เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เป็นวันที่ฝนตกหนักโดยที่ไม่ได้นัดหมาย ซึ่งตกมาในช่วงเที่ยงถึงช่วงบ่าย ๆ และในวันนั้นเอง ทำให้ผมได้ลิ้มลองรสชาติที่ชีวิตนี้ไม่คิดที่จะได้ลองมาก่อน เป็นประสบการณ์ที่จะไม่มีวันลืม และอยากจะเล่าให้เพื่อน ๆ ฟังกันครับ
"Base on my true story"
--- ครึ่งแรก ---
ตามปกติแล้วผมจะเป็นคนที่ไปทำงานสายอยู่ตลอด แต่วันนั้นไม่รู้คิดยังไงตื่นแต่เช้าซะงั้น พอผมแต่งตัวเสร็จก็ออกไปที่รถ ซึ่งก่อนออกจากบ้านผมก็จะเช็คสภาพรถก่อนทุกครั้ง ตั้งแต่ยางรถหน้าหลัง เบรค เกียร์ โซ่ ฯลฯ พอเช็คเสร็จก็จะใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำที่ไว้สำหรับกันฝุ่น ถุงมือ หมวกกันน็อก และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผ้าปิดจมูกสีขาวสะอาด ซึ่งถ้าวันไหนขาดมันแล้วจะอึดอัดกันฝุ่นควันตามท้องถนน เมื่อใส่อ็อฟชั่นทั้งหมดเข้าไปในร่างกายแล้ว ก็เตรียมติดเครื่อง มันติดอย่างง่ายดาย แล้วผมก็ขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว อา... อากาศยามเช้ามันช่างสดชื่นซะเหลือเกิน แต่ไม่เกิน 5 นาที ผมก็ออกมาถึงปากซอย อากาศสดชื่นหายไปหมดละ เหลือแต่เสียงบีบแตรไล่รถคันข้างหน้า กับหมอกขาวปนดำจากท่อไอเสีย
แต่ผมก็ไม่ได้หยี่ระมันซักเท่าไหร่ เพราะผมก็เจอมันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ผมคิดในใจว่า จะออกเช้าออกสายมันก็เหมือนเดิมล่ะวะ แล้วก็ขี่ออกไปทางเส้นทาง ผ่านฝูงรถติด และตำรวจจราจรที่คอยดักโบกอยู่ตามทาง คนไหนโบกมั่วผมก็ไม่จอดล่ะ เสียเวลา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ผมก็ฝ่าเส้นทางมาจนถึงที่ทำงาน ผมจอดรถและถอดออฟชั่นทุกอย่างยัดไว้ที่ใต้เบาะ ยกเว้นผ้าปิดจมูกที่เอาใส่ซองและเก็บอย่างดี แล้วเข้าทำงาน ฝ่าสายตาตะลึงของสาวๆ ในออฟฟิศในความหล่อเท่ห์บาดใจของผม แถมยังมาเช้าอีก ผมเขินกลิ้งไปหลายตลบกลิ้งไปจนถึงห้องทำงานพลันหยิบมาม่ารถต้มยำกุ้งแบบคัพขึ้นมา แล้วดิ่งไปยังห้องอาหาร ต้มน้ำร้อน เทใส่ถ้วยและเริ่มต้นกิน อา... เช้าๆ อย่างนี้ได้กินมาม่ามันช่างวิเศษจริงๆ ผมเอาน้ำร้อนที่เหลือเทใส่แก้วกาแฟ พร้อมเทครีมเทียมลงไป โห ใครจะไปรู้ว่า หลังมาม่าหากตามด้วยกาแฟล่ะก็ สวรรค์ในลำคอแท้ๆ เลยล่ะ "อะแฮ่ม" ผมกระแอมทีนึง เพื่อให้กาแฟรีบๆ สิ่งลงไปยังกะเพาะอาหาร แล้วก็เริ่มต้นทำงาน
--- ครึ่งหลัง ---
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปๆ เส้นบะหมี่ในท้องก็เริ่มถูกย่อยไปจนหมด พร้อมกับส่งเสียงบอกเจ้าของร่างดังจ๊อกกกกก อ้อ ได้เวลาเที่ยงแล้วสินะ ผมเซฟงานที่กำลังทำอยู่แล้วจัดการปิดแอร์ ปิดหน้าจอคอม แล้วเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัว เพื่อที่จะไปตามเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนที่ไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันทุกวัน แต่ออกมายังไม่ทันพ้นประตู ก็ได้ยินเสียงเหมือนใครเทข้าวสารจำนวนมาก จึงเดินออกไปดูที่ระเบียง ปรากฎเม็ดฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ยั้ง แอ่งน้ำหลายที่หน้าออฟฟิศเริ่มท่วมแล้ว แสดงว่ามันคงตกมานานแล้ว ดังนั้นเส้นทางที่จะเดินออกไปปากซอยเพื่อจะทานข้าวนั้นไม่ต้องพูดถึง มันคงเจิ่งนองไปหมดแล้ว เสียงท้องถามดังจ็อกกกก ว่าจะเอายังไง เสบียงที่มีอยู่ก็เหลือเพียงลูกอมกับบ๊วยเค็มไว้กินตอนแก้ง่วง ร่มก็ไม่ได้เอามา ผมก็เลยตัดสินใจกดน้ำจากตู้มาหนึ่งแก้วใหญ่แล้วกระดกรวดเดียวหมด จากนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องและ........ นอนซะเลย ^^! (ก็ออกไปหาไรกินไม่ได้นี่หว่า)
จากนั้นเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เรี่ยวแรงที่มีก็พลอยหายไปด้วย แต่งานยังกองอยู่ เอาวะ ทนหิวหน่อยนะลูกพ่อ แล้วก็กัดฟันลุยงานต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่หิวนั่นแหละ หลังจากที่ลุยงานไปนานนนมาก ก็เลยก้มดูนาฬิกาที่ขวาล่างของจอเสียทีนึง โอ้ว 17.00 แล้ว ตื่นเต้นๆ ผมกุลีกุจอเซฟงานและเก็บข้าวเก็บของปิดแอร์ ปิดไฟ ตามเดิม และเมื่อก้าวพ้นไปตูไปนิดเดียวก็คิดได้ว่า ฝนยังตกอยู่รึป่าวฟะ พลันเงี่ยหูฟังแต่ก็เงียบ เลยเดินไปดูที่ระเบียงเพื่อความแน่ใจ แต่เดินยังไม่ทันเข้าเขตระเบียง ลมเย็นๆ ก็โชยเข้ามาถึงด้านใน ทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก และนั่นก็หมายถึงว่าฝนได้หยุดตกไปเรียบร้อยแล้ว ผมเลยออกไปสูดอากาศสดชื่นอย่างเต็มปอด และในขณะที่ผมกำลังร่าเริงกับอากาศดีๆ อยู่ เสียงจ๊อกกกก ก็ร้องเตือนผม "กลับบ้านดีกว่า"ความคิดเดียวที่พุ่งมาในตอนนี้และมันพาตัวผมพุ่งตัวไปยังชั้น 1 และบึ่งไปยังลานจอดรถ ซึ่งตอนนี้ดูใหม่ผิดหูผิดตาเพราะว่าโดนน้ำฝนล้างฝุ่นออกไปนั่นเอง ดีจัง ประหยัดค่าล้างรถไปได้อีกหน่อย ฮี่ ๆ ด้วยความกระดี๊กระด๊าที่จะได้กลับบ้านไปหาอะไรอร่อยๆ กิน ก็เลยตัดสินใจไม่สนออฟชั่นต่างๆ ที่ใส่มาตั้งแต่เช้า แหม อากาศเย็นๆ อย่างนี้ใครก็อยากสูดเข้าไปมากกว่าที่จะไปอุดอุ้อยู่ในผ้าปิดจมูก ผมคร่อมรถ สตาร์ทเครื่องและบึ่งออกไปอย่างเต็มพิกัด ลมเย็นๆ ตีหน้าผมอยู่เป็นระยะ แถมรถยังไม่ติดอีก ดีจริงๆ ผมเลยเลือกที่จะไปทางอ้อมเพื่อที่จะได้สูดกับอากาศดีๆ เยอะๆ หน่อย
ผมขี่รถอย่างเรื่อยๆ ไปได้ครึ่งทาง ท้องเจ้ากรรมก็ร้องเตือนขึ้นมาอีก จ๊อกกกกกกกกก เออๆๆ ตูรู้แล้วน่า ผมบ่นกับตัวเองอย่างรำคาญ แล้วหาวไปหนึ่งทีเพื่อสลัดความขี้เกียจออกและเตรียมที่จะเร่งความเร็ว
ทันใดนั้นมีอะไรสีน้ำตาลๆ กระเด็นมาติดบนหน้าผมดังแป๊ะ! โชคดีที่ใส่แว่นมันก็เลยไม่โดนตาผม แต่ก็ทำห้ผมได้เห็นว่าไอ้สีน้ำตาล ๆ นั่นเป็นอะไร แมลงสาบนั่นเอง ด้วยความตกใจผมเลยเอามือไปปัดมันออก เฮ้ยยยยยยยย ผมร้องเสียงดังหลังจากที่มันแฉล่บจากแว่นผมลงไปที่บริเวณแก้ม ผมตะโกนเสียงดังอีกทำให้ปากผมอ้ากว้างขึ้น ทันใดนั้น มันก็ถูกลมตีเข้าไปในปากผมทันที ด้วยความตกใจอย่างสุดขีด ผมจึงรีบหุบปาก มันก็เลยไปอยู่ในปากผมเต็ม 100% ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมกลัวจนปากสั่น และฟันของผมคงไปขบโดนมันเข้าแล้ว เพราะว่ามันมีของเหลวเมือกๆ ไหลอยู่ที่กระพุ้งแก้มด้านขวา พร้อมกันมีสิ่งเคลื่อนไหวเอาชีวิตรอดอยู่ที่เดียวกัน ผมอ้าปากและคายเพื่อจะให้มันออกแต่ด้วยแรงลมที่ปะทะเข้ามามันจึงยิ่งเข้าไป ในปากลึกขึ้นไปอีก ผมจึงทุรนทุรายที่จะ

มันออกมา ช่วงนั้น ร่างกายของมัน ทั้งปีก ทั้งขา หัวมัน ตัวมัน และของเหลวข้นๆ ในร่างกายมันต่างก็แตกกระจายเต็มไปทั่วปากผมจากผลที่กระทบกับฟันโดยที่ไม่ ได้ตั้งใจ ก่อนที่จะถูกถ่มออกมาจนเกือบหมด ผมสะอิดสะเอียดแบบถึงขีดสุดผมจอดรถและก็ลงไปอ๊วกที่ข้างทางทันที สายตาคนแถวนั้นมองกันอย่างแปลกใจ ผมอ๊วกออกมาหลายระลอก ทั้งๆ ที่ในท้องไม่ค่อยมีอะไรอยู่แล้ว เหมือนจะเป็นน้ำๆ ไปหมดซะทุกอย่างที่ดูจะเป็นชิ้นเป็นอันก็มีเพียงแต่เม็ดบ้วยที่ผมเผลอกลืนลง ไปเม็ดนึงเท่านั้นเอง ผมพักเหนื่อยจากการอ๊วกตรงกองอ๊วกนั่นแหละ พลันก็นั่งพินิจพิเคราะห์อาหารที่เคยอยู่ในท้อง พลันก็เห็นชิ้นส่วนบริเวณขาของเจ้าแมลงสาปตัวนั้น จ๊าก นี่ผมกลืนมันไปด้วยเหรอเนี่ยยยยย ผมจึงแถมอ๊วกไปอีกหนึ่งทีแล้ว

ๆ ส่งท้าย จากนั้นรีบบึ่งรถกลับบ้านโดยที่แทบไม่สนไฟแดง และเมื่อถึงบ้านผมจอดรถแทบไม่ทันและวิ่งเข้าบ้านไปเลยโดยไม่ถอดรองเท้า ผมตรงไปยังห้องน้ำและบ้วนปากนับครั้งไม่ถ้วน พร้อมกับเริ่มต้นแปรงฟันอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับน้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลพรากออกมา พอแปรงเสร็จก็เริ่มดูตามขนแปรงและฟองยาสีฟันว่ามีเศษของมันติดออกมาอีกหรือ เปล่า แล้วก็ออกจากห้องน้ำไปนั่งกองอยู่ที่โซฟาและเริ่มต้นหอบเหนื่อย และเริ่มต้นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่
--- แถมท้าย ---
หลังจากที่ปลงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เริ่มเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาอะไรกินเพราะรำคาญเสียงท้องร้องเต็มที ก็แหงล่ะ ยังไม่ทันได้เอาเข้าเลยก็ได้เอาออกไปซะจนหมดแล้ว และเริ่มต้นหาของกิน แต่ไม่ว่าอะไรจะเข้าปากก็ตาม มันก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเป็นของเหลวข้นๆ ของไอ้นั่นทุกที พร้อมกับรสชาดที่มันติดลิ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ยากเหลือเกินที่จะกลืนอะไรลงไป สุดท้าย สิ่งที่กล้ากลืนลงไปก็คือ มาม่าต้มยำกุ้งแบบบิ๊กแพ็คร้อนๆ (อีกแล้ว) เพราะมันเป็นสิ่งเดียวในตอนนั้นที่พอจะทำให้ผมลืมรสชาติของมันได้ ทำให้ผมเข้าใจว่าดัมเบิ้ลดอร์รู้สึกยังไงตอนที่ได้กินลูกอมรสแมลงสาปของเบอร์ตี้บอร์ท และผมเองไม่คิดที่จะลองรสขี้หูหรือขี้มูกเพิ่มด้วย แหวะ!
-------------------------------
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่านี่เป็นกระทู้รีเมคของผมเอง ซึ่งเมื่อก่อนเคยโพสเรื่องราวนี้เอาไว้เมื่อนานมามากแล้ว (ประมาณปี 2549) ซึ่งก็หายไปไหนไม่รู้ แต่อยากเอามาเล่าให้ฟังให้อ่านกันใหม่ด้วยวีรกรรมสุดๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวของผมเอง ซึ่งล่าสุดก็มีวีรกรรมสุดฮาและสุดแสบของตัวเองมาเพิ่มขึ้น แต่ก่อนที่จะเอาเรื่องใหม่มาเล่าก็ขอเอาของเก่ามีรีเมคกันซักรอบนึงก่อน เพื่อถือว่าเป้นการเกริ่นนำวีรรกรรมต่างๆ ของผม และหลังจากนี้ผมจะมาเขียนเล่าวีรกรรมสุดสยอง(ส่วนใหญ่จะน่าสมเพชมากกว่า)ของตัวเองมาเขียนให้ได้อ่านกันเอาฮา และจะพยายามแฝงข้อคิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อคงความไร้สาระเอาไว้น่ะครับ
ป.ล. ไอตัวนี้ผมเห็นทีไร นึกถึงมันทุกที

รสชาติที่คุณคาดไม่ถึง
"Base on my true story"
--- ครึ่งแรก ---
ตามปกติแล้วผมจะเป็นคนที่ไปทำงานสายอยู่ตลอด แต่วันนั้นไม่รู้คิดยังไงตื่นแต่เช้าซะงั้น พอผมแต่งตัวเสร็จก็ออกไปที่รถ ซึ่งก่อนออกจากบ้านผมก็จะเช็คสภาพรถก่อนทุกครั้ง ตั้งแต่ยางรถหน้าหลัง เบรค เกียร์ โซ่ ฯลฯ พอเช็คเสร็จก็จะใส่เสื้อแจ็คเก็ตสีดำที่ไว้สำหรับกันฝุ่น ถุงมือ หมวกกันน็อก และที่ขาดไม่ได้ก็คือ ผ้าปิดจมูกสีขาวสะอาด ซึ่งถ้าวันไหนขาดมันแล้วจะอึดอัดกันฝุ่นควันตามท้องถนน เมื่อใส่อ็อฟชั่นทั้งหมดเข้าไปในร่างกายแล้ว ก็เตรียมติดเครื่อง มันติดอย่างง่ายดาย แล้วผมก็ขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว อา... อากาศยามเช้ามันช่างสดชื่นซะเหลือเกิน แต่ไม่เกิน 5 นาที ผมก็ออกมาถึงปากซอย อากาศสดชื่นหายไปหมดละ เหลือแต่เสียงบีบแตรไล่รถคันข้างหน้า กับหมอกขาวปนดำจากท่อไอเสีย
แต่ผมก็ไม่ได้หยี่ระมันซักเท่าไหร่ เพราะผมก็เจอมันอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ผมคิดในใจว่า จะออกเช้าออกสายมันก็เหมือนเดิมล่ะวะ แล้วก็ขี่ออกไปทางเส้นทาง ผ่านฝูงรถติด และตำรวจจราจรที่คอยดักโบกอยู่ตามทาง คนไหนโบกมั่วผมก็ไม่จอดล่ะ เสียเวลา ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ผมก็ฝ่าเส้นทางมาจนถึงที่ทำงาน ผมจอดรถและถอดออฟชั่นทุกอย่างยัดไว้ที่ใต้เบาะ ยกเว้นผ้าปิดจมูกที่เอาใส่ซองและเก็บอย่างดี แล้วเข้าทำงาน ฝ่าสายตาตะลึงของสาวๆ ในออฟฟิศในความหล่อเท่ห์บาดใจของผม แถมยังมาเช้าอีก ผมเขินกลิ้งไปหลายตลบกลิ้งไปจนถึงห้องทำงานพลันหยิบมาม่ารถต้มยำกุ้งแบบคัพขึ้นมา แล้วดิ่งไปยังห้องอาหาร ต้มน้ำร้อน เทใส่ถ้วยและเริ่มต้นกิน อา... เช้าๆ อย่างนี้ได้กินมาม่ามันช่างวิเศษจริงๆ ผมเอาน้ำร้อนที่เหลือเทใส่แก้วกาแฟ พร้อมเทครีมเทียมลงไป โห ใครจะไปรู้ว่า หลังมาม่าหากตามด้วยกาแฟล่ะก็ สวรรค์ในลำคอแท้ๆ เลยล่ะ "อะแฮ่ม" ผมกระแอมทีนึง เพื่อให้กาแฟรีบๆ สิ่งลงไปยังกะเพาะอาหาร แล้วก็เริ่มต้นทำงาน
--- ครึ่งหลัง ---
หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปๆ เส้นบะหมี่ในท้องก็เริ่มถูกย่อยไปจนหมด พร้อมกับส่งเสียงบอกเจ้าของร่างดังจ๊อกกกกก อ้อ ได้เวลาเที่ยงแล้วสินะ ผมเซฟงานที่กำลังทำอยู่แล้วจัดการปิดแอร์ ปิดหน้าจอคอม แล้วเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัว เพื่อที่จะไปตามเพื่อนร่วมงานอีก 2 คนที่ไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันทุกวัน แต่ออกมายังไม่ทันพ้นประตู ก็ได้ยินเสียงเหมือนใครเทข้าวสารจำนวนมาก จึงเดินออกไปดูที่ระเบียง ปรากฎเม็ดฝนห่าใหญ่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ยั้ง แอ่งน้ำหลายที่หน้าออฟฟิศเริ่มท่วมแล้ว แสดงว่ามันคงตกมานานแล้ว ดังนั้นเส้นทางที่จะเดินออกไปปากซอยเพื่อจะทานข้าวนั้นไม่ต้องพูดถึง มันคงเจิ่งนองไปหมดแล้ว เสียงท้องถามดังจ็อกกกก ว่าจะเอายังไง เสบียงที่มีอยู่ก็เหลือเพียงลูกอมกับบ๊วยเค็มไว้กินตอนแก้ง่วง ร่มก็ไม่ได้เอามา ผมก็เลยตัดสินใจกดน้ำจากตู้มาหนึ่งแก้วใหญ่แล้วกระดกรวดเดียวหมด จากนั้นเดินกลับเข้าไปในห้องและ........ นอนซะเลย ^^! (ก็ออกไปหาไรกินไม่ได้นี่หว่า)
จากนั้นเวลาผ่านไป 1 ชั่วโมง ผมตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย เรี่ยวแรงที่มีก็พลอยหายไปด้วย แต่งานยังกองอยู่ เอาวะ ทนหิวหน่อยนะลูกพ่อ แล้วก็กัดฟันลุยงานต่อไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่หิวนั่นแหละ หลังจากที่ลุยงานไปนานนนมาก ก็เลยก้มดูนาฬิกาที่ขวาล่างของจอเสียทีนึง โอ้ว 17.00 แล้ว ตื่นเต้นๆ ผมกุลีกุจอเซฟงานและเก็บข้าวเก็บของปิดแอร์ ปิดไฟ ตามเดิม และเมื่อก้าวพ้นไปตูไปนิดเดียวก็คิดได้ว่า ฝนยังตกอยู่รึป่าวฟะ พลันเงี่ยหูฟังแต่ก็เงียบ เลยเดินไปดูที่ระเบียงเพื่อความแน่ใจ แต่เดินยังไม่ทันเข้าเขตระเบียง ลมเย็นๆ ก็โชยเข้ามาถึงด้านใน ทำให้รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก และนั่นก็หมายถึงว่าฝนได้หยุดตกไปเรียบร้อยแล้ว ผมเลยออกไปสูดอากาศสดชื่นอย่างเต็มปอด และในขณะที่ผมกำลังร่าเริงกับอากาศดีๆ อยู่ เสียงจ๊อกกกก ก็ร้องเตือนผม "กลับบ้านดีกว่า"ความคิดเดียวที่พุ่งมาในตอนนี้และมันพาตัวผมพุ่งตัวไปยังชั้น 1 และบึ่งไปยังลานจอดรถ ซึ่งตอนนี้ดูใหม่ผิดหูผิดตาเพราะว่าโดนน้ำฝนล้างฝุ่นออกไปนั่นเอง ดีจัง ประหยัดค่าล้างรถไปได้อีกหน่อย ฮี่ ๆ ด้วยความกระดี๊กระด๊าที่จะได้กลับบ้านไปหาอะไรอร่อยๆ กิน ก็เลยตัดสินใจไม่สนออฟชั่นต่างๆ ที่ใส่มาตั้งแต่เช้า แหม อากาศเย็นๆ อย่างนี้ใครก็อยากสูดเข้าไปมากกว่าที่จะไปอุดอุ้อยู่ในผ้าปิดจมูก ผมคร่อมรถ สตาร์ทเครื่องและบึ่งออกไปอย่างเต็มพิกัด ลมเย็นๆ ตีหน้าผมอยู่เป็นระยะ แถมรถยังไม่ติดอีก ดีจริงๆ ผมเลยเลือกที่จะไปทางอ้อมเพื่อที่จะได้สูดกับอากาศดีๆ เยอะๆ หน่อย
ผมขี่รถอย่างเรื่อยๆ ไปได้ครึ่งทาง ท้องเจ้ากรรมก็ร้องเตือนขึ้นมาอีก จ๊อกกกกกกกกก เออๆๆ ตูรู้แล้วน่า ผมบ่นกับตัวเองอย่างรำคาญ แล้วหาวไปหนึ่งทีเพื่อสลัดความขี้เกียจออกและเตรียมที่จะเร่งความเร็ว
ทันใดนั้นมีอะไรสีน้ำตาลๆ กระเด็นมาติดบนหน้าผมดังแป๊ะ! โชคดีที่ใส่แว่นมันก็เลยไม่โดนตาผม แต่ก็ทำห้ผมได้เห็นว่าไอ้สีน้ำตาล ๆ นั่นเป็นอะไร แมลงสาบนั่นเอง ด้วยความตกใจผมเลยเอามือไปปัดมันออก เฮ้ยยยยยยยย ผมร้องเสียงดังหลังจากที่มันแฉล่บจากแว่นผมลงไปที่บริเวณแก้ม ผมตะโกนเสียงดังอีกทำให้ปากผมอ้ากว้างขึ้น ทันใดนั้น มันก็ถูกลมตีเข้าไปในปากผมทันที ด้วยความตกใจอย่างสุดขีด ผมจึงรีบหุบปาก มันก็เลยไปอยู่ในปากผมเต็ม 100% ทันใดนั้นผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมกลัวจนปากสั่น และฟันของผมคงไปขบโดนมันเข้าแล้ว เพราะว่ามันมีของเหลวเมือกๆ ไหลอยู่ที่กระพุ้งแก้มด้านขวา พร้อมกันมีสิ่งเคลื่อนไหวเอาชีวิตรอดอยู่ที่เดียวกัน ผมอ้าปากและคายเพื่อจะให้มันออกแต่ด้วยแรงลมที่ปะทะเข้ามามันจึงยิ่งเข้าไป ในปากลึกขึ้นไปอีก ผมจึงทุรนทุรายที่จะ
--- แถมท้าย ---
หลังจากที่ปลงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เริ่มเดินไปยังห้องครัวเพื่อหาอะไรกินเพราะรำคาญเสียงท้องร้องเต็มที ก็แหงล่ะ ยังไม่ทันได้เอาเข้าเลยก็ได้เอาออกไปซะจนหมดแล้ว และเริ่มต้นหาของกิน แต่ไม่ว่าอะไรจะเข้าปากก็ตาม มันก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไปเป็นของเหลวข้นๆ ของไอ้นั่นทุกที พร้อมกับรสชาดที่มันติดลิ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ยากเหลือเกินที่จะกลืนอะไรลงไป สุดท้าย สิ่งที่กล้ากลืนลงไปก็คือ มาม่าต้มยำกุ้งแบบบิ๊กแพ็คร้อนๆ (อีกแล้ว) เพราะมันเป็นสิ่งเดียวในตอนนั้นที่พอจะทำให้ผมลืมรสชาติของมันได้ ทำให้ผมเข้าใจว่าดัมเบิ้ลดอร์รู้สึกยังไงตอนที่ได้กินลูกอมรสแมลงสาปของเบอร์ตี้บอร์ท และผมเองไม่คิดที่จะลองรสขี้หูหรือขี้มูกเพิ่มด้วย แหวะ!
-------------------------------
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่านี่เป็นกระทู้รีเมคของผมเอง ซึ่งเมื่อก่อนเคยโพสเรื่องราวนี้เอาไว้เมื่อนานมามากแล้ว (ประมาณปี 2549) ซึ่งก็หายไปไหนไม่รู้ แต่อยากเอามาเล่าให้ฟังให้อ่านกันใหม่ด้วยวีรกรรมสุดๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวของผมเอง ซึ่งล่าสุดก็มีวีรกรรมสุดฮาและสุดแสบของตัวเองมาเพิ่มขึ้น แต่ก่อนที่จะเอาเรื่องใหม่มาเล่าก็ขอเอาของเก่ามีรีเมคกันซักรอบนึงก่อน เพื่อถือว่าเป้นการเกริ่นนำวีรรกรรมต่างๆ ของผม และหลังจากนี้ผมจะมาเขียนเล่าวีรกรรมสุดสยอง(ส่วนใหญ่จะน่าสมเพชมากกว่า)ของตัวเองมาเขียนให้ได้อ่านกันเอาฮา และจะพยายามแฝงข้อคิดให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อคงความไร้สาระเอาไว้น่ะครับ
ป.ล. ไอตัวนี้ผมเห็นทีไร นึกถึงมันทุกที