คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
สันนิษฐานว่า น่าจะมาจากคัมภีร์พุทธประวัติฝ่ายมหายานครับ คัมภีร์ลลิตวิสตระ
แต่งขึ้นประมาณปี พ.ศ. 500-600 เป็นคัมภีร์ของนิกายสรวาสติกวาทิน
อาจารย์แสง มนวิทูร เป็นผู้แปลไว้ ท่านเขียนวิเคราะห์ไว้ในบทนำน่าอ่านมากครับ
มีครั้งหนึ่งต่างชาติ (ขออภัย จำไม่ได้แล้วครับว่า สถาบันไหน ) ขอต้นฉบับคัมภีร์ลลิตวิสตระจากไทย มีผู้แปลบทนำของท่านแนบไปด้วย
ท่านได้รับหนังสือขอบคุณ และยกย่องว่าบทวิเคราะห์นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษา
อ่านรายละเอียดหนังสือได้ในเวปไซต์ของกลุ่มสัมพันธ์มหายาน
http://www.gonghoog.com/main/index.php/2012-11-10-06-30-24
คัมภีร์ลลิตวิสตระนี้ มีอิทธิพลต่อหนังสือที่เกี่ยวกับพุทธประวัติในยุคหลังมาก ๆ รวม
คัมภีร์พุทธจริต ของท่านอัศวโฆษ ก็ใช้เป็นแนวในการเขียน (สำนวนของอาจารย์กรุณา-เรืองอุไร กุศลาศัย น่าอ่านมากครับ เสียดายว่ามีเฉพาะภาคต้น) รวมถึงหนังสือของฝ่ายเถรวาทด้วย
แม้แต่ Light of Asia ของเซอร์เอ็ดวิน อาร์โนล ที่ จขกท กล่าวอ้าง ก็ใช้หนังสือเล่มนี้ในการอ้างอิงเป็นหลัก
หนังสือพุทธประวัติของไทย ปฐมสมโพธิ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ที่ได้รับยกย่องให้เป็นวรรกรรมยอดเยี่ยมของโลก ก็คงได้รับอิทธิพลไม่น้อย แต่เนื้อหาส่วนใหญ่จะมาจากอรรถกถามธุรัตถวิลาสินีมากกว่า
ส่วนหนังสือพุทธประวัติที่คณะสงฆ์ไทยใช้เป็นหลักสูตร ในระดับนักธรรมชั้นตรี เป็นหนังสือที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรส
เป็นผู้เรียบเรียงขึ้นใหม่ อ้างอิงมาจากความในพุทธวงศ์ และในอรรถกถาเสียส่วนใหญ่ แต่หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน เพราะพระองค์ท่านได้แสดงความคิดเห็นไว้ในประเด็นต่าง ๆ อย่างน่าสนใจ ในประเด็นเรื่องการเรียนกับครูวิศวามิตร พระองค์ท่านได้แสดงความเห็นไว้ว่า
"อีกเรื่องหนึ่ง ในที่บางแห่งแสดงความสามารถของพระราชกุมารผู้มิได้ศึกษา, แต่สำแดงศิลปธนูได้โดยช่ำชอง ไม่มีใครเทียมถึง ข้อนี้จะพึงเห็นอัศจรรย์ในยุคก่อน, มาในบัดนี้ จะพึงเห็นตรงกัน ข้าม. ใคร่ครวญตามพระพุทธจรรยา มีพระธรรมเทศนาเป็นอาทิ, กลับมีปรากฏว่า ได้ทรงรับศึกษามาเป็นอันดีในขัตติยธรรมแลคดีโลก อย่างอื่นอีก"
แต่งขึ้นประมาณปี พ.ศ. 500-600 เป็นคัมภีร์ของนิกายสรวาสติกวาทิน
อาจารย์แสง มนวิทูร เป็นผู้แปลไว้ ท่านเขียนวิเคราะห์ไว้ในบทนำน่าอ่านมากครับ
มีครั้งหนึ่งต่างชาติ (ขออภัย จำไม่ได้แล้วครับว่า สถาบันไหน ) ขอต้นฉบับคัมภีร์ลลิตวิสตระจากไทย มีผู้แปลบทนำของท่านแนบไปด้วย
ท่านได้รับหนังสือขอบคุณ และยกย่องว่าบทวิเคราะห์นั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษา
อ่านรายละเอียดหนังสือได้ในเวปไซต์ของกลุ่มสัมพันธ์มหายาน
http://www.gonghoog.com/main/index.php/2012-11-10-06-30-24
คัมภีร์ลลิตวิสตระนี้ มีอิทธิพลต่อหนังสือที่เกี่ยวกับพุทธประวัติในยุคหลังมาก ๆ รวม
คัมภีร์พุทธจริต ของท่านอัศวโฆษ ก็ใช้เป็นแนวในการเขียน (สำนวนของอาจารย์กรุณา-เรืองอุไร กุศลาศัย น่าอ่านมากครับ เสียดายว่ามีเฉพาะภาคต้น) รวมถึงหนังสือของฝ่ายเถรวาทด้วย
แม้แต่ Light of Asia ของเซอร์เอ็ดวิน อาร์โนล ที่ จขกท กล่าวอ้าง ก็ใช้หนังสือเล่มนี้ในการอ้างอิงเป็นหลัก
หนังสือพุทธประวัติของไทย ปฐมสมโพธิ ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
ที่ได้รับยกย่องให้เป็นวรรกรรมยอดเยี่ยมของโลก ก็คงได้รับอิทธิพลไม่น้อย แต่เนื้อหาส่วนใหญ่จะมาจากอรรถกถามธุรัตถวิลาสินีมากกว่า
ส่วนหนังสือพุทธประวัติที่คณะสงฆ์ไทยใช้เป็นหลักสูตร ในระดับนักธรรมชั้นตรี เป็นหนังสือที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระวชิรญาณวโรส
เป็นผู้เรียบเรียงขึ้นใหม่ อ้างอิงมาจากความในพุทธวงศ์ และในอรรถกถาเสียส่วนใหญ่ แต่หนังสือเล่มนี้น่าอ่าน เพราะพระองค์ท่านได้แสดงความคิดเห็นไว้ในประเด็นต่าง ๆ อย่างน่าสนใจ ในประเด็นเรื่องการเรียนกับครูวิศวามิตร พระองค์ท่านได้แสดงความเห็นไว้ว่า
"อีกเรื่องหนึ่ง ในที่บางแห่งแสดงความสามารถของพระราชกุมารผู้มิได้ศึกษา, แต่สำแดงศิลปธนูได้โดยช่ำชอง ไม่มีใครเทียมถึง ข้อนี้จะพึงเห็นอัศจรรย์ในยุคก่อน, มาในบัดนี้ จะพึงเห็นตรงกัน ข้าม. ใคร่ครวญตามพระพุทธจรรยา มีพระธรรมเทศนาเป็นอาทิ, กลับมีปรากฏว่า ได้ทรงรับศึกษามาเป็นอันดีในขัตติยธรรมแลคดีโลก อย่างอื่นอีก"
แสดงความคิดเห็น
เจ้าชายสิทธัตถะ ไม่เคยศึกษาศิลปศาสตร์ 18 ประการ จาก อาจารย์วิศวามิตร ?
เจ้าชายสิทธัตถะไม่เคยเรียนวิชา
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสถึงประวัติของพระองค์เองหลายครั้ง แต่ไม่มีประวัติตรงๆ ของพระองค์สมัยเป็นพระกุมารเลย แต่ประวัติของพระองค์นั้นพบในคัมภีร์ชื่อ มธุรัตถวิลาสินี ซึ่งเป็นอรรถกถาขยายความคัมภีร์ขุทกนิกายพุทธวงศ์อีกทีหนึ่ง
ในมธุรัตถวิลาสินีกล่าวถึงพุทธประวัติสมัยเป็นพระกุมารไว้ว่า
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะราชบิดาสร้างปราสาทสามฤดูให้ และจะให้มีคู่ครอง แต่เชื้อพระวงศ์ติว่าเจ้าชายเอาแต่สำราญ ขวนขวายอยู่แต่การเล่นเท่านั้น มิได้ศึกษาศิลปะใดๆ เลย วันหน้าถ้าเกิดศึกสงครามจะทำอย่างไร เจ้าชายสิทธัตถะจึงกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่าข้าพระองค์ไม่มีกิจที่จะต้องศึกษาศิลปะ ขอพระองค์ได้โปรดให้ตีกลองป่าวร้องให้พระญาติและชาวพระนครมาดูการแสดงศิลปะของข้าพระองค์ในอีก ๗ วันข้างหน้าเถิด
พระเจ้าสุทโธทนะจึงรับสั่งให้ป่าวประกาศไปตามนั้น หมู่พระประยูรญาติและฝูงชนพากันมาดูเจ้าชายสิทธัตถะแสดงศิลปะจนเต็มพระลานหลวง
เจ้าชายสิทธัตถะได้ประลองฝีมือการยิงธนูกับนายขมังธนู ทรงเอาชนะได้ทั้งการยิงเร็วดังสายฟ้า ยิงเป้าละเอียดเช่นขนหางสัตว์ได้ ยิงต้านลูกศรได้ ยิงตามเสียงได้ และยิงลูกศรตามลูกศรได้ อีกทั้งทรงแสดงการยิงศรทะลุแผ่นไม้สะแกหนา ๘ นิ้ว แผ่นไม้ประดู่หนา ๔ นิ้ว แผ่นทองแดงหนา ๒ นิ้ว แผ่นเหล็กหนา ๑ นิ้ว ยิงแผ่นกระดาน ๑๐๐ ครั้งให้ติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน เป็นต้น รวมทั้งทรงแสดงศิลปะอื่นที่ไม่มีใครทำได้ ได้แก่ ศิลปะชื่อจักกวิทธ สรลัฏฐิ สรรัชชุ สรเวณิ สรปาสาทะ สรมัณฑปะ สรโสปาณะ สรมัณฑละ สรปาการะ สรวนะ สรโปกขรณี สรปทุมะ สรปุปผะ สรวัสสะ
จบการแสดงศิลปะทั้งหลายแล้ว หมู่พระประยูรญาติก็หมดความลังเลสงสัย พระเจ้าสุทโธทนะจึงให้เจ้าชายสิทธัตถะอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงพิมพา ราชธิดาแห่งกรุงเทวทหะ ส่วนศากยะตระกูลอื่นๆ นำธิดามาถวายให้เป็นบาทบริจาริกา ๔๐,๐๐๐ นาง แวดล้อมเจ้าชายสิทธัตถะดังนางอัปสรแวดล้อมเทพบุตร
สรุปว่าตามอรรถกถานี้ เจ้าชายสิทธัถะไม่ได้เรียนวิชากับใคร แต่พระองค์ทรงรู้ศิลปวิทยาด้วยพระองค์เอง
หากศึกษาย้อนกลับไปในอดีตชาติ ก็จะพบว่าพระโพธิสัตว์นั้นทรงเชี่ยวชาญศิลปวิทยาโดยไม่มีอาจารย์มาหลายชาติแล้ว อย่างเช่นเมื่อเป็นพระเตมีย์ พระองค์ทำเป็นคนง่อย แต่พระองค์ก็มีศิลปวิทยาตามปกติ เมื่อเป็นมโหสถมีปัญญาเฉลียวฉลาดก็ไม่ได้เรียนวิชาจากใคร เมื่อเป็นพระเจ้ากุสราชเชี่ยวชาญสารพัดวิชาในระดับอาจารย์พระองค์ก็ไม่ได้เรียนวิชาจากใคร
แล้วเรื่องครูวิศวามิตรมาจากไหน
ผมพยายามค้นหาที่มาเรื่องครูวิศวามิตร ซึ่งไม่พบในพระไรปิฎกและอรรถกถาพระไรปิฎก แต่พบในตำราเรียนของผู้เรียนเปรียญธรรม แต่ก็ไม่มีที่มาว่าอ้างอิงมาจากไหน
เข้าใจว่าเรื่องนี้ได้รับอิทธิพลจากหนังสือฝรั่งชื่อ Light of Asia เขียนโดย Sir Edwin Arnold แปลเป็นไทยชื่อหนังสือ ประทีปแห่งทวีปอาเซีย ซึ่งกล่าวถึงพุทธประวัติตอนเด็กว่า เจ้าชายสิทธัตถะทรงเรียนสรรพวิชากับครูวิศวามิตร และยังกล่าวอีกว่าเจ้าชายสิทธัตถะเคยแย่งนกกับพระเทวทัตด้วย ซึ่งทั้งสองเรื่องไม่พบในพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎกเลย
หนังสือ Light of Asia นี้เป็นหนังสือใหม่ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1879 (พ.ศ. ๒๔๒๒) นี้เอง ดังนั้นความน่าเชื่อถือจึงเทียบกับคัมภีร์ มธุรัตถวิลาสินี ซึ่งรจนาข้นโดย พระพุทธทัตตะ ตั้งแต่ช่วงสังคายนาราว พ.ศ. ๘๐๐-๑๑๐๐ ไม่ได้เลย
เครดิต คุณ freebird
http://guru.google.co.th/guru/thread?force=1&tid=451d050d105fd8ee
ใครมีข้อมูล หรือความคิดเห็น อย่างไรบ้างครับ
----------------------
edit แก้ชื่อจาก freebies เป็น freebird
(ตอนตั้งกระทู้ว่าพิมพ์ถูกแล้ว แต่สงสัยแท็ปเล็ตมันแก้คำให้อัตโนมัติ ไม่ได้ตรวจทาน ขออภัยด้วยครับ)