1) ลูกรู้ดีนี่ว่า...! (You knows better!)
อันนี้ไม่แน่นอนว่าลูกของคุณรู้ดีกว่าที่ทำอยู่ เช่น ไม่รู้ว่า ถ้าไม่หยุดเทน้ำใส่แก้ว แล้วมันจะล้น
แล้วการที่พ่อแม่ ดุว่า ควรรู้ดีกว่า นี้ไม่ได้ ช่วยให้ลูกน้อยปรับปรุงตัวเองได้ดีขึ้น คำพูดนี้นั่น ไม่ทั้งสนับสนุน หรือ ช่วยลูก (supportive or constructive)
ควรจะเปลื่ยนเป็นการบอกอย่างชัดเจน ว่าลูกควรจะทำแตกต่างอย่างไร เช่น สอนไห้เทน้ำแค่คริ่งแก้ว จะได้ไม่ล้น และดื่มง่าย
2) หยุดเดี้ยวนี้นะ ไม่งั้น พ่อ/แม่จะ.....
เป็นเรื่องธรรมดา ที่คนเราจะมีอารมโมโห หงุดงิด หรือ หาทางออกอื่นไม่ได้ และเลือกที่จะขู่ลูก
แต่การขู่เป็นการแก้ปัญหา แบบสั้นๆ ยิ่งคุณเป็นคนที่ขู่แต่ไม่ทำตาม (follow through)
ไม่นานเด็กก็เรียนรู้ว่า สิ่งที่คุณขู่นั้นไม่มีความหมายเท่าไร เช่น ถ้าไม่ฟังจะเอาไปขับรถทิ้งไว้ตรงนี้ (อันนี้ แม่เคยบอกเรา ตอนสี่ขวบได้มั้ง คือ เรานั่งนิ่งไม่ร้อง ไม่วิ่งตาม แม่ก็ขับมารับเอง)
หรือคุณขู่ในส่ิงที่ไม่เป็นไปไม่ได้ เช่น จะตีให้ตายเลย และนานๆไป ลูกเองก็จะขู่คุณกลับเช่นกัน เพราะเด็กเรียนรู้มาจากเรา
ควรจะเปลื่ยนแบบ ดีงลูกออกจาก สถานการณ์นั่นก่อน การบอกเนิ่นๆเตีอนว่า ถ้าทำอีกครั้งหนิ่ง ผลจะเป็นอย่างไร อันนี้ เช่น ถ้าร้องไม่ฟัง แม่อย่างนี้ ลูกก็ไม่สามารคมาเที่ยวกับแม่ และเราต้องกลับบ้านแทน หรือ ให้ลูก ได้ time-out
ส่วนใหญ่แล้ว เมือเราดีงเด็กออกจาก สถานการณ์นั้นช่วยให้ เด็กกลับมา focus ได้มากขิ้น ไม่ติดอยู่อารม โมโห ร้องไห้
3) โอ้ย อย่ามายุ่งได้ไหม
พ่อแม่ทุกคนมีสิทธ์ ที่จะมีเวลาส่วนตัวโดยจากลูก และ ลูกเองก็ควรเรียนรู้ว่า พ่อแม่จะไม่นั่งให้ความสนใจเด็ก ทุกๆวินาทีที่อยู่ด้วยกัน
แต่การบอกลูกแบบนี้ จะทำให้ ลูกรู้สีก โดยผลักไป และเมือคุณสอนให้เค้าไม่มาคุยหรือบอกอะไรเมือคุณยุ่งอยู่ สักวันเค้าก็จะเลิกบอกอะไรกับคุณทั้งสิ้น
ควรจะเปลื่ยนไปบอกคำตอบ ที่เป็นรูปธรรม เช่นว่า เมือแม่ล้างจานเสร็จแล้ว แม่จะมาเล่นด้วย รอนิดนะจ้ะ
4) แกนี่มันช่าง......!
ในการที่บอกว่า ลูกเป็นเช่นโน้นนี้ เช่น เรื่องมาก พูดมาก น่ารำคาญ จะกลายเป็น คำทำนายที่เป็นจริงได้ในที่สุด (self-fulfilling prophecy) เด็กๆ มักเชื่อสิ่งที่พ่อแม่พูด เป็นเรื่องจริงเสมอ ไม่ว่าคุณจะพูดกับลูกโดยตรง หรือบ่นให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะเป็น ขี้อาย ฉลาด จะเป็นการสอนให้เด็กรู้สึกว่า พ่อแม่ความคาดหวัง ไว้ และนี่คือสิ่งที่ พ่อแม่มองเรา เช่นนั้นมันคงเป็นเรื่องจริง เช่นเรา ฉลาดไม่อ่านก็ฉลาด แล้วจะพยายามไปทำไม หรือ เรามันไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี
5) ดูพี่/น้อง/เด็กข้างบ้าน สิ ทำไมแกทำอย่างเค้าไม่ได้
บ้างครํ้ง การแนะนำ พฤติกรรมที่ดี ของคนอื่นมาเป็นตัวอย่าง ทำให้ พ่อแม่รู้สิกว่า นี่ไง ตัวอย่างทำอย่างนี้ ไม่ยากเลย
แต่การนำลูกไปเปรียบเทียม กับพี่/น้อง/เด็กข้างบ้าน เป็นการทำร้ายความรู้สีกของลูกได้ คุณต้องอย่าลืมว่า เด็กแต่ละคนมีการ การพัฒนา ทางจิตใจ และ นิสัย ไม่เท่ากัน ต่อให้ เป็นพี่น้องท้องเดียวกันก็เถอะ
การนำลูกไปเปรียบเทียม เช่นนี้ เหมือนเป็นการบอกเค้า ทางอ้อมว่า ไม่ชอบลูก และอยากให้เค้าเปลื่ยนแปลงให้เหมือนคนอื่นๆ ประมานว่า ไม่ชอบ เธอที่เป็นเธอ ทำไมเธอไม่เป็นอย่างคนนั้น
6) อย่าร้องไห้
เด็กทุกคน มีอารม เสียใจ และบ้างครั้ง ทำไห้ อารมรุนแรง จะไม่สามารถใช้ ภาษา ในการสื่อสาร เช่น โกรธ เสียใจ
แทนที่เราจะปัดความรู้สึก ของเค้าทิ้งไป เราควรนั่งลง บอกกับเค้าว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ เรา อารมณ์เสีย โมโห หรือ กลัว ผิดหวัง และสอนการบอกอารม นั้นๆ ออกมา เช่น เสียใจที่ไม่ได้ไป หรือ โกรธ การสอนให้ลูกรู้ว่า สิ่งที่เค้าเป็นอยู่มีชื่อนะ เป็นเรี่องธรรมดานะ อาจทำให้ครั้งต่อไป เค้าสามารถใช้คำสื่อสารได้แทน
7) เดี้ยวๆ รอให้พ่อ/แม่กลับบ้านก่อนเถอะ !
อันนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ได้ยังใช้อยู่ แต่มันเป็นการทำลาย อำนาจของคุณโดยทางอ้อม เป็นการบอกว่า คุณไม่ไม่สามารถรับมือกับ พฤติกรรมของพวกเขา และ หาวิธีการแก้ปัญหาได้ ใช้คำนี้บ่อยมากๆ เด็กที่ ไม่ เคารพ และเชื่อฟังสิ่งที่คุณพูด
8) เร็วๆ !!
อันนี้ เรื่องการรีบออกจาก บ้านแต่เช้ากับเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย ในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ แต่คุณก็ไม่ควร ตะโกน เร็วๆ ทุกวัน ถ้าเป็นทุกวันคุณควร จะคิดเปลืยนเวลาตื่น หรีอ เปลื่ยนmorning routines แทน การโทษลูกว่า ทำให้คุณรีบทุกวัน จะทำให้เค้ารู้สิกผิด และไม่เป็นการแก้ปัญหาเลย
9) เก่งจัง, เก่งมาก
เป็นไปได้หรือ ที่คำชมจะเป็นส่ิงที่ไม่ดี? คำชมทางบวก น่าจะเป็น เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ มากที่สุดที่เรา มีพ่อแม่ แต่ คุณสามารถใช้ มัน มากเกินไปได้และ ในทางที่ผิด
เมื่อ คำชมกลายเป็น โม้ เป็น คลุมเครือและ เด็ก ได้รับยินคุยโวบ่อย เช่น แค่ถอดรองเท้า ก็เก่งแล้ว จะกลายเป็น การสูญเสียผลของมัน
และ คุณจะได้ เด็กที่ คิดว่าพวกเขา เป็นแชมป์ โลก ในทุกสิ่ง เมือทำทุกอย่างก็ที่น่ายกย่อง
คือประมานว่า ไม่ต้องบอกว่า เก่งสะทุกก้าวเดิน แต่เปลื่ยนไปบ้างเช่น แม่ดีใจที่หนูถอดรองเท้าได้เอง, วาดรูปนี้ สวยมาก แม่ชอบสีแบบนี้
---------------------
คำพูดที่ออกมาจาก พ่อแม่บ้างครั้ง ออกมาอย่างอัตโนมัติ ไม่ได้ผ่านการกรองก่อนว่า คำพูดนั้นๆ จะทำให้ลูกเสียใจหรือไม่แน่ใจไหม (unsure)
คือเมื่อ เรามีความ ผิดหวังและ รู้สึกหมดหนทาง ที่เรา พูดไปโดยไม่ทันคิด
กฎที่ดี ของพ่อแม่คือ
1) การทดสอบความเคารพ อาจจะมีการ ถามตัวเองว่า สิ่งที่จะพูดกับลูก นี่สามารถพูดกับ เพื่อนหรือคนรักได้ไหม คำๆนี้ถ้ามีคนมาบอกเรา เราจะคิดอย่างไร
2) ใช้พื้นฐาน สำหรับการสื่อสารกับ เด็ก เช่น ความชัดเจน ว่าต้องการให้เค้าทำอะไร มากว่าที่จะ ด่าว่า ประชดประชัน
3) สั่งที่ละอย่าง ยิ่งเด็กเล็กด้วยแล้ว เค้าไม่สามารถจำได้หมดว่าที่คุณสั่งๆ มีอะไรบ้าง บอกเป็นขั้นตอนไป เช่น ถอดรองเท้า รอเสร็จ บอกให้ลูกไปเปลื่อยเสื้อผ้า
4) อย่า ตะโกน ใส่อารม เสียงดัง
5) เราสอน ลูกหลานของเรา ว่าพวกเขาควร ขอโทษ แต่ยังมีผู้ใหญ่ สามารถเรียนรู้ ที่จะพูด บ่อยขึ้น เมื่อเราพูด เช่นเมือเรา โมโห ตะโกนใส่ลูกไป ก็ควรที่จะบอกขอโทษลูกได้ ว่า การตะโกนมันไม่ดีนะ และ พ่อไม่ควรตะโกนใส่ลูกเลย มันทำลูกเสียใจ พ่อขอโทษ เป็นต้น
อันนี้ แปลคราวๆ มาจาก
http://www.klikk.no/foreldre/article723651.ece ติชมได้นะคะ คราวหน้าจพยายาม แปลให้อ่านลื่นกว่านี้
9 คำพูดที่ไม่ควรบอกกับลูก
อันนี้ไม่แน่นอนว่าลูกของคุณรู้ดีกว่าที่ทำอยู่ เช่น ไม่รู้ว่า ถ้าไม่หยุดเทน้ำใส่แก้ว แล้วมันจะล้น
แล้วการที่พ่อแม่ ดุว่า ควรรู้ดีกว่า นี้ไม่ได้ ช่วยให้ลูกน้อยปรับปรุงตัวเองได้ดีขึ้น คำพูดนี้นั่น ไม่ทั้งสนับสนุน หรือ ช่วยลูก (supportive or constructive)
ควรจะเปลื่ยนเป็นการบอกอย่างชัดเจน ว่าลูกควรจะทำแตกต่างอย่างไร เช่น สอนไห้เทน้ำแค่คริ่งแก้ว จะได้ไม่ล้น และดื่มง่าย
2) หยุดเดี้ยวนี้นะ ไม่งั้น พ่อ/แม่จะ.....
เป็นเรื่องธรรมดา ที่คนเราจะมีอารมโมโห หงุดงิด หรือ หาทางออกอื่นไม่ได้ และเลือกที่จะขู่ลูก
แต่การขู่เป็นการแก้ปัญหา แบบสั้นๆ ยิ่งคุณเป็นคนที่ขู่แต่ไม่ทำตาม (follow through)
ไม่นานเด็กก็เรียนรู้ว่า สิ่งที่คุณขู่นั้นไม่มีความหมายเท่าไร เช่น ถ้าไม่ฟังจะเอาไปขับรถทิ้งไว้ตรงนี้ (อันนี้ แม่เคยบอกเรา ตอนสี่ขวบได้มั้ง คือ เรานั่งนิ่งไม่ร้อง ไม่วิ่งตาม แม่ก็ขับมารับเอง)
หรือคุณขู่ในส่ิงที่ไม่เป็นไปไม่ได้ เช่น จะตีให้ตายเลย และนานๆไป ลูกเองก็จะขู่คุณกลับเช่นกัน เพราะเด็กเรียนรู้มาจากเรา
ควรจะเปลื่ยนแบบ ดีงลูกออกจาก สถานการณ์นั่นก่อน การบอกเนิ่นๆเตีอนว่า ถ้าทำอีกครั้งหนิ่ง ผลจะเป็นอย่างไร อันนี้ เช่น ถ้าร้องไม่ฟัง แม่อย่างนี้ ลูกก็ไม่สามารคมาเที่ยวกับแม่ และเราต้องกลับบ้านแทน หรือ ให้ลูก ได้ time-out
ส่วนใหญ่แล้ว เมือเราดีงเด็กออกจาก สถานการณ์นั้นช่วยให้ เด็กกลับมา focus ได้มากขิ้น ไม่ติดอยู่อารม โมโห ร้องไห้
3) โอ้ย อย่ามายุ่งได้ไหม
พ่อแม่ทุกคนมีสิทธ์ ที่จะมีเวลาส่วนตัวโดยจากลูก และ ลูกเองก็ควรเรียนรู้ว่า พ่อแม่จะไม่นั่งให้ความสนใจเด็ก ทุกๆวินาทีที่อยู่ด้วยกัน
แต่การบอกลูกแบบนี้ จะทำให้ ลูกรู้สีก โดยผลักไป และเมือคุณสอนให้เค้าไม่มาคุยหรือบอกอะไรเมือคุณยุ่งอยู่ สักวันเค้าก็จะเลิกบอกอะไรกับคุณทั้งสิ้น
ควรจะเปลื่ยนไปบอกคำตอบ ที่เป็นรูปธรรม เช่นว่า เมือแม่ล้างจานเสร็จแล้ว แม่จะมาเล่นด้วย รอนิดนะจ้ะ
4) แกนี่มันช่าง......!
ในการที่บอกว่า ลูกเป็นเช่นโน้นนี้ เช่น เรื่องมาก พูดมาก น่ารำคาญ จะกลายเป็น คำทำนายที่เป็นจริงได้ในที่สุด (self-fulfilling prophecy) เด็กๆ มักเชื่อสิ่งที่พ่อแม่พูด เป็นเรื่องจริงเสมอ ไม่ว่าคุณจะพูดกับลูกโดยตรง หรือบ่นให้คนอื่นฟัง ไม่ว่าจะเป็น ขี้อาย ฉลาด จะเป็นการสอนให้เด็กรู้สึกว่า พ่อแม่ความคาดหวัง ไว้ และนี่คือสิ่งที่ พ่อแม่มองเรา เช่นนั้นมันคงเป็นเรื่องจริง เช่นเรา ฉลาดไม่อ่านก็ฉลาด แล้วจะพยายามไปทำไม หรือ เรามันไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องอยู่ดี
5) ดูพี่/น้อง/เด็กข้างบ้าน สิ ทำไมแกทำอย่างเค้าไม่ได้
บ้างครํ้ง การแนะนำ พฤติกรรมที่ดี ของคนอื่นมาเป็นตัวอย่าง ทำให้ พ่อแม่รู้สิกว่า นี่ไง ตัวอย่างทำอย่างนี้ ไม่ยากเลย
แต่การนำลูกไปเปรียบเทียม กับพี่/น้อง/เด็กข้างบ้าน เป็นการทำร้ายความรู้สีกของลูกได้ คุณต้องอย่าลืมว่า เด็กแต่ละคนมีการ การพัฒนา ทางจิตใจ และ นิสัย ไม่เท่ากัน ต่อให้ เป็นพี่น้องท้องเดียวกันก็เถอะ
การนำลูกไปเปรียบเทียม เช่นนี้ เหมือนเป็นการบอกเค้า ทางอ้อมว่า ไม่ชอบลูก และอยากให้เค้าเปลื่ยนแปลงให้เหมือนคนอื่นๆ ประมานว่า ไม่ชอบ เธอที่เป็นเธอ ทำไมเธอไม่เป็นอย่างคนนั้น
6) อย่าร้องไห้
เด็กทุกคน มีอารม เสียใจ และบ้างครั้ง ทำไห้ อารมรุนแรง จะไม่สามารถใช้ ภาษา ในการสื่อสาร เช่น โกรธ เสียใจ
แทนที่เราจะปัดความรู้สึก ของเค้าทิ้งไป เราควรนั่งลง บอกกับเค้าว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ เรา อารมณ์เสีย โมโห หรือ กลัว ผิดหวัง และสอนการบอกอารม นั้นๆ ออกมา เช่น เสียใจที่ไม่ได้ไป หรือ โกรธ การสอนให้ลูกรู้ว่า สิ่งที่เค้าเป็นอยู่มีชื่อนะ เป็นเรี่องธรรมดานะ อาจทำให้ครั้งต่อไป เค้าสามารถใช้คำสื่อสารได้แทน
7) เดี้ยวๆ รอให้พ่อ/แม่กลับบ้านก่อนเถอะ !
อันนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ได้ยังใช้อยู่ แต่มันเป็นการทำลาย อำนาจของคุณโดยทางอ้อม เป็นการบอกว่า คุณไม่ไม่สามารถรับมือกับ พฤติกรรมของพวกเขา และ หาวิธีการแก้ปัญหาได้ ใช้คำนี้บ่อยมากๆ เด็กที่ ไม่ เคารพ และเชื่อฟังสิ่งที่คุณพูด
8) เร็วๆ !!
อันนี้ เรื่องการรีบออกจาก บ้านแต่เช้ากับเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย ในชีวิตประจำวันที่เร่งรีบ แต่คุณก็ไม่ควร ตะโกน เร็วๆ ทุกวัน ถ้าเป็นทุกวันคุณควร จะคิดเปลืยนเวลาตื่น หรีอ เปลื่ยนmorning routines แทน การโทษลูกว่า ทำให้คุณรีบทุกวัน จะทำให้เค้ารู้สิกผิด และไม่เป็นการแก้ปัญหาเลย
9) เก่งจัง, เก่งมาก
เป็นไปได้หรือ ที่คำชมจะเป็นส่ิงที่ไม่ดี? คำชมทางบวก น่าจะเป็น เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ มากที่สุดที่เรา มีพ่อแม่ แต่ คุณสามารถใช้ มัน มากเกินไปได้และ ในทางที่ผิด
เมื่อ คำชมกลายเป็น โม้ เป็น คลุมเครือและ เด็ก ได้รับยินคุยโวบ่อย เช่น แค่ถอดรองเท้า ก็เก่งแล้ว จะกลายเป็น การสูญเสียผลของมัน
และ คุณจะได้ เด็กที่ คิดว่าพวกเขา เป็นแชมป์ โลก ในทุกสิ่ง เมือทำทุกอย่างก็ที่น่ายกย่อง
คือประมานว่า ไม่ต้องบอกว่า เก่งสะทุกก้าวเดิน แต่เปลื่ยนไปบ้างเช่น แม่ดีใจที่หนูถอดรองเท้าได้เอง, วาดรูปนี้ สวยมาก แม่ชอบสีแบบนี้
---------------------
คำพูดที่ออกมาจาก พ่อแม่บ้างครั้ง ออกมาอย่างอัตโนมัติ ไม่ได้ผ่านการกรองก่อนว่า คำพูดนั้นๆ จะทำให้ลูกเสียใจหรือไม่แน่ใจไหม (unsure)
คือเมื่อ เรามีความ ผิดหวังและ รู้สึกหมดหนทาง ที่เรา พูดไปโดยไม่ทันคิด
กฎที่ดี ของพ่อแม่คือ
1) การทดสอบความเคารพ อาจจะมีการ ถามตัวเองว่า สิ่งที่จะพูดกับลูก นี่สามารถพูดกับ เพื่อนหรือคนรักได้ไหม คำๆนี้ถ้ามีคนมาบอกเรา เราจะคิดอย่างไร
2) ใช้พื้นฐาน สำหรับการสื่อสารกับ เด็ก เช่น ความชัดเจน ว่าต้องการให้เค้าทำอะไร มากว่าที่จะ ด่าว่า ประชดประชัน
3) สั่งที่ละอย่าง ยิ่งเด็กเล็กด้วยแล้ว เค้าไม่สามารถจำได้หมดว่าที่คุณสั่งๆ มีอะไรบ้าง บอกเป็นขั้นตอนไป เช่น ถอดรองเท้า รอเสร็จ บอกให้ลูกไปเปลื่อยเสื้อผ้า
4) อย่า ตะโกน ใส่อารม เสียงดัง
5) เราสอน ลูกหลานของเรา ว่าพวกเขาควร ขอโทษ แต่ยังมีผู้ใหญ่ สามารถเรียนรู้ ที่จะพูด บ่อยขึ้น เมื่อเราพูด เช่นเมือเรา โมโห ตะโกนใส่ลูกไป ก็ควรที่จะบอกขอโทษลูกได้ ว่า การตะโกนมันไม่ดีนะ และ พ่อไม่ควรตะโกนใส่ลูกเลย มันทำลูกเสียใจ พ่อขอโทษ เป็นต้น
อันนี้ แปลคราวๆ มาจาก http://www.klikk.no/foreldre/article723651.ece ติชมได้นะคะ คราวหน้าจพยายาม แปลให้อ่านลื่นกว่านี้