ปฐมบท
“ทีมชาติไทยฟิตแค่ 70 นาที”, “บอลไทยไปมวยโลก” ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา คำพูดประชดประชันเหล่านี้บ่งบอกถึงสภาพความเป็นไปของทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทยซึ่งไร้ความสำเร็จระดับชาติใดๆ นับแต่ ซีเกมส์ ปี พ.ศ. 2550 ที่นครราชสีมาเป็นต้นมา แน่นอนผู้ที่เจ็บปวดกับคำกล่าวนี้ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนหากเป็นเหล่าแฟนบอลชาวไทยที่คาดหวังว่าเมื่อลงเตะในระดับอนุทวีปแห่งภาคพื้นอุษาคเนย์เมื่อไร ทีมชาติไทยต้องได้ตำแหน่งชนะเลิศเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหากต่ำกว่านั้นคือความล้มเหลว แต่ผู้ที่ปวดร้าวยิ่งกว่ากับความเป็นไปของทีมชาติไทยและเสียใจต่อคำประชดประชันเหล่านี้คือเหล่าทีมงานผู้ฝึกสอนและนักฟุตบอลทีมชาติไทยในแต่ละยุคที่ผ่านมาซึ่งไม่อาจก้าวข้ามคำปรามาสนี้ไปได้ถึงแม้ว่าในหัวใจ ไม่มีใครอยากพ่ายแพ้เมื่อก้าวลงสู่สมรภูมิหญ้าแห่งเกียรติภูมินั้น
ความใฝ่ฝันที่จะนำพาเหล่าขุนพลนักเตะทีมชาติไทยกลับเข้าสู่เส้นทางแห่งเกียรติยศเป็นงานที่แสนยากลำบากในคืนวันอันแห้งแล้งกันดารไร้ซึ่งแสงสว่างนำทางใดๆ และในคืนค่ำอันแสนมืดมนแห่งโชคชะตานั้น ยังมีอดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทยซึ่งได้จารึกประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งนับแต่ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นต้นมานามว่าเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตขุนพลผู้รับใช้ชาติมาอย่างซื่อสัตย์ภายใต้กรอบวินัยแห่งความเป็นมือมาชีพ ได้กล่าวพันธะสัญญาต่อหน้าสักขีพยานเรือนหมื่นในวันอำลาเครื่องแบบนักรบสมรภูมิหญ้าไว้ว่า “วันข้างหน้า ผมจะกลับมาเป็นโค้ชให้ทีมชาติไทย เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป”
ประสบการณ์อันน้อยนิดในการเป็นเสนาธิการกองทัพลูกหนังระดับจังหวัดซึ่งไม่อาจไขว่คว้ารางวัลเกียรติยศใดๆมาได้เลยตลอดช่วงเวลาเริ่มต้นอาชีพผู้ฝึกสอนฟุตบอลเสมือนหนึ่งจะปิดกั้นเส้นทางความฝันของอดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทยคนนั้น แต่หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าในแต่ละทีมที่เขาได้โอกาสรับงานควบคุมการฝึกสอนและบัญชาการรบบนสมรภูมิหญ้านั้น มีแนวทางการเล่นและทัศนคติของเหล่านักรบในทางที่ดีสามารถสร้างการสนับสนุนจากเหล่าสาวกแต่ละทีมได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าในวันที่ขุนพลนักรบระดับชาติไร้ซึ่งเสนาธิการใหญ่เพื่อพาเหล่าช้างศึกไทยเข้าโรมรันในสงครามเกียติยศระดับนานาชาติ แถมพกด้วยคำสบประมาทว่า “แรงวิ่งแค่ 70 นาที แรงต่อยตีมีตลอดเกม” โค้ชหนุ่มนามว่าเกียรติศักดิ์ เสนาเมืองคนนั้นจะกล้าเข้ารับงานที่กดดันที่สุดยิ่งกว่าตำแหน่งใดๆ ในสมาคมกีฬาของประเทศนี้
จากลุ่มเจ้าพระยาสู่ บูกิต จาริล:
“ทีมชาติไทยฟิตแค่ 70 นาที”, “บอลไทยไปมวยโลก” ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา คำพูดประชดประชันเหล่านี้บ่งบอกถึงสภาพความเป็นไปของทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทยซึ่งไร้ความสำเร็จระดับชาติใดๆ นับแต่ ซีเกมส์ ปี พ.ศ. 2550 ที่นครราชสีมาเป็นต้นมา แน่นอนผู้ที่เจ็บปวดกับคำกล่าวนี้ย่อมไม่ใช่ใครที่ไหนหากเป็นเหล่าแฟนบอลชาวไทยที่คาดหวังว่าเมื่อลงเตะในระดับอนุทวีปแห่งภาคพื้นอุษาคเนย์เมื่อไร ทีมชาติไทยต้องได้ตำแหน่งชนะเลิศเพียงอย่างเดียวเท่านั้นหากต่ำกว่านั้นคือความล้มเหลว แต่ผู้ที่ปวดร้าวยิ่งกว่ากับความเป็นไปของทีมชาติไทยและเสียใจต่อคำประชดประชันเหล่านี้คือเหล่าทีมงานผู้ฝึกสอนและนักฟุตบอลทีมชาติไทยในแต่ละยุคที่ผ่านมาซึ่งไม่อาจก้าวข้ามคำปรามาสนี้ไปได้ถึงแม้ว่าในหัวใจ ไม่มีใครอยากพ่ายแพ้เมื่อก้าวลงสู่สมรภูมิหญ้าแห่งเกียรติภูมินั้น
ความใฝ่ฝันที่จะนำพาเหล่าขุนพลนักเตะทีมชาติไทยกลับเข้าสู่เส้นทางแห่งเกียรติยศเป็นงานที่แสนยากลำบากในคืนวันอันแห้งแล้งกันดารไร้ซึ่งแสงสว่างนำทางใดๆ และในคืนค่ำอันแสนมืดมนแห่งโชคชะตานั้น ยังมีอดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทยซึ่งได้จารึกประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดคนหนึ่งนับแต่ก่อตั้งสมาคมฟุตบอลไทยในพระบรมราชูปถัมภ์เป็นต้นมานามว่าเกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตขุนพลผู้รับใช้ชาติมาอย่างซื่อสัตย์ภายใต้กรอบวินัยแห่งความเป็นมือมาชีพ ได้กล่าวพันธะสัญญาต่อหน้าสักขีพยานเรือนหมื่นในวันอำลาเครื่องแบบนักรบสมรภูมิหญ้าไว้ว่า “วันข้างหน้า ผมจะกลับมาเป็นโค้ชให้ทีมชาติไทย เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จต่อไป”
ประสบการณ์อันน้อยนิดในการเป็นเสนาธิการกองทัพลูกหนังระดับจังหวัดซึ่งไม่อาจไขว่คว้ารางวัลเกียรติยศใดๆมาได้เลยตลอดช่วงเวลาเริ่มต้นอาชีพผู้ฝึกสอนฟุตบอลเสมือนหนึ่งจะปิดกั้นเส้นทางความฝันของอดีตศูนย์หน้าทีมชาติไทยคนนั้น แต่หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่าในแต่ละทีมที่เขาได้โอกาสรับงานควบคุมการฝึกสอนและบัญชาการรบบนสมรภูมิหญ้านั้น มีแนวทางการเล่นและทัศนคติของเหล่านักรบในทางที่ดีสามารถสร้างการสนับสนุนจากเหล่าสาวกแต่ละทีมได้อย่างยอดเยี่ยม จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าในวันที่ขุนพลนักรบระดับชาติไร้ซึ่งเสนาธิการใหญ่เพื่อพาเหล่าช้างศึกไทยเข้าโรมรันในสงครามเกียติยศระดับนานาชาติ แถมพกด้วยคำสบประมาทว่า “แรงวิ่งแค่ 70 นาที แรงต่อยตีมีตลอดเกม” โค้ชหนุ่มนามว่าเกียรติศักดิ์ เสนาเมืองคนนั้นจะกล้าเข้ารับงานที่กดดันที่สุดยิ่งกว่าตำแหน่งใดๆ ในสมาคมกีฬาของประเทศนี้