบ...
พ่อสัญญาว่า จะไม่ทำให้หนูเสียใจเลย (ก่อนหน้านี้ ปัจจุบัน ก็ไม่เคยทำ) ...
คืนนั้น กว่าจะได้นอนหลับ กว่าจะปรับความรู้สึกให้หลับกับภรรยาได้ ก็ดึกเหมือนกัน ปกติ ก็หลับหลังจากลูกไม่นาน...
เช้ามา เขาก็ตื่นขึ้นมาแบบไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ก็คงจะไม่มีอะไรค้างคาใจสำหรับเขา ผมก็พยายามชดเชย ตื่นมากอด พาไปล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำ เหมือนที่เคยทำแหละ ไปส่งที่โรงเรียน ก่อนเข้าห้องเอาหมัดชนกัน แล้วร้อแล่ว ๆ ผมเป็น ฮิโร๊ะ เจ้านายคนโต เป็น เบลย์แม๊ก ...
เหตุการณ์นี้สอนให้ผมรู้ว่า สำหรับลูกแล้ว การแสดงออกทั้ง ทางภาษากาย ทางคำพูด นั้นสำคัญ สำหรับเขามาก ๆ ขอให้ทำเถอะครับ คุณพ่อทั้งหลาย...
สิ่งเหล่านี้ การกอดลูก หอมลูก เล่นกับเค้า แสดงออกถึงความรักให้มาก ๆ จะช่วยให้ลูกเรามีความรู้สึกถึงความรัก ความอบอุ่น ที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้...
ปกติผมก็ทำนะ แต่ว่าอาจจะไม่พอ สัญญากับตัวเอง ว่าต่อจากนี้ไป จะแสดงออกให้มากที่สุด กับเจ้านายทั้งสองคน...
สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราคิดไม่ถึง บางครั้งสำคัญอย่างยิ่งใหญ่ กับหัวใจดวงน้อย ๆ ของเจ้านายเรานะครับ...
ปล. เมื่อก่อนเที่ยงวันอังคาร หลังจากผมกลับมาทำงานได้ 5 วัน ผมตัดสินใจขับรถ 500 กม. กลับไปเพื่อร่วมงานเลี้ยงของโรงเรียน ซึ่งเจ้านายคนโตขึ้นเวที แสดงด้วย โดยที่ไม่ได้บอกเค้า บอกแต่แม่ และบอกคุณแม่ ว่าไม่ต้องบอกเค้านะ...
กลับถึงบ้านเห็นแต่งตัว แต่งหน้าเตรียมไปแสดงอยู่ ผมขับรถผ่านหน้าบ้าน เพื่อจอดไว้ข้าง ๆ ตอนนั้น ประมาณ 17:00 เขาต้องไปที่ งานเลี้ยง 18:00 พอเห็นผม มองดู เขาก็เฉย ๆ พอผมจอดรถได้ ก็รีบวิ่งมากอด มาหอม มีการบอกว่า พ่อไปอาบน้ำแต่งตัว อย่ามาโอ้เอ้ เดี๋ยวหนูจะไปไม่ทันแสดง (ฮ่วย มาไล่พ่ออีก พ่อน้อยจะนะเว้ยเฮ้ย ขับรถ มาครึ่งพันโล มาเซอร์ไพรซ์ แต่ว่าเจอทำเฉย ๆ มันยังไง)...
ก็เลยต้องอาบน้ำแต่งตัว เสร็จ ผมก็เดินไปหาเตรียมนั่นนี่ หาไรกินรองท้อง เพราะว่างานเลี้ยงผมไม่คาดหวังอาหารเท่าไหร่ สักพักเจ้านายมากระโดดกอด หลังจากแต่งตัวเสร็จ ผมก็เลยถามว่า ดีใจมั๊ย ที่พ่อมา แกตอบว่าไงรู้มั๊ยครับ ก็ดีใจ (เฮ๊ย คำว่าก็ดีใจ นี่มันคิดไปได้ว่า ดีใจไปงั้น ๆ นะ อันนี้ผมคิด ฮ่า ๆ )...
ก็กอด ก็หอมกันไป ก่อนที่จะไปงานเลี้ยง...
ตัดมาที่ หลังจากกลับจากงานเลี้ยง แกนอนหลับในรถ คุณแม่บอกว่า รู้มั๊ย ก่อนพ่อจะมา คุณยายบอกว่า เนี่ย เดี๋ยวพ่อก็มาดูหนูแสดงบนเวทีด้วยนะ แกบอกว่า คุณ ยายอย่าโกหก ซ่ะให้ยากเลย พ่อมาไม่ได้หรอก พ่อเพิ่งกลับไปทำงาน งานพ่อเยอะ งานยุ่ง เห็นไหม กว่าจะได้มาก็ตั้งนาน คุณ ยายเลยเฉย ๆ ไม่ว่าอะไร(แกเข้าข้างพ่อเสมอ)...
คุณ แม่บอกว่า ตอนที่แต่งตัวน่ะ แกบอกว่า นี่แม่ ถ้าพ่อมาจริง ๆ อย่างที่คุณยายบอกคงจะดีเนาะ แม่ได้แต่ยิ้ม ๆ ไม่ตอบอะไร เลยถามไปว่า ทำไม อยากให้พ่อมาเหรอลูก คำตอบคือ ครับ หนูอยากให้พ่อมาเห็นหนูแสดง (ฟังแล้วผมปลื้มมาก ใจหายด้วย เกือบไม่ได้มาแล้ว เพราะว่า วันนั้น งานที่ทำงานเกือบทำให้ปลีกตัวไม่ได้ พอดีตั้งใจไว้แล้ว ยังไงต้องกลับเลยทำทุกอย่างเพื่อเคลียร์ งาน พี่ ๆ น้อง ๆ เข้าใจเลยช่วยให้ได้กลับ ถ้ากลับไม่ได้ คงจะรู้สึกผิด หากได้ยินคำนี้ทีหลัง) ...
การแสดงผ่านไป กลับถึงบ้าน ปลุกมาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วบอกว่า เช้าพ่อต้องกลับแล้วนะครับ พ่อต้องทำงาน แกเลยถาม ว่าแล้วทำไมวันนี้พ่อมาได้ ล่ะ เพิ่งกลับไปทำงานเอง ตอบแกไปว่า มาดูหนูนี่ล่ะ พ่ออยากเห็นว่าหนูจะเต้นเป็นไหม ที่บ้านไม่เคยเห็นแสดงออกอะไร...
เช้า ตีสี่ ออกเดินทางจากบ้าน กลับถึงหน้างาน ประมาณ เที่ยง มาทำงานที่ออฟฟิซ ต่อ ขับรถ ประมาณ 1000 โล ภายใน 24 ชั่วโมง นี่ก็เหนื่อยใช้ได้ครับ...
ส่งท้าย ในใจที่ผมตอบกับลูก ตอนที่ลูกถามว่าทำไมพ่อกลับได้ ผมตอบในใจว่าอย่างนี้ครับ "สำหรับลูกน่ะ ต่อให้ที่ไหน เวลาไหน ระยะทาง กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นโล ถ้าลูกต้องการ พ่อก็จะไป ขอแค่หนูมีความสุข"...
ขอบคุณทุกท่านที่เผลอเข้ามาอ่าน และ อ่านจนจบครับ อาจจะยาวหน่อย เพราะว่าไม่รู้จะเขียนให้สั้น ๆ ยังไงครับ...