****** " ทำไมถึงต้องเลือก นายก - ครม โดยตรงจากประชาชน " // เข้ามาดูกันคัช ****** (อินทรีเเดง รีเทิร์น)

กระทู้คำถาม



                             คณะกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง ได้มีมติให้ประยุกต์ระบบแบ่งแยกอำนาจมาใช้ในการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมืองของไทยที่เคยใช้ระบบควบอำนาจหรือระบบรัฐสภามาโดยตลอด

                             ทั้งนี้ ได้วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคหรือจุดอ่อนของระบบรัฐสภาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน พบว่าระบบรัฐสภามีจุดอ่อนหลายประการ ได้แก่

                             1.การให้ ส.ส.เป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีนั้น จะเหมาะสมถ้า ส.ส.ส่วนใหญ่มาจากการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม และโปร่งใส แต่กรณีของไทยเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งว่า ส.ส.ส่วนใหญ่มาจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ซึ่งหมายความว่า ส.ส.เหล่านี้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งมาทั้งสิ้น เพียงแต่ กกต.จับไม่ได้

                             การที่ประชาชนมอบอำนาจให้ ส.ส.เสียงข้างมากที่มาจากการซื้อสิทธิ์ขายเสียงไปเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี จึงเป็นเหตุให้เกิดการตอบแทนผลประโยชน์กันขึ้น โดยคนเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อมีอำนาจแล้วก็ต้องเอื้อประโยชน์ให้ ส.ส. โดยแต่ละปีจะต้องจัดงบประมาณตามโครงการของ ส.ส.ลงในจังหวัดของ ส.ส. เพื่อให้ ส.ส.ไปชักหัวคิวจากโครงการเหล่านี้ 20-30% ทุกปี ทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นระบาดทั้งประเทศ ปัญหานี้เกิดขึ้นทุกปี การสนับสนุนระบบนี้โดยไม่มีแนวทางแก้ไขก็เท่ากับการสนับสนุนการคอร์รัปชั่นนั่นเอง

                             2.ระบบรัฐสภา ถ้าปรากฏว่ามีพรรคโดดเด่นชนะเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา จะทำให้รัฐบาลสามารถควบคุมได้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ รัฐบาลจะสามารถบงการได้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ การตรวจสอบจะเป็นอัมพาต การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านก็จะไม่มีผล เพราะเมื่อลงมติก็จะแพ้ทุกครั้ง การอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจฝ่ายบริหารได้

                             สภาพเช่นนี้เรียกว่า "เผด็จการจากการเลือกตั้ง" (Elected Dictator) จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลเหิมเกริมในการใช้อำนาจมิชอบ

                             3.ส.ส.ไม่มีบทบาทสำคัญในการบัญญัติกฎหมาย เพราะกฎหมายการเงินต้องเสนอโดยคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีจะสั่งการให้ ส.ส.เสียงข้างมากสนับสนุน ส.ส.จึงมีบทบาทในการทำตามคำสั่งของรัฐบาล และคอยปกป้องการโต้แย้งของฝ่ายค้านเท่านั้น

                             จากสภาพปัญหาดังกล่าว กรรมาธิการเสียงข้างมากจึงเห็นว่า ควรจะต้องปรับโครงสร้างเสียใหม่ โดยประยุกต์หลักการแบ่งแยกอำนาจมาใช้ เพื่อให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีความเป็นอิสระในการตรวจสอบฝ่ายบริหารมากขึ้น และให้ฝ่ายบริหารมีความเป็นอิสระจากการต่อรองผลประโยชน์ของฝ่ายนิติบัญญัติ จึงเสนอให้การเลือกตั้งฝ่ายบริหารแยกออกจากการเลือกตั้งฝ่ายนิติบัญญัติ โดยกำหนดให้

                             1.ประชาชนเลือกคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยตรง ในบัญชีรายชื่อ ครม.ให้ระบุชื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีทั้งคณะ การสมัครต้องยื่นสมัครโดยพรรคการเมือง เพื่อให้มีเสียง ส.ส.สนับสนุนในสภา

                             การเลือกรอบแรกถ้าไม่มีผู้สมัครทีมใดได้เสียงเกินครึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ให้จัดเลือกตั้งรอบสองในเวลาที่กำหนด โดยนำทีมที่ได้รับคะแนนอันดับ 1 และ 2 มาเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้ผู้ชนะที่ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง

                             2.ในระหว่างที่มีพระราชกฤษฎีกาให้จัดการเลือกตั้ง ให้มีรัฐบาลรักษาการคณะหนึ่งดูแลการบริหารราชการแผ่นดินด้วยความเป็นกลาง ไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มการเมืองฝ่ายใด และสนับสนุนการจัดการเลือกตั้งของ กกต.ให้สุจริต เที่ยงธรรม และโปร่งใส ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการเป็นผู้นำความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่

                             มีผู้วิจารณ์ว่า ข้อเสนอนี้จะเป็นการนำ "ระบบประธานาธิบดี" มาใช้ ขอเรียนว่าระบบประธานาธิบดีมีเงื่อนไขที่สำคัญ คือ ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนต้องทำหน้าที่หัวหน้าฝ่ายบริหารและดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศไปพร้อมกัน ถ้าหากเลือกนายกรัฐมนตรีให้มาทำหน้าที่หัวหน้ารัฐบาลอย่างเดียว ไม่ได้เป็นประมุขของประเทศดังกรณีของไทยที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอยู่อย่างมั่นคงแล้ว ก็ไม่เข้าข่ายของระบบประธานาธิบดี

                             ถ้าใครอยากศึกษาระบบประธานาธิบดีให้ชัดเจนลองไปอ่านหนังสือเรื่องการเมืองอเมริกาที่เขียนโดยผมดู จะทำให้เข้าใจระบบประธานาธิบดีอย่างชัดเจน

                             นอกจากนี้ยังมีผู้วิตกกังวลว่า ระบบนี้ ถ้าฝ่ายบริหารที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่มีเสียง ส.ส.ในสภาสนับสนุนไม่ถึงครึ่งจะมีปัญหาในการผ่านร่างกฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายงบประมาณ ถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้น เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่ระบบสองพรรค แต่มีพรรคที่ได้รับเลือกตั้งอาจจะ 6-7 พรรค ดังนั้นถ้าพรรครัฐบาลมีเสียงไม่ถึงครึ่ง ก็สามารถดึงพรรคอื่นมาเป็นพันธมิตรร่วมสนับสนุนรัฐบาลได้ คล้ายรัฐบาลผสม แต่พรรคร่วมรัฐบาลจะมีอำนาจต่อรองน้อย

                             กรณีที่กังวลว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจะเหิมเกริมถ้ามีประชาชน 20-30 ล้านคน เลือกตั้งมา อาจหลงอำนาจ รูปแบบนี้จะออกแบบให้ฝ่ายนิติบัญญัติ โดยเฉพาะฝ่ายค้าน สามารถตรวจสอบและฟ้องคดีต่อศาลการเมืองได้โดยตรง มาตรการนี้จะทำให้ฝ่ายบริหารที่ประพฤติมิชอบมีความเสี่ยงสูงที่จะต้องถูกลงโทษถ้าทำผิดจริง

                             การเลือกตั้ง ครม.โดยตรงมีจุดแข็งหลายประการ ได้แก่

                             1.ประชาชนจะได้ตรวจสอบประวัติของผู้สมัครนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี พร้อมทั้งนโยบายก่อนที่จะเลือกตั้ง จะทำให้ผู้สมัครต้องคัดเลือกคนดีมาเสนอให้ประชาชนพิจารณา

                             2.การแบ่งแยกอำนาจ ให้ฝ่ายบริหารทำหน้าที่บริหารอย่างเดียว ไม่ต้องทำหน้าที่นิติบัญญัติในสภา จะทำให้ฝ่ายบริหารสามารถทุ่มเวลาในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างเต็มที่ จะทำให้ประชาชนมีโอกาสได้ประโยชน์สูงสุด

                             3.รัฐบาลจะมีเสถียรภาพอยู่ได้ครบเทอม จึงทำให้มีโอกาสที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าครบเทอมแล้วแก้ไขปัญหาไม่ถูกใจประชาชน เมื่อหมดสมัยประชาชนจะได้ไม่เลือก

                             4.ถ้าฝ่ายบริหารประพฤติมิชอบ ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบและฟ้องคดีต่อศาลการเมืองโดยตรง จะทำให้ฝ่ายบริหารต้องบริหารประเทศด้วยความระมัดระวัง

                             5.การไม่ให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจยุบสภา จะทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีเสถียรภาพและเป็นอิสระจากการคุกคามของฝ่ายบริหาร การตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติจะมีความเข้มแข็งมากขึ้น

                             6.ถ้าฝ่ายนิติบัญญัติจะใช้อำนาจมิชอบในการคุกคามฝ่ายบริหารโดยใช้อำนาจต่อรองในการผ่านกฎหมาย ฝ่ายบริหารสามารถยื่นฟ้องร้องให้ "คณะกรรมาธิการจริยธรรม" ตรวจสอบได้ มาตรการนี้จะเป็นการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่