เมื่อเกย์คนนึงต้องแต่งงาน

ตอนที่ 1

    เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ผมชื่อ อิฐ (ขอเป็นนามสมมุตินะครับ) ผมเป็นลูกชายคนเดียว และผมเป็นเกย์ เป็นตั้งแต่เกิดจำความได้ผมก็ชอบผู้ชายแล้วครับ จริง ๆ มันก็ไมได้เกี่ยวข้องอะไรกันหรอกครับ แต่สิ่งนี้แหละผูกพันตัวผมไปตลอดชีวิต สมัยเด็ก ๆ ผมก็มักจะเล่นกับเพื่อนผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ เพราะผมคิดว่าการเล่นแตะต่อยแบบผู้ชาย มันทำให้เจ็บ แต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เล่นกับเพื่อนผู้ชายเลยนะครับ เวลาเพื่อนผู้ชายเล่นมนุษย์ไฟฟ้า 5 สี ผมอยากเล่นเป็นสีน้ำเงินมากกก แต่ว่าผมมักได้รับบทเป็นสีชมพูเสมอเลย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเพื่อน ๆ ถึงมอบหมายบทนี้ให้ผม

    สิ่งที่ภูมิใจในชีวิตก็คือการเรียน ผมเรียนดี สอบได้ลำดับต้น ๆ ของห้องเรียนเสมอ ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามที่พ่อแม่ต้องการ พ่ออยากให้ผมเรียนแพทย์มากกก ผมก็ไมได้ชอบวิชาชีพแพทย์นะครับ แต่ก็ไม่อยากขัดใจพ่อ เลยตัดสินใจเลือกแพทย์ไว้สามอันดับ อันดับสุดท้ายเลือกสิ่งที่ชอบปิดท้าย คือ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ผลสอบผมได้อันดับสี่ วิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ ผมเรียนจบปริญญาตรี ทำงานได้ 1 ปี ก็เรียนต่อปริญญาโท ตอนนี้อยากเรียนต่อปริญญาเอกแล้วครับ ปริญญาเอกที่ผมอยากจะเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้านไม่เปิดสาขานี้ ต้องไปเรียนในกรุงเทพ แต่ว่าติดที่ว่าการที่เป็นลูกชายคนเดียวผมไม่สามารถทิ้งพ่อแม่ไปได้ โครงการเรียนต่อปริญญาเอกจึงต้องระงับไปก่อน ต้องมาทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวรอบรรจุข้าราชการที่หน่วยงานราชการแห่งหนึ่งในจังหวัด

    พ่อของผมเป็นข้าราชการครู ช่วงท้าย ๆ ของอายุราชการเป็น ผอ. โรงเรียนประจำอำเภอ จึงจัดว่าเป็นคนมีหน้ามีตา และกว้างขวางพอสมควร แม่ก็เป็นพยาบาลโรงพยาบาลประจำจังหวัด พอคลอดผม แม่ก็ลาออกมาเป็นแม่บ้านเต็มตัวเลี้ยงลูกชายแสนหน้ารักอย่างผม เนื่องจากผมไม่เคยมีแฟน (หมายถึงทั้งแฟนผู้หญิง และผู้ชาย) พอเรียนจบปริญญาตรี พ่อแม่ก็พยายามหาสาว ๆ มาให้ผม น่ารักบ้าง รวยบ้าง นิสัยดีบ้าง แต่ผมก็ไม่ตกลงสักที ก็แน่แหละครับ ผมเป็นเกย์ ผมจะชอบผู้หญิงได้ไง ผมเลยหาเรื่องไปเรียนปริญญาโทถ่วงเวลา และคิดว่าการที่เราโปรไฟล์สูง เราจะเรื่องมากในการหาแฟนมากขึ้น เวลาใครถามก็บอกว่า อยากมีแฟนจบปริญญาโท ก็จะได้มีตัวเลือกน้อยลง แต่พ่อแม่ผมก็พยายามหาจนได้ ผมเลยหาเรื่องไปเรียนปริญญาเอก

    ช่วงที่เรียนจบใหม่ พ่อกับแม่เวลาไปงานแต่งคนในอำเภอก็จะพ่วงลูกชายสุดหล่ออย่างผมไปด้วย ผมแสนจะเบื่อเพราะว่าเวลาไปงานแบบนี้ผมแทบจะไม่รู้จักเพื่อนของพ่อของแม่คนไหนเลย บทสนทนาก็จะเริ่มด้วย
“นี่ลูกชายนะคะ พึ่งเรียนจบ ยังไม่มีแฟน”
“ลูกผมเรียนเก่งนะ รักครอบครัวด้วย ไม่ยอมไปทำงานไกลบ้าน”
แล้วเหมือนกับเขานัดกันมา โต๊ะที่พ่อแม่และผมนั่งกินเลี้ยงก็มักจะมีลูกสาวของเพื่อนพ่อ เพื่อนแม่นั่งด้วยเสมอ ทุกครั้งผมก็ได้แค่ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม เพื่อให้เรื่องผ่านไป แต่ในใจก็คิดอยู่ว่าผมจะหาวิธีแก้ไขเชิงระบบอย่างไรดี เพื่อให้เรื่องรำคาญใจเหล่านี้หมดไปแบบถาวร

              หลายคนคงนึกด่าผมในใจว่า ในเมื่อเป็นเกย์ ทำไมไม่บอกพ่อแม่ไปตรง ๆ ผมบอกตรงนี้เลย ผมทำไม่ได้จริง ๆ ความคาดหวังของครอบครัวมันมากมายจริง ๆ ผมยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าจะเดินเข้าไปบอกพ่อกับแม่อย่างไร แต่ก็ช่างเถอะเอาเป็นเรื่องมันมีมากกว่านี้

          หลายคนอาจจะนั่งนึกภาพว่าผมหน้าตาอย่างไรบุคลิกอย่างไร ผมตัวขาว ตี๋ สูง 179 เซน สมัยเรียนถือธงโรงเรียน สมัยมหาวิทยาลัยอยากเป็นเชียร์หลีดเลอร์มากกก แต่ไม่กล้าสมัคร เลยได้ไปถือพานธูปเทียนวันไหว้ครูแทน หน้าตาประมาณ อ๊อฟ ชนะพล ครับ แต่ ชนะพล หล่อกว่าผมมาก ผมชอบเล่นคอม รอบรู้เรื่องคอมทุกด้าน สมัยมหาวิทยาลัยผมลงโปรแกรมให้เพื่อน ๆ ในชั้นปีแทบทุกคน เสื้อเชิ้ตผมทุกตัวต้อง slim fit ตัวโคร่ง ๆ สวมไม่ได้ครับ สวมแล้วไม่มั่นใจ กางเกงในต้องใส่แบบบาง แม่เคยถามว่าทำไมกางเกงในลูกบางจัง ผมอ้างว่าซักแล้วแห้งเร็วครับ แต่จริง ๆ คือสวมแล้วเซ็กซี่ครับ ขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่อดหลับอดนอนเพื่อรอดูถ่ายทอดบอลตอนดึก แต่ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อรอดูละครช่องเจ็ด เกย์คนอื่น ๆ อาจจะปากจัด แต่ผมไม่นะครับ ผมพูดเก่งแต่ไม่ปากจัดนะครับ ผมไม่ชอบเต้นรำ ไม่ใช่เต้นไม่สวยนะ แต่ว่าเต้นทีไรสาวแตกทกที เลยไม่ดีกว่า ผมชอบสีชมพู แต่ไม่กล้าบอกใคร เวลาใครถามผมจะตอบว่าผมชอบสีแดงครับ

          สาวสวยคนแล้วคนเล่าที่พ่อแม่พามาแนะนำก็ไม่ถูกใจผมสักที จริง ๆ ก็ไม่มีทางถูกใจอยู่แล้ว ลองเอาผมไปดูตัวผู้ชายซิ อาจจะตกลงก็ได้ ล้อเล่นนะครับ มันคงเป็นไปไม่ได้ จนถึงวันนึงที่แม่โทรมาถามว่า เพื่อนแม่โน๊ตบุ้คเสียจะให้ช่วยดูหน่อย ผมก็โอเค ปกติผมชอบซ่อมคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว เลยรับปากไป แล้วลูกสาวของเพื่อนแม่ก็เขาโน๊ตบุ้คมาให้ที่ทำงานผม น้องคนนี้ชื่อ แนน (นามสมมตินะครับ)  แนน ก็น่ารักดี หมวย ๆ ตัวเล็ก ๆ แนน บอกว่าไม่รู้คอมเป็นอะไรเปิดไม่ติดเลย ถึงตรงนี้ผมถึงได้รู้ว่าโน๊ตบุ้คเครื่องนี้ไม่ใช่ของเพื่อนแม่ แต่เป็นของลูกสาวเพื่อนแม่ ก็เลยแลกเบอร์กันเพื่อเวลาซ่อมเสร็จจะได้โทรบอก โน๊ตบุ้คที่เสียมีปัญหาที่โดนไวรัสมานะครับ ผมเลยจัดการ back up ข้อมูล แล้วลงโปรแกรมให้ใหม่ ซ่อมเสร็จ ก็เลยโทรบอกให้ แนน ทราบ แล้วผมก็เอาเครื่องไปให้ที่บ้านแนน ตอนผมไปหาแนน ผมว่าแม่ของแนนดูดีใจเวอร์ ๆ ยังไงก็ไม่รู้ ช่วงนั้นสมาร์ทโฟนกำลังเริ่มใช้กันมากขึ้น เบอร์ของ แนน ก็ขึ้นใน what app ของผม เริ่มมีการทักผ่าน what app แต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากนั้น แถมยังรู้สึกรำคาญด้วยซ้ำเพราะ แนน ช่างเป็นคนที่จุกจิก (เรื่องมาก) ใสแบ๊ว (โง่) ช่างซักถามในทุกเรื่อง หลายครั้งที่แนนโทรมาผมก็กดปิดเสียงไป ไม่อยากรับสาย บางครั้งผมไปเดินทางในตัวจังหวัดก็เจอครอบครัวของแนน ผมแทบจะวิ่งหนี แต่แม่ผมก็จูงมือผมไปคุยกับบ้านนี้อีก เฮ้ยเบื่อ

คอยตามตอนต่อไปนะครับ ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/33003333
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่