พิชิตเขาช้างเผือก ด้วยเงิน 1,400 บาท
เริ่มกันเลยครับ สำหรับทริปนี้ เริ่มต้นจากการที่ กระแสเขาช้างเผือกกำลังมาแรง ผมและเพื่อนๆความจริงก็อยากไปอยู่แล้ว ก็เลยทำการวางแผน และจองในทันที
เรื่องของการจอง ผมมีปัญหานิดหน่อยนะครับ ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ละกัน เอาเป็นว่าใครอยากรู้หลังไมค์มาถามผมได้เลย
เกริ่นนำ
ผมวางแผนไว้ว่าจะไปนอนพักที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิวันที่ 9 ธันวาคม ก่อน 1 คืน จากนั้นจะเดินขึ้นเขาช้างเผือกในวันที่ 10 ธันวาคม และเดินลงวันที่ 11 ธันวาคม แล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯเลย
การเดินทางครั้งนี้ ผมขับรถไปเองครับ ใช้น้ำมัน 1 ถังพอดี เติมครั้งเดียวตอนออกเดินทาง และกลับถึงกรุงเทพฯ น้ำมันก็เหลือก้นถังพอดี
เรามีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งหมด 4 คน และไปเจอกับน้องๆอีกกลุ่มที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิซึ่งน้องกลุ่มนั้นนั่งรถมากันเองอีก 3 คน รวมเป็นทั้งหมด 7 คน
ค่าใช้จ่ายที่จะรีวิวให้ชมเป็นค่าใช้จ่ายของกลุ่มผม 4 คนเท่านั้น แยกกันกับน้องๆอีก 3 คน
9 ธันวาคม 2557
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 09.00 น. แวะนู่นแวะนี่ เตร็ดเตร่มาตลอดทาง โดยแวะซื้อของที่สุดท้ายคือ เซเว่นหน้าน้ำตกไทรโยคน้อย จากนั้นก็ยิงยาวถึงตัวอุทยานฯเลย
พวกเรามาถึงอุทยานฯเวลาประมาณ 14.00 น. โดยชำระค่าบริการที่ทางเข้าก่อนอันดับแรก จากนั้นก็ไปลงทะเบียนเตรียมขึ้นเขาช้างเผือกในวันรุ่งขึ้น ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
เจ้าหน้าที่ก็จะให้เรากรอกข้อมูลต่างๆ ชื่อ ที่อยู่ คนที่สามารถติดต่อได้ในยามฉุกเฉิน ในตอนนี้ถ้าใครจะยืมเต้นท์ ถุงนอน อุปกรณ์ต่างๆ ก็สามารถยืมได้เลยครับ แล้วก็จัดการชำระเงินให้เรียบร้อย
เมื่อเสร็จสิ้น ผมก็ขับรถต่อเข้าไปยังลานกางเต้นท์ “เนินกูดดอย” ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 400 เมตร สภาพของถนนก็เละเทะ โหดใช้ได้ รถเก๋งควรใช้ความระมัดระวังมากๆ ไม่งั้นช่วงล่างอาจจะเละได้ โดยที่อุทยานแงชาติทองผาภูมิจะมีลานกางเต้นท์ เนินกูดดอย และเนินช้างศึก เลือกกันตามสบายเลยครับ
พอพวกเราไปถึง ก็มีนักท่องเที่ยวจับจองพื้นที่กางเต้นท์กันไว้บ้างแล้ว เราก็เลือกตรงที่ยังว่างอยู่ ใกล้ๆกับจุดชมวิว หลังจากกางเต้นท์ ขนอุปกรณ์การหลับนอนไปไว้ในเต้นท์เสร็จแล้ว เราก็ขับรถไปยัง “เนินช้างศึก”
เนินช้างศึก เป็นจุดชมวิว แล้วก็ยังเป็นสถานที่ที่สามารถมากางเต้นท์พักแรมได้ด้วย ซึ่งที่นี่จะเป็นที่ตั้งของฐานปฏิบัติการหมวดตำรวจตระเวนชายแดนที่ 1351 บรรยากาศโดยรอบจะมองเห็นไปยังบ้านอีต่อง ถือเป็นที่ๆพลาดไม่ได้เลย ตอนพวกเราขึ้นไป มีคณะขึ้นมากางเต้นท์ทำกับข้าวกินกันอยู่ก่อนแล้ว ก็ชวนคุยนิดหน่อยๆ เดินถ่ายรูปไปรอบๆ ท้องก็เริ่มหิว เราจึงมุ่งหน้าต่อไปยังบ้านอีต่อง เพื่อไปหาอะไรกินกันก่อนกลับไปยังอุทยานฯ

รูปนี้ถ่ายจากบนเนินช้างศึกครับ
วันนี้เย็นเราไปกินข้าวกันที่ “ร้านน้องหน่อย” ดูเหมือนร้านนี้จะโด่งดังที่สุดแล้วในละแวกนี้ เป็นร้านขายอาหารตามสั่งทั่วไป ราคาต่อจานประมาณ 40 บาท เป็นแบบกับข้าวก็มี กุ้งเค้าตัวใหญ่นะครับร้านนี้ เจ้าของร้านจะสวยๆ สังเกตดูจะรู้เลยว่า นี่ชื่อน้องหน่อยแน่ๆ
หลังจากอิ่มหนำกันแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาประมาณ 17.30 น. อากาศเริ่มเย็นขึ้นตามลำดับ เราก็รีบกลับไปยังอุทยานฯ เพราะไม่อย่างงั้น อากาศจะหนาวมาก เวลาอาบน้ำคงทรมานสุดๆ
มาถึงอุทยานก็อาบน้ำ (เหมือนอาบน้ำเย็น แนะนำว่ารีบอาบตอนบ่ายๆครับ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน) เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บของ และจัดกระเป๋าให้พร้อมสำหรับการเดินทางพรุ่งนี้ เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว เราก็มานั่งล้อมวงวางแผนกัน นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆบ้างก็นั่งกินข้าว สังสรรค์ เล่นกีตาร์ เฮฮา เป็นที่น่าครึกครื้น (แต่ก็ไม่ควรใช้เสียงให้ดังมากนัก เดี๋ยวจะไปรบกวนคนอื่นเค้า)
เริ่มดึกเข้า ก็แยกย้ายกันไปนอนครับ เป้าหมายแรกพรุ่งนี้เช้าคือ ดูพระอาทิตย์ขึ้นครับ
ก่อนนอน ผมแอบออกมาถ่ายรูปพระจันทร์ กับดาวที่จุดชมวิวครับ ตอนนี้แหล่ะที่ผมได้เจอกับน้องๆอีกกลุ่มนึง 3 คน จนได้คุยกัน รู้จักกัน แล้วก็เลยชวนน้องเค้าไปกับพวกเราด้วยเลย ตอนนี้ก็ครบแก๊ง 7 ผู้กล้าแล้ว

พระจันทร์ยามค่ำ ที่จุดชมวิวเนินกูดดอยครับ
สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก
ค่าน้ำมัน 1,600 บาท
ค่าอาหารสำหรับกินบนเขาช้างเผือก 210 บาท
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ 310 บาท
เช่าถุงนอนเพิ่ม 60 บาท
รวม 2,180 บาท
10 ธันวาคม 2557
เราตื่นมาประมาณ 05.45 น. เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวเนินกูดดอย ถ่ายรูปไปพลางๆ เก็บของ เก็บเต้นท์ ล้างหน้า แปรงฟัน ใครอยากอาบน้ำก็อาบได้เลย

ผมไปยืนรอถ่ยพระอาทิตย์ขึ้นที่เดิมกับเมื่อคืน นักท่องเที่ยวก็เริ่มมากันเรื่อยๆ ก็เลยได้รูปนี้มา

อีกรูปครับ
จากนั้น 07.00 น. เราทั้ง 7 คน ก็ไปพร้อมกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อชำระค่าธรรมเนียมของวันนี้ และฟังคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับของที่ต้องเตรียมไปก่อนออกเดินทางครับ โดยที่เราจะต้องเก็บบัตรที่เราได้รับหลังจากเสียค่าธรรมเนียมไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจตรงทางเข้าเส้นทางเดินด้วย เก็บไว้ให้ดี อย่าทำหาย
แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่จุดเริ่มต้น คือบ้านอีต่อง พอมาถึงสิ่งแรกที่เราต้องทำคือไปหาลูกหาบครับ โดยที่เดินเข้าไปในตลาดอีต่อง บริเวณหน้าทางเข้าเส้นทางเดิน จะมีลูกหาบนั่งรออยู่เยอะเลยครับ เราก็เดินไปบอกเค้าเลยว่าจะเอาลูกหบกี่คน โดยเค้าจะคิดค่าบริการคนละ 1,100 บาท สามารถแบกน้ำหนักได้ 30 กิโลกรัม พวกเรา 7 คนใช้ลูกหาบ 2 คน น้ำหนักของ 60 กิโลกรัมพอดี ส่วนเกินที่เหลือ เราก็แบกกันขึ้นเอง
หลังจากชั่งน้ำหนักเสร็จเรียบร้อย เราก็ปล่อยให้ลูกหาบเอาของขึ้นไปเอง ไมต้องไปยุ่งอะไรอีก เป้าหมายต่อไปคือ กินข้าวเช้าเติมพลังที่ร้านน้องหน่อยเจ้าเดิม โดยสิ่งที่เราต้องเตรียมอีกอย่างก็คือ อาหารกลางวัน ที่เราจะต้องเตรียมไปกินระหว่างทาง พวกผมเลือกเอาเป็นข้าวเหนียวหมูย่างใกล้ๆ ง่ายๆสะดวกดี
และแล้วก็ถึงเวลาแห่งความสนุกแล้ว 09.00 น. พี่เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ที่ทำหน้าที่เป็นคนนำทางให้เรา ก็โทรมา เราก็เดินไปหาพี่เค้าที่จุดเริ่มต้น บริเวณที่เราชั่งของกับลูกหาบนั่นแหล่ะครับ
เราได้ “พี่ติมน” เป็นคนนำทางให้เรา พี่เค้าอัธยาศัยดีมาก เดินชวนคุยไปตลอดทาง เล่านู่นเล่านี่ให้ฟังเยอะแยะ ไปตลอดทาง ทำให้เราไม่เบื่อ ไม่เหนื่อยมาก

เดินไปได้ซักพัก ผมก็ได้รูปนี้มาครับ น่ารักๆทั้งนั้น
เราเริ่มเดินเวลา 9โมงหน่อยๆ เส้นทางการเดินก็จะออกจากหมุ่บ้านอีต่องทางด้านหลัง ไปซักพัก พอให้ได้เหงื่อ ก็จะถึงบริเวณทางเข้า เราก็จะต้องเอาบัตรที่ได้รับตอนเสียค่าธรรมเนียมเมื่อเช้าที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้เจ้าหน้าที่ตรวจที่ประตูทางเข้า ตรวจเสร็จเรียบร้อย เราก็ถ่ายรูปกับป้ายจุดเริ่มต้น ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง อย่างจริงจัง ด้วยระยะทาง 9 กิโลเมตร

พวกเรา 7 คนครับ

กลุ่มของพวกผมครับ 7 คน ตอนนี้กำลังแรงดีๆกันอยู่ทุกคน อีกซักพักก็คงจะเริ่มออกอาการ
ขออธิบายสภาพเส้นทางโดยรวม เราจะต้องเดินไปตามสันเขา ที่ทอดยาวเป็นแนวมุ่งสู่ยอดเขาช้างเผือก ลงบ้างขึ้นบ้าง ตามภูมิประเทศที่เป็นป่าโปร่งซะส่วนใหญ่ ตลอดสองข้างทางเป็นหญ้าขึ้นสูงระดับหน้าแข้ง ไปจนถึงสูงมิดหัว ความชันจะไม่ชันมาก จะมีแค่บางช่วงเท่านั้นที่สูงมากๆ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ

พี่ที่เห็นคือเจ้าที่อุทยานครับ จะแต่งกายเป็นชุดลายพราง

สังเกตุดูครับว่า ไม่มีต้นไม้ข้างทางเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้

ระหว่างเส้นทางครับ
หลังจากเริ่มเดินไปเรื่อยๆ แวะพักตามจุดต่างๆ เราเดินกันไปแบบไม่เร่งรีบ ชิลๆ ถ่ายรูปไปด้วย แล้วก็จะมาถึงจุดที่พี่คนนำทางให้เราแวะพักทานข้าวเที่ยงกันตอนเวลาประมาณ 11.30 น. ใครจะกิน ไม่กิน จะเดินเล่นถ่ายรูปก็ตามใจเลยครับ ก็จะได้พักประมาณ 20 นาที แล้วก็เริ่มออกเดินต่อ

ถ่ายได้มาระหว่างทางครับ
และแล้วเราก็มาถึง เวลาประมาณ 13.30 น. ใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง พอมาถึงแล้วพวกรูปหาบของเราก็จะกางเต้นท์รอไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เลือกไม่ได้ครับ ว่าอยากนอนตรงไหน แต่ก็จะกางกลุ่มเดียวกันไว้ติดกัน เวลาหลังจากนี้ก็เป็นช่วงพักผ่อน นอนหลับตามอัธยาศัย โดยที่พี่เจ้าหน้าที่นัดเวลาในการขึ้นยอดเขาช้างเผือกตอน 15.30 น.
ตอนนี้ต่างคนก็ต่างมีกิจกรรมเป็นของตัวเอง บางคนถ่ายรูปต่อ บางคนก็นอน(ผมเลือกข้อนี้ ฮร่า) บางคนก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน บางคนเดินสำรวจโดยรอบๆ ตามใจเลยครับ
พอเวลามาถึง พี่เจ้าหน้าที่ก็จะเดินมาบอกว่าได้เวลาแล้ว แต่ใครจะไม่ไปก็ได้ครับ เพราะเส้นทางขึ้นยอด แม้จะสั้น แต่ก็สูงชัน และอันตรายในระดับหนึ่ง เราก็จะเริ่มออกเดินกัน โดยแนะนำว่า ไม่ต้องรีบออกเดินไปติดๆกันครับ ให้เว้นช่วงระยะห่างพอสมควร จะได้ไม่ต้องยืนรอกันบนสันเขา แดดร้อน อันตรายเปล่าๆ

ไม่ไกลครับ แต่เส้นทางโหดพอสมควร
หนทางก็จะไต่สูงขึ้นอีกครับ เดินไปได้แค่ทีละคน จนมาถึงจุดไคลแมกซ์คือ “สันคมมีด” ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆ เพราะถ้าเหยียบพลาดนิดเดียว หลุดลงไปข้างล่าง เละเป็นผีเฝ้าป่าแน่ๆ แต่เราก็อยู่ในความดูแลของพี่ๆเจ้าหน้าที่ตลอดเวลาครับ แกไม่ปล่อยให้เราเผชิญโลกนี้ตามลำพังแน่นอน เราก็ไต่สูงกันขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงเป้าหมายสุดท้าย

สันคมมีด

ลักษณะการปีนสันคมมีด
ยอดเขาช้างเผือก ที่ความสูง 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเล บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าครับ ไม่เสียแรงที่ทนเหนื่อย ทนเสียวกันมา พี่เค้าจะให้เวลาถ่ายรูปอยู่ด้านบนยอดถึงประมาณ 17.30 น. ใครมาถึงก่อน ก็จะมีเวลามากกว่าคนอื่นเค้า ช่วงนี้ก็มหกรรมแห่งการถ่ายรูปเลยครับ จากจุดๆนี้เราจะสามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบได้ 360 องศา และยังมองไปถึงเขื่อนวชิราลงกรณ์และตัวอ่างเก็บน้ำทั้งหมดอีกด้วยครับ
ได้เวลาพี่เจ้าหน้าที่ก็จะเริ่มทยอยบอกให้เราลงกันได้แล้วครับ เพราะถ้ารอให้ตะวันตกดิน เราจะมองไม่เห็นทาง แล้วจะอันตรายมากๆ สำหรับใครที่ต้องการเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดิน ก็จะมีเนินหินให้เรานั่งถ่ายได้ครับ เพราะเป็นช่วงที่ลงมาพ้นจุดอันตรายไปแล้ว สามารถเดินกลับที่พักเองได้
พอตกกลางคืน เราก็ตั้งเอาน้ำที่เตรียมมาไปให้ลูกหาบ เค้าก็จะต้มน้ำให้เรา หรือใครที่เตรียมอุปกรณ์การทำอาหารมา ก็จัดการลงมือได้เลย เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอีกช่วงหนึ่ง ใครอยากจะก่อกองไฟ เผามัน นั่งคุยกันตามสะดวก แต่เชื่อได้ว่า สภาพทุกคนก็คงงอมพระรามกันหมด จากการเดินหนักมาตลอดทั้งวัน
ที่สำคัญอีกอย่าง เราอาบน้ำบนนี้ไม่ได้นะครับ ไม่มีน้ำให้อาบ เราใช้ทิชชู่เปียก ที่เอาไว้ใช้เช็ดก้นเด็กมาทำความสะอาดส่วนต่างๆของร่างกายแทน ส่วนห้องน้ำ มีครับ แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเข้า เพราะกลิ่นมันสุดจะทนจริงๆ เราต้องไปต่อยอดทับของคนอื่นต่อ ตัวผมเอง เลือกเข้าป่าดีกว่าครับ สบายใจกว่าเยอะ พกทิชชู่เปียกไปทำความสะอาดหลังเสร็จภารกิจ เพราะถ้าให้ใช้น้ำล้างมันก็คงจะไม่พอ วันนี้ก็จบลงไปอีกวันครับ
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สอง
ค่าธรรมเนียม 120 บาท
ค่าข้าวเหนียวหมู 200 บาท
ตะเกียงเทียน 30 บาท
ค่าถุงนอน 60 บาท
ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 800
[CR] ++ พิชิตเขาช้างเผือก ด้วยเงิน 1,400 บาท ++
เริ่มกันเลยครับ สำหรับทริปนี้ เริ่มต้นจากการที่ กระแสเขาช้างเผือกกำลังมาแรง ผมและเพื่อนๆความจริงก็อยากไปอยู่แล้ว ก็เลยทำการวางแผน และจองในทันที
เรื่องของการจอง ผมมีปัญหานิดหน่อยนะครับ ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้ละกัน เอาเป็นว่าใครอยากรู้หลังไมค์มาถามผมได้เลย
เกริ่นนำ
ผมวางแผนไว้ว่าจะไปนอนพักที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิวันที่ 9 ธันวาคม ก่อน 1 คืน จากนั้นจะเดินขึ้นเขาช้างเผือกในวันที่ 10 ธันวาคม และเดินลงวันที่ 11 ธันวาคม แล้วก็เดินทางกลับกรุงเทพฯเลย
การเดินทางครั้งนี้ ผมขับรถไปเองครับ ใช้น้ำมัน 1 ถังพอดี เติมครั้งเดียวตอนออกเดินทาง และกลับถึงกรุงเทพฯ น้ำมันก็เหลือก้นถังพอดี
เรามีสมาชิกร่วมเดินทางทั้งหมด 4 คน และไปเจอกับน้องๆอีกกลุ่มที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิซึ่งน้องกลุ่มนั้นนั่งรถมากันเองอีก 3 คน รวมเป็นทั้งหมด 7 คน
ค่าใช้จ่ายที่จะรีวิวให้ชมเป็นค่าใช้จ่ายของกลุ่มผม 4 คนเท่านั้น แยกกันกับน้องๆอีก 3 คน
9 ธันวาคม 2557
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 09.00 น. แวะนู่นแวะนี่ เตร็ดเตร่มาตลอดทาง โดยแวะซื้อของที่สุดท้ายคือ เซเว่นหน้าน้ำตกไทรโยคน้อย จากนั้นก็ยิงยาวถึงตัวอุทยานฯเลย
พวกเรามาถึงอุทยานฯเวลาประมาณ 14.00 น. โดยชำระค่าบริการที่ทางเข้าก่อนอันดับแรก จากนั้นก็ไปลงทะเบียนเตรียมขึ้นเขาช้างเผือกในวันรุ่งขึ้น ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
เจ้าหน้าที่ก็จะให้เรากรอกข้อมูลต่างๆ ชื่อ ที่อยู่ คนที่สามารถติดต่อได้ในยามฉุกเฉิน ในตอนนี้ถ้าใครจะยืมเต้นท์ ถุงนอน อุปกรณ์ต่างๆ ก็สามารถยืมได้เลยครับ แล้วก็จัดการชำระเงินให้เรียบร้อย
เมื่อเสร็จสิ้น ผมก็ขับรถต่อเข้าไปยังลานกางเต้นท์ “เนินกูดดอย” ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปอีกประมาณ 400 เมตร สภาพของถนนก็เละเทะ โหดใช้ได้ รถเก๋งควรใช้ความระมัดระวังมากๆ ไม่งั้นช่วงล่างอาจจะเละได้ โดยที่อุทยานแงชาติทองผาภูมิจะมีลานกางเต้นท์ เนินกูดดอย และเนินช้างศึก เลือกกันตามสบายเลยครับ
พอพวกเราไปถึง ก็มีนักท่องเที่ยวจับจองพื้นที่กางเต้นท์กันไว้บ้างแล้ว เราก็เลือกตรงที่ยังว่างอยู่ ใกล้ๆกับจุดชมวิว หลังจากกางเต้นท์ ขนอุปกรณ์การหลับนอนไปไว้ในเต้นท์เสร็จแล้ว เราก็ขับรถไปยัง “เนินช้างศึก”
เนินช้างศึก เป็นจุดชมวิว แล้วก็ยังเป็นสถานที่ที่สามารถมากางเต้นท์พักแรมได้ด้วย ซึ่งที่นี่จะเป็นที่ตั้งของฐานปฏิบัติการหมวดตำรวจตระเวนชายแดนที่ 1351 บรรยากาศโดยรอบจะมองเห็นไปยังบ้านอีต่อง ถือเป็นที่ๆพลาดไม่ได้เลย ตอนพวกเราขึ้นไป มีคณะขึ้นมากางเต้นท์ทำกับข้าวกินกันอยู่ก่อนแล้ว ก็ชวนคุยนิดหน่อยๆ เดินถ่ายรูปไปรอบๆ ท้องก็เริ่มหิว เราจึงมุ่งหน้าต่อไปยังบ้านอีต่อง เพื่อไปหาอะไรกินกันก่อนกลับไปยังอุทยานฯ
รูปนี้ถ่ายจากบนเนินช้างศึกครับ
วันนี้เย็นเราไปกินข้าวกันที่ “ร้านน้องหน่อย” ดูเหมือนร้านนี้จะโด่งดังที่สุดแล้วในละแวกนี้ เป็นร้านขายอาหารตามสั่งทั่วไป ราคาต่อจานประมาณ 40 บาท เป็นแบบกับข้าวก็มี กุ้งเค้าตัวใหญ่นะครับร้านนี้ เจ้าของร้านจะสวยๆ สังเกตดูจะรู้เลยว่า นี่ชื่อน้องหน่อยแน่ๆ
หลังจากอิ่มหนำกันแล้ว เวลาก็ล่วงเลยมาประมาณ 17.30 น. อากาศเริ่มเย็นขึ้นตามลำดับ เราก็รีบกลับไปยังอุทยานฯ เพราะไม่อย่างงั้น อากาศจะหนาวมาก เวลาอาบน้ำคงทรมานสุดๆ
มาถึงอุทยานก็อาบน้ำ (เหมือนอาบน้ำเย็น แนะนำว่ารีบอาบตอนบ่ายๆครับ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน) เปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บของ และจัดกระเป๋าให้พร้อมสำหรับการเดินทางพรุ่งนี้ เสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว เราก็มานั่งล้อมวงวางแผนกัน นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆบ้างก็นั่งกินข้าว สังสรรค์ เล่นกีตาร์ เฮฮา เป็นที่น่าครึกครื้น (แต่ก็ไม่ควรใช้เสียงให้ดังมากนัก เดี๋ยวจะไปรบกวนคนอื่นเค้า)
เริ่มดึกเข้า ก็แยกย้ายกันไปนอนครับ เป้าหมายแรกพรุ่งนี้เช้าคือ ดูพระอาทิตย์ขึ้นครับ
ก่อนนอน ผมแอบออกมาถ่ายรูปพระจันทร์ กับดาวที่จุดชมวิวครับ ตอนนี้แหล่ะที่ผมได้เจอกับน้องๆอีกกลุ่มนึง 3 คน จนได้คุยกัน รู้จักกัน แล้วก็เลยชวนน้องเค้าไปกับพวกเราด้วยเลย ตอนนี้ก็ครบแก๊ง 7 ผู้กล้าแล้ว
พระจันทร์ยามค่ำ ที่จุดชมวิวเนินกูดดอยครับ
สรุปค่าใช้จ่ายวันแรก
ค่าน้ำมัน 1,600 บาท
ค่าอาหารสำหรับกินบนเขาช้างเผือก 210 บาท
ค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ 310 บาท
เช่าถุงนอนเพิ่ม 60 บาท
รวม 2,180 บาท
10 ธันวาคม 2557
เราตื่นมาประมาณ 05.45 น. เพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวเนินกูดดอย ถ่ายรูปไปพลางๆ เก็บของ เก็บเต้นท์ ล้างหน้า แปรงฟัน ใครอยากอาบน้ำก็อาบได้เลย
ผมไปยืนรอถ่ยพระอาทิตย์ขึ้นที่เดิมกับเมื่อคืน นักท่องเที่ยวก็เริ่มมากันเรื่อยๆ ก็เลยได้รูปนี้มา
อีกรูปครับ
จากนั้น 07.00 น. เราทั้ง 7 คน ก็ไปพร้อมกันที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอีกครั้งหนึ่ง เพื่อชำระค่าธรรมเนียมของวันนี้ และฟังคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับของที่ต้องเตรียมไปก่อนออกเดินทางครับ โดยที่เราจะต้องเก็บบัตรที่เราได้รับหลังจากเสียค่าธรรมเนียมไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจตรงทางเข้าเส้นทางเดินด้วย เก็บไว้ให้ดี อย่าทำหาย
แล้วเราก็มุ่งหน้าสู่จุดเริ่มต้น คือบ้านอีต่อง พอมาถึงสิ่งแรกที่เราต้องทำคือไปหาลูกหาบครับ โดยที่เดินเข้าไปในตลาดอีต่อง บริเวณหน้าทางเข้าเส้นทางเดิน จะมีลูกหาบนั่งรออยู่เยอะเลยครับ เราก็เดินไปบอกเค้าเลยว่าจะเอาลูกหบกี่คน โดยเค้าจะคิดค่าบริการคนละ 1,100 บาท สามารถแบกน้ำหนักได้ 30 กิโลกรัม พวกเรา 7 คนใช้ลูกหาบ 2 คน น้ำหนักของ 60 กิโลกรัมพอดี ส่วนเกินที่เหลือ เราก็แบกกันขึ้นเอง
หลังจากชั่งน้ำหนักเสร็จเรียบร้อย เราก็ปล่อยให้ลูกหาบเอาของขึ้นไปเอง ไมต้องไปยุ่งอะไรอีก เป้าหมายต่อไปคือ กินข้าวเช้าเติมพลังที่ร้านน้องหน่อยเจ้าเดิม โดยสิ่งที่เราต้องเตรียมอีกอย่างก็คือ อาหารกลางวัน ที่เราจะต้องเตรียมไปกินระหว่างทาง พวกผมเลือกเอาเป็นข้าวเหนียวหมูย่างใกล้ๆ ง่ายๆสะดวกดี
และแล้วก็ถึงเวลาแห่งความสนุกแล้ว 09.00 น. พี่เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ ที่ทำหน้าที่เป็นคนนำทางให้เรา ก็โทรมา เราก็เดินไปหาพี่เค้าที่จุดเริ่มต้น บริเวณที่เราชั่งของกับลูกหาบนั่นแหล่ะครับ
เราได้ “พี่ติมน” เป็นคนนำทางให้เรา พี่เค้าอัธยาศัยดีมาก เดินชวนคุยไปตลอดทาง เล่านู่นเล่านี่ให้ฟังเยอะแยะ ไปตลอดทาง ทำให้เราไม่เบื่อ ไม่เหนื่อยมาก
เดินไปได้ซักพัก ผมก็ได้รูปนี้มาครับ น่ารักๆทั้งนั้น
เราเริ่มเดินเวลา 9โมงหน่อยๆ เส้นทางการเดินก็จะออกจากหมุ่บ้านอีต่องทางด้านหลัง ไปซักพัก พอให้ได้เหงื่อ ก็จะถึงบริเวณทางเข้า เราก็จะต้องเอาบัตรที่ได้รับตอนเสียค่าธรรมเนียมเมื่อเช้าที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวให้เจ้าหน้าที่ตรวจที่ประตูทางเข้า ตรวจเสร็จเรียบร้อย เราก็ถ่ายรูปกับป้ายจุดเริ่มต้น ก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง อย่างจริงจัง ด้วยระยะทาง 9 กิโลเมตร
พวกเรา 7 คนครับ
กลุ่มของพวกผมครับ 7 คน ตอนนี้กำลังแรงดีๆกันอยู่ทุกคน อีกซักพักก็คงจะเริ่มออกอาการ
ขออธิบายสภาพเส้นทางโดยรวม เราจะต้องเดินไปตามสันเขา ที่ทอดยาวเป็นแนวมุ่งสู่ยอดเขาช้างเผือก ลงบ้างขึ้นบ้าง ตามภูมิประเทศที่เป็นป่าโปร่งซะส่วนใหญ่ ตลอดสองข้างทางเป็นหญ้าขึ้นสูงระดับหน้าแข้ง ไปจนถึงสูงมิดหัว ความชันจะไม่ชันมาก จะมีแค่บางช่วงเท่านั้นที่สูงมากๆ ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
พี่ที่เห็นคือเจ้าที่อุทยานครับ จะแต่งกายเป็นชุดลายพราง
สังเกตุดูครับว่า ไม่มีต้นไม้ข้างทางเลย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนี้
ระหว่างเส้นทางครับ
หลังจากเริ่มเดินไปเรื่อยๆ แวะพักตามจุดต่างๆ เราเดินกันไปแบบไม่เร่งรีบ ชิลๆ ถ่ายรูปไปด้วย แล้วก็จะมาถึงจุดที่พี่คนนำทางให้เราแวะพักทานข้าวเที่ยงกันตอนเวลาประมาณ 11.30 น. ใครจะกิน ไม่กิน จะเดินเล่นถ่ายรูปก็ตามใจเลยครับ ก็จะได้พักประมาณ 20 นาที แล้วก็เริ่มออกเดินต่อ
ถ่ายได้มาระหว่างทางครับ
และแล้วเราก็มาถึง เวลาประมาณ 13.30 น. ใช้เวลาเดินทั้งหมดประมาณ 4 ชั่วโมงครึ่ง พอมาถึงแล้วพวกรูปหาบของเราก็จะกางเต้นท์รอไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เลือกไม่ได้ครับ ว่าอยากนอนตรงไหน แต่ก็จะกางกลุ่มเดียวกันไว้ติดกัน เวลาหลังจากนี้ก็เป็นช่วงพักผ่อน นอนหลับตามอัธยาศัย โดยที่พี่เจ้าหน้าที่นัดเวลาในการขึ้นยอดเขาช้างเผือกตอน 15.30 น.
ตอนนี้ต่างคนก็ต่างมีกิจกรรมเป็นของตัวเอง บางคนถ่ายรูปต่อ บางคนก็นอน(ผมเลือกข้อนี้ ฮร่า) บางคนก็นั่งจับกลุ่มคุยกัน บางคนเดินสำรวจโดยรอบๆ ตามใจเลยครับ
พอเวลามาถึง พี่เจ้าหน้าที่ก็จะเดินมาบอกว่าได้เวลาแล้ว แต่ใครจะไม่ไปก็ได้ครับ เพราะเส้นทางขึ้นยอด แม้จะสั้น แต่ก็สูงชัน และอันตรายในระดับหนึ่ง เราก็จะเริ่มออกเดินกัน โดยแนะนำว่า ไม่ต้องรีบออกเดินไปติดๆกันครับ ให้เว้นช่วงระยะห่างพอสมควร จะได้ไม่ต้องยืนรอกันบนสันเขา แดดร้อน อันตรายเปล่าๆ
ไม่ไกลครับ แต่เส้นทางโหดพอสมควร
หนทางก็จะไต่สูงขึ้นอีกครับ เดินไปได้แค่ทีละคน จนมาถึงจุดไคลแมกซ์คือ “สันคมมีด” ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆ เพราะถ้าเหยียบพลาดนิดเดียว หลุดลงไปข้างล่าง เละเป็นผีเฝ้าป่าแน่ๆ แต่เราก็อยู่ในความดูแลของพี่ๆเจ้าหน้าที่ตลอดเวลาครับ แกไม่ปล่อยให้เราเผชิญโลกนี้ตามลำพังแน่นอน เราก็ไต่สูงกันขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงเป้าหมายสุดท้าย
สันคมมีด
ลักษณะการปีนสันคมมีด
ยอดเขาช้างเผือก ที่ความสูง 1,249 เมตร จากระดับน้ำทะเล บอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าครับ ไม่เสียแรงที่ทนเหนื่อย ทนเสียวกันมา พี่เค้าจะให้เวลาถ่ายรูปอยู่ด้านบนยอดถึงประมาณ 17.30 น. ใครมาถึงก่อน ก็จะมีเวลามากกว่าคนอื่นเค้า ช่วงนี้ก็มหกรรมแห่งการถ่ายรูปเลยครับ จากจุดๆนี้เราจะสามารถมองเห็นบริเวณโดยรอบได้ 360 องศา และยังมองไปถึงเขื่อนวชิราลงกรณ์และตัวอ่างเก็บน้ำทั้งหมดอีกด้วยครับ
ได้เวลาพี่เจ้าหน้าที่ก็จะเริ่มทยอยบอกให้เราลงกันได้แล้วครับ เพราะถ้ารอให้ตะวันตกดิน เราจะมองไม่เห็นทาง แล้วจะอันตรายมากๆ สำหรับใครที่ต้องการเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดิน ก็จะมีเนินหินให้เรานั่งถ่ายได้ครับ เพราะเป็นช่วงที่ลงมาพ้นจุดอันตรายไปแล้ว สามารถเดินกลับที่พักเองได้
พอตกกลางคืน เราก็ตั้งเอาน้ำที่เตรียมมาไปให้ลูกหาบ เค้าก็จะต้มน้ำให้เรา หรือใครที่เตรียมอุปกรณ์การทำอาหารมา ก็จัดการลงมือได้เลย เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอีกช่วงหนึ่ง ใครอยากจะก่อกองไฟ เผามัน นั่งคุยกันตามสะดวก แต่เชื่อได้ว่า สภาพทุกคนก็คงงอมพระรามกันหมด จากการเดินหนักมาตลอดทั้งวัน
ที่สำคัญอีกอย่าง เราอาบน้ำบนนี้ไม่ได้นะครับ ไม่มีน้ำให้อาบ เราใช้ทิชชู่เปียก ที่เอาไว้ใช้เช็ดก้นเด็กมาทำความสะอาดส่วนต่างๆของร่างกายแทน ส่วนห้องน้ำ มีครับ แต่เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากเข้า เพราะกลิ่นมันสุดจะทนจริงๆ เราต้องไปต่อยอดทับของคนอื่นต่อ ตัวผมเอง เลือกเข้าป่าดีกว่าครับ สบายใจกว่าเยอะ พกทิชชู่เปียกไปทำความสะอาดหลังเสร็จภารกิจ เพราะถ้าให้ใช้น้ำล้างมันก็คงจะไม่พอ วันนี้ก็จบลงไปอีกวันครับ
สรุปค่าใช้จ่ายวันที่สอง
ค่าธรรมเนียม 120 บาท
ค่าข้าวเหนียวหมู 200 บาท
ตะเกียงเทียน 30 บาท
ค่าถุงนอน 60 บาท
ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 800
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น