นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ ตอนที่ 2-3

กระทู้สนทนา
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทนำ http://pantip.com/topic/32975045
นวนิยาย : สาปหฤหรรษ์ บทที่ 1 http://pantip.com/topic/32977360


--------------------------------------------------


ตอนที่ 2



          ถ้าจะมีคำกล่าวใดเอ่ยถึงความซวยหรือต้องเจอเรื่องแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติเกินความคาดหมายว่าเป็นไปด้วยเหตุและผลใด บุญรักษาก็อยากจะรู้ว่าสิ่งที่เธอเจอขณะนี้คำกล่าวไหนจึงจะเหมาะสมและเข้าสถานการณ์ที่สุด

           เกวียนเล่มที่อาศัยอยู่มีผู้หญิงนั่งเบียดอยู่ด้วยกันสิบเอ็ดคน รวมเธอเข้าไปด้วยก็เป็นสิบสองคนพอดิบพอดี คงไม่น่าหดหู่หากเกวียนนี้เป็นเกวียนธรรมดาๆ แต่เกวียนนี่ดันเป็นเกวียนแบบกรงขัง ทำจากไม้เนื้อแข็ง หญิงหลายคนในนี้ทั้งจับ ทั้งเขย่า โยกคลอนสักเท่าไรก็แทบไม่เขยื้อน เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าแน่นหนา ยากต่อการหลบหนี แม้จะไม่ได้ลองด้วยตัวเองเพราะขยับตัวไม่ได้ ขยับได้แค่ดวงตาเท่านั้น ทว่าก็มากพอสำหรับข้อมูล

           แต่ละคนที่อยู่ร่วมกันในกรงต่างมีดวงตาแดงก่ำ ใบหน้าหมองเศร้า และคงจะรวมเธอเข้าไปด้วย

           ไม่มีใครพูดอะไรตั้งแต่เมื่อคืน เธอถูกแบกมาวางไว้ตรงท้ายเกวียนโดยฝีมือของโภไคย เขาไม่เข้าใกล้ผู้หญิงคนไหนให้โดนเนื้อตัว เพราะเมื่อวางเธอลงเรียบร้อยก็มีทหารหญิงเข้ามาจัดการแทน จัดท่านั่งให้เธอเรียบร้อย และนั่นทำให้บุญรักษาคิดถึงชะตากรรมของตนเอง

           อากาศหนาวเย็นในตอนเช้ามืดไม่ทำร้ายร่างกายของเธอนัก โภไคยทิ้งผ้าสีดำผืนนั้นโดยให้ทหารหญิงคลุมไหล่ไว้ให้ บุญรักษาหรุบตาลงต่ำ สภาพเท้าของเธอที่โผล่พ้นผ้าคือช้ำเป็นจ้ำ มีเลือดและบาดแผล ขามีรอยข่วนถลอกปอกเปิกซึ่งคงจะมาจากตอนวิ่งอยู่ในป่า ข้อศอกมีรอยถลอก มือเลอะเปื้อนดิน แน่นอนว่าผมของเธอแทบไม่เป็นทรง กระจังหน้าหรืออะไรสักอย่างที่ใส่ไว้บนหัวตอนจะเข้าประกวดก็ไม่อยู่อีกแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่ตอนไหน และคิดว่าใบหน้าคงดูไม่ได้ยิ่งกว่ามือและเท้าเป็นแน่

           บุญรักษาคิดเพียงว่าหากเธอถูกพาไปขายเหมือนนวนิยายจีนที่เคยอ่านก็คงจะดี เพราะแต่ละนางล้วนมีโอกาสรอดหรือรอดมาได้ในเวลาต่อมา แม้บางเรื่องนางเอกอาจต้องไปอยู่ในหอนางโลม แต่ก็คงดีกว่าก้นหลุมที่จะฝังเสาหลักเมืองของเธอ

           แต่คิดไป... บางคนอาจเลือกนอนก้นหลุมแล้วมีไม้ท่อนใหญ่เบ้อเร่อทับร่างดีกว่าไปเป็นนางบำเรอในหอโคมเขียวก็เป็นได้ ทว่าหากถามคำถามนี้และให้เลือก...เธออยากอยู่ในหอโคมเขียวมากกว่า แม้จะเป็นความคิดที่ดูไม่มีศักดิ์ศรี แต่ก็ยังมีโอกาสหายใจ ยังมีชีวิตอยู่

           แต่ไม่ว่าจะทางไหน... มันก็น่าร้องไห้อยู่ดี

           อยากจะร้องไห้จริงจังอีกรอบ แต่ก็ไม่มีน้ำตาออกมาอีกแล้ว

           ชีวิตบรรณารักษ์ที่เป็นได้แค่ลูกจ้างชั่วคราวช่างมีความสุขไม่น้อยเมื่อหวนระลึกถึง เธอชอบความเงียบ มีความสุขที่ได้อ่านหนังสือ ชอบจินตนาการไปตามตัวอักษรที่ได้อ่าน ทั้งที่รู้ดีว่าเรียนสาขานี้แล้วจบมาหางานทำลำบาก เป็นครูก็ยาก เพราะภาครัฐไม่สนับสนุนด้วยไม่เห็นความสำคัญ อีกทั้งไม่ได้จบสายครูโดยตรงแต่ก็ไม่สนใจ แม้จะมีช่องทางได้เป็นครูบรรณารักษ์ แต่นั่นก็ต้องไปเรียน ไปสอบ ไปทำตามกระบวนการอีกหลายอย่างหลายปีซึ่งเธอก็ทำอยู่ ชีวิตจึงเป็นลูกจ้างชั่วคราวเรื่อยมา กระทั่งยายป่วยและไม่มีคนดูแลจึงลาออก หันมาเป็นเซลขายปุ๋ยที่ร้านเฮงการเกษตรข้างบ้านเมื่อสามปีก่อนเพราะสามารถดูแลยายได้ตลอด ไม่ต้องอยู่ห่างกัน

           ตอนนั้นเธอเสียดายไม่น้อยที่ไม่ได้อยู่กับงานที่รัก แต่ก็นับว่าคุ้มค่าที่สุดที่ตัดสินใจถูกเพราะเธอเพิ่งทำบุญร้อยวันให้ยายเมื่อเดือนก่อน

           ชีวิตของเธอไม่เหลือใครอีกแล้ว และเมื่อไม่มียาย ไม่มีใคร สิ่งที่โหยหาจึงทำให้กลับไปสมัครเป็นบรรณารักษ์อีกครั้ง แม้ไม่สนุกสนานเท่ากับเคยทำในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยชื่อดังที่เคยทำงานอยู่ แต่ว่าห้องสมุดประจำจังหวัดก็ยังเป็นอะไรที่ดีสำหรับเธอไม่น้อยตามความคิดในขณะนั้น

           และนั่นก็ทำให้แอบแค้นตัวเอง เพราะหากวันนั้นเธอไม่หาเรื่องเบี่ยงประเด็นความเหงา เบื่อ เซ็ง โดยเข้าไปสมัครงานที่ดันเหลือตำแหน่งว่างราวกับว่ารอเธออยู่ หรือได้ทำงานช้ากว่านั้นสักสิบวัน หรือโหยหาอะไรในสิ่งที่รักช้ากว่านั้นอีกสักนิด ไม่ถูกตอบรับเข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวไวกว่าคนอื่น ไม่ได้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหน่วยงานหนึ่งที่ต้องมีส่วนร่วมกันในงานกาชาดประจำปี วันนี้...ตอนนี้...เธอก็ไม่ต้องมานั่งหัวสั่นหัวคลอนอยู่ในเกวียนขังคนนี่

           บุญรักษาอยากจะร้องไห้... ทั้งหมดที่ว่ามาก็เพราะความรักของตัวเองแท้ๆ ที่กำลังพาเธอลงไปอยู่ก้นหลุมให้เฝ้าเมืองบ้าบออะไรก็ไม่รู้ แค้นโชคชะตานัก แค่อยากตะโกนก็ยังไม่มีเสียง จะตายทั้งทีโอดครวญร่ำร้องเป็นบ้าเป็นหลังก็ยังทำไม่ได้ แม้สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ มองสภาพรอบๆ ที่แปลกตา

           ข้างทางเกวียนเป็นป่ารกชัฏ กลิ่นอุจาระและปัสสาวะโชยมาเป็นระลอก คงมาจากเกวียนเล่มข้างหน้า บางคนสติแตกถึงกับฉี่ราดอุจจาระราด กลิ่นช่างทรมานเธอเหลือเกิน ขยับตัวก็ไม่ได้ ไม่ศิวิไลซ์สักนิดกับสิ่งที่กำลังเผชิญขณะนี้

           บุญรักษามองหญิงที่อยู่ร่วมเกวียน พวกหล่อนคงรู้ว่าเธอขยับตัวไม่ได้จึงไม่สะกิดให้ยืนขึ้นเพื่อสลับกันลุกนั่ง จะได้ไม่เบียดกันมากเกินไป แต่ถึงจะให้ยืนเธอก็คงยืนไม่ไหว เท้าของเธอช้ำระบมจนเห็นได้ชัด เลือดและแผลนั้นน่ากลัวไม่น้อย คิดถึงเมื่อคืนก็สมบุกสมบันจริงๆ

           บุญรักษาค่อยๆ ยิ้มออกมา นั่นสินะ...เธอทำเต็มที่แล้ว นั่นจึงทำให้เหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง ตอนนี้ใกล้จะเช้า ตลอดทั้งคืนแทบไม่ได้หลับ ในกรงนี่แคบจนเกือบจะจูบกันอยู่รอมร่อ เกวียนที่มีกรงขังแบบนี้มีอยู่สามเล่ม เป็นชายสองเล่มซึ่งอยู่ข้างหน้า เป็นหญิงหนึ่งเล่ม เรียงแถวตามกันไปเป็นระเบียบ ขนาบข้างด้วยกลุ่มทหารม้าเป็นร้อยนาย คุ้มกันอย่างแน่นหนา

           เพิ่งจะรู้ว่าความรู้สึกของคนที่กำลังเดินเข้าไปหาความตายเป็นแบบนี้นี่เอง แบบที่รู้ว่าไม่มีหนทางหนีรอดไปได้ พวกสัตว์ที่จะเข้าโรงเชือดก็คงรู้สึกเหมือนอย่างที่เธอกำลังรู้สึกตอนนี้สินะ บางตัวถึงได้กล้ากระโดดลงจากรถเพราะต่างมีสัญชาตญาณการเอาตัวรอด ซึ่งหากเป็นเธอและอยู่ในสภาพพร้อมจะหนี ก็คงไม่ต้องถามว่าจะกล้ากระโดดบ้างหรือไม่ เพราะสภาพเท้ายับเยินย่อมยืนยันความคิดและคำตอบว่าหนีแน่นอน แต่นั่นก็ต้องดูสถานการณ์เช่นกัน

           หญิงสาวถอนหายใจอย่างอ่อนแรงและหลับตาลง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ซึ่งเย้ยหยัน...หาใช่เพราะมีความสุข

           บุญรักษาปล่อยใจให้สัมผัสอากาศเย็นเอื่อยๆ ที่ลอยมาแตะผิวเนื้อ สูดกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าและกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ริมทางที่โชยมา กลบกลิ่นน่าคลื่นเหียนที่ผ่านมาเป็นระลอกซึ่งตอกย้ำว่ากำลังจะเกิดอะไร

           ความเย็นบางอย่างวาบเข้ามาที่หางตา บุญรักษาเหลือบมอง และนั่นทำให้ยิ้มกว้างแบบไม่เห็นฟัน น้ำตาของเธอเองหรอกหรือ เธอกลัวตายจนลืมว่ากลัวไปแล้วหรือนั่น เหมือนจะเข้มแข็งและทำใจได้... ทว่าความจริงในส่วนลึกยังคงรู้สึกสินะ และนั่นทำให้ต้องหลับตาลงอีกครั้ง เธอไม่อยากเห็นสภาพของหญิงที่ยืนเกาะกรงฝั่งตรงข้าม เพราะนั่นทำให้เธอยิ่งหวาดหวั่นมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

           ‘ไม่มีอะไรต้องต้องกลัวอีกแล้ว...รัก’

           ใช่... รักคือชื่อเล่นของเธอ ไพเราะเป็นที่สุดเมื่อยายเอ่ยออกมา น่าฟังจับใจเมื่อยายเรียกหา ยายมักเรียกเธอว่า ‘น้องรัก’ เสมอๆ และเมื่อเธอไปถึงตัว ยายจะกอดเธอเอาไว้แน่นๆ

           เธอคิดถึงอ้อมกอดของยาย บางทีความตายครั้งนี้อาจทำให้ได้พบท่าน และได้พบพ่อกับแม่ที่ล่วงหน้าไปก่อนนั้นนานแล้ว ตั้งแต่เธอเกิดได้ไม่นานตามคำบอกเล่า

           “ประเดี๋ยวจงเร่งชำระเนื้อตัวให้สะอาด เข้าพบท่านราชครู” เสียงของโภไคยดังมา

           บุญรักษานึกว่าจะเหมือนนวนิยายสักเรื่องที่พระเอกตามมาเทคแคร์นางเอก แต่ของเธอกลายเป็นว่าให้เตรียมตัวเพื่อจะตายเสียนี่

           ‘จะให้ฟุ้งซ่านก่อนตายสักหน่อยก็ไม่ได้’ คิดทั้งยังหลับตาเอาไว้ ฟังเสียงกุบกับของฝีเท้าม้าที่ใกล้เข้ามาและห่างออกไป

           บางคนร้องไห้หนักขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของนายกองฝ่ายพิธีเมือง ส่วนเธอ...เริ่มจะปลง แต่ก็ยังอยากร้องไห้ออกมาเป็นเพื่อนพวกเขาเหมือนกัน

- * - * - * - * - * - * - * - * - * - *- * - * - * - * - * -
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่