๑๑. ปฐมปติพพตาวิมาน
ว่าด้วยปติพพตาวิมาน ๑
[๑๑] พระโมคคัลลานะถามว่า "ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก นกกระเรียน นกยูงทอง หงส์ นกดุเหว่า ซึ่งล้วนเป็นทิพย์ ส่งเสียงอย่างไพเราะ ชุมนุมกันอยู่ วิมานนี้ดาดาษด้วยดอกไม้สด งดงามมาก เทพบุตรและเทพธิดามาคบหากับท่านนั่งอยู่ในวิมานนั้น เหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ สำแดงฤทธิ์
มีรูปแปลก ๆ กันเป็นอันมาก อัปสรเหล่านี้ฟ้อนรำขับร้องอยู่รอบข้าง ให้ท่านบันเทิงอยู่.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็ได้เทพฤทธิ์ครั้งเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร
ท่านจึงมีอานุภาพมากรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทวดานั้น ถูกพระโมคัลลานะซักถามแล้วดีใจ ก็ได้พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า "ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ ดีฉันได้เป็นผู้ปฏิบัติซื่อตรงต่อสามี ไม่ประพฤตินอกใจ ถนอมใจสามี เหมือนกันมารดาถนอมบุตร แม้ดีฉันจะโกรธไม่กล่าวคำหยาบ ละการพูดเท็จ ดำรงมั่นอยู่ใน
ความสัตย์ยินดีในการให้ทาน ชอบอุทิศตนสงเคราะห์ผู้อื่น มีใจเลื่อมใส เมื่อบริจาคข้าวและน้ำ ได้ถวายทานอันไพบูลย์โดยความเคารพ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะอย่างนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
"ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์ ดีฉันได้ทำบุญใดไว้ เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึงสว่างไหวไปทุกทิศ."
จบปฐมปติพพตาวิมาน
อรรถปฐมปติพพตาวิมาน
ปฐมปติพพตาวิมาน มีคาถาว่า โกญฺจา มยุรา ทิวิยา หสา เป็นต้น. ปฐมปติพพตาวิมาน เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี. ในกรุงสาวัตถีนั้น สตรีผู้หนึ่งได้เป็นผู้ปฏิบัติสามี นางคล้อยตามสามี อดทน ถือโอวาทสามีโดยเคารพ แม้โกรธก็ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่พูดคำหยาบ พูดแต่เรื่องจริง มีความเชื่อและเลื่อมใส และให้ทานตามควรแก่ทรัพย์สมบัติ นางเกิดเป็นโรคบางอย่าง ก็ตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. ต่อมาท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไป โดยนัยก่อน ๆ นั่นแล พบเทวธิดาองค์นั้น ซึ่งกำลังเสวยสมบัติอย่างใหญ่ จึงเข้าไปใกล้ ๆ. เทวธิดา
องค์นั้น มีอัปสรพันหนึ่งแวดล้อม มีอัตภาพประดับด้วยเครื่องอลังการมีภาระประมาณ ๖๐ เล่มเกวียน ไหว้ด้วยเศียรเกล้า [ค้อมศีรษะ] ใกล้ ๆ เท้าพระเถระแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. แม้พระเถระ เมื่อจะถามบุญกรรมที่นางทำไว้ จึงกล่าวว่า "นกกระเรียน นกยูง หงส์ และดุเหว่า ล้วนเป็นทิพย์ ส่งเสียงไพเราะ. ชุมนุมกันอยู่. วิมานนี้ดาดาษด้วยปุปผชาติ. น่ารื่นรมย์ วิจิตรเป็นอันมากทั้งเทพบุตรทั้งเทพธิดาก็มาคบหาสมาคมกัน. ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านนั่งอยู่ในวิมานนี้ เหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ ก็สำแดงฤทธิ์ มีรูปเป็นอันมากและเทพอัปสรเหล่านี้ ก็ฟ้อนรำขับร้องและรื่นเริงกันรอบ ๆ ท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็บรรลุเทวฤทธิ์แล้ว ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ. เทวดาองค์นั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะถามแล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาโดยอาการที่ท่านถาม ถึงกรรมที่มีผลดังนี้.
เทวดาองค์นั้น กล่าวตอบว่า "ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ดีฉันซื่อตรงต่อสามี ไม่นอกใจ ถนอมใจสามีเหมือนมารดาถนอมบุตร ดีฉันแม้โกรธ ก็ไม่กล่าวคำหยาบ ดีฉันตั้งอยู่ในสัจจะ ละคำเท็จ ยินดีในทาน ชอบอุทิศตนสงเคราะห์คนอื่น มีจิตเลื่อมใส [ ในพระรัตนตรัย ] เมื่อบริจาคข้าวน้ำ ก็ได้ถวายเป็นทานอย่างไพบูลโดยเคารพ. เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉันและโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน."
"ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ดีฉันครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญใด เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองเช่นนี้ และวรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ."
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกญฺจา แปลว่า นกกระเรียน ที่อาจารย์บางพวกเรียกว่า นกกระไน ก็มี. บทว่า มยุรา แปลว่า นกยูง.
บทว่า ทิวิยา แปลว่า ที่เป็นทิพย์. จริงอยู่ บทนี้ ควรประกอบเข้า ๔ บทโดยนัยว่า ทิวิยา โกญฺจา นกกระเรียนทิพย์ ทิวิยา มยุรา นกยูงทิพย์ เป็นต้น.
บทว่า หํสา ได้แก่ หงส์ มีหงส์ทอง เป็นต้น.
บทว่า วคฺคุสฺสรา แปลว่า มีเสียงเพราะ. บทว่า โกกิลา ได้แก่ นกดุเหว่า [กายขาวดำ].
บทว่า สมฺปตนฺติ ได้แก่ เล่นระเริงบินร่อนไปรอบๆ เพื่อความอภิรมย์แห่งเทวดา.
จริงอยู่ เหล่าเทวดาที่เป็นบริวารเล่นระเริงโดยรูปของนกกระเรียน เป็นต้น. เพื่อให้เกิดความยินดีแก่เทวดา ท่านจึงกล่าวโดยคำว่า โกญฺจา เป็นต้น.
บทว่า ปุปฺผาภิกิณฺณํ ได้แก่ เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้รัตนะชนิดต่าง ๆ ที่ร้อยแล้วและยังไม่ได้ร้อย[เป็นพวง ].
บทว่า รมํ ได้แก่ น่ารื่นรมย์ น่ารื่นใจ.
บทว่า อเนกจิตฺตํ ได้แก่ วิจิตรด้วยอุทยาน ต้นกัลปพฤกษ์และสระโบกขรณี เป็นต้น เป็นอันมาก และด้วยผนังวิเศษ เป็นต้น เป็นอันมาก ในวิมานทั้งหลาย.
บทว่า นรนาริ เสวิตํ ได้แก่ ที่เหล่าเทพบุตรและเหล่าเทพธิดา ซึ่งเป็นบริวารคบหากัน.
บทว่า อิทฺธิ วิกพฺพนฺติ อเนรูปา ประกอบความว่า ผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายที่สำเร็จด้วยอานุภาพแห่งกรรม มีรูปเป็นอันมาก เพราะสำแดงรูปได้ต่าง ๆ ย่อมสำแสดงฤทธิ์ ใช้ฤทธิ์แปลก ๆ ท่านก็นั่งอยู่ [ ในวิมานนั้น.
บทว่า อนญฺญมนา ได้แก่ ซื่อตรงต่อสามี. ใจของสตรีนั้น ตกไปในบุรุษอื่น เหตุนั้น สตรีนั้นชื่อว่า อัญญมานา มีใจตกไปในบุรุษอื่น. สตรีนั้นไม่มีใจตกไปในบุรุษอื่น เหตุนั้น จึงชื่อว่า อนัญญมนา ไม่มีใจตกไปในบุรุษอื่น. อธิบายว่า ดีฉันไม่เกิดจิตคิดชั่วในบุรุษอื่น นอกจากสามีของดีฉันอย่างนี้.
บทว่า มาตาว ปุตฺตํ อนุรกฺขมานา ความว่ากรุณาเอ็นดูสามีของดีฉัน หรือแม้ทุกตัวสัตว์ เพราะนำเข้ามาแต่ประโยชน์และเพราะประสงค์จะนำสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ออกไปเสีย เหมือนมารดาเอ็นดู
บุตรฉะนั้น.
บทว่า กุทฺธาปิหํ นปฺผรุสํ อโวจํ ความว่า ดีฉันแม้โกรธอยู่ เพราะผู้อื่นทำความไม่ผาสุกให้ ก็ไม่กล่าวคำหยาบคาย อธิบายว่าที่แท้ ก็กล่าวแต่คำที่น่ารักเท่านั้น.
บทว่า สจฺเจ ฐิตา ได้แก่ ดำรงอยู่ในสัจจะ. เพราะเหตุที่เป็นผู้ชื่อว่า ตั้งมั่นในสัจจะ เพราะเจตนางดเว้นกล่าวคำเท็จ มิใช่ตั้งมั่นโดยเพียงกล่าวคำจริงในบางครั้งเท่านั้น ฉะนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า โมสวชฺชํ ปหาย ได้แก่ ละมุสาวาทแล้ว.
บทว่า ทาเน รตา ได้แก่ ยินดียิ่ง อธิบายว่า ขวนขวายในทาน.
บทว่า สงฺคหิตตฺตภาวา ประกอบความว่า ดีฉันชอบอุทิศตนสงเคราะห์คนอื่น ๆ ด้วยสังคหวัตถุ และมีจิตเลื่อมใสเพราะเชื่อกรรมและผลกรรม จึงได้ถวายข้าว น้ำ โดยเคารพโดยอาการยำเกรง
และได้ถวายทานอย่างอื่นมีผ้า เป็นต้น อย่างไพบูลย์ อย่างโอฬาร. คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาปฐมปติพพตาวิมาน
ซื่อสัตย์ ถนอมน้ำใจสามี ตายไปเกิดเป็นเทพธิดาที่มีอานุภาพมาก
ว่าด้วยปติพพตาวิมาน ๑
[๑๑] พระโมคคัลลานะถามว่า "ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก นกกระเรียน นกยูงทอง หงส์ นกดุเหว่า ซึ่งล้วนเป็นทิพย์ ส่งเสียงอย่างไพเราะ ชุมนุมกันอยู่ วิมานนี้ดาดาษด้วยดอกไม้สด งดงามมาก เทพบุตรและเทพธิดามาคบหากับท่านนั่งอยู่ในวิมานนั้น เหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ สำแดงฤทธิ์
มีรูปแปลก ๆ กันเป็นอันมาก อัปสรเหล่านี้ฟ้อนรำขับร้องอยู่รอบข้าง ให้ท่านบันเทิงอยู่.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็ได้เทพฤทธิ์ครั้งเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร
ท่านจึงมีอานุภาพมากรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทวดานั้น ถูกพระโมคัลลานะซักถามแล้วดีใจ ก็ได้พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า "ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ ดีฉันได้เป็นผู้ปฏิบัติซื่อตรงต่อสามี ไม่ประพฤตินอกใจ ถนอมใจสามี เหมือนกันมารดาถนอมบุตร แม้ดีฉันจะโกรธไม่กล่าวคำหยาบ ละการพูดเท็จ ดำรงมั่นอยู่ใน
ความสัตย์ยินดีในการให้ทาน ชอบอุทิศตนสงเคราะห์ผู้อื่น มีใจเลื่อมใส เมื่อบริจาคข้าวและน้ำ ได้ถวายทานอันไพบูลย์โดยความเคารพ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะอย่างนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
"ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ครั้งเป็นมนุษย์ ดีฉันได้ทำบุญใดไว้ เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึงสว่างไหวไปทุกทิศ."
จบปฐมปติพพตาวิมาน
อรรถปฐมปติพพตาวิมาน
ปฐมปติพพตาวิมาน มีคาถาว่า โกญฺจา มยุรา ทิวิยา หสา เป็นต้น. ปฐมปติพพตาวิมาน เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี. ในกรุงสาวัตถีนั้น สตรีผู้หนึ่งได้เป็นผู้ปฏิบัติสามี นางคล้อยตามสามี อดทน ถือโอวาทสามีโดยเคารพ แม้โกรธก็ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่พูดคำหยาบ พูดแต่เรื่องจริง มีความเชื่อและเลื่อมใส และให้ทานตามควรแก่ทรัพย์สมบัติ นางเกิดเป็นโรคบางอย่าง ก็ตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. ต่อมาท่านพระมหาโมคคัลลานะเที่ยวจาริกไป โดยนัยก่อน ๆ นั่นแล พบเทวธิดาองค์นั้น ซึ่งกำลังเสวยสมบัติอย่างใหญ่ จึงเข้าไปใกล้ ๆ. เทวธิดา
องค์นั้น มีอัปสรพันหนึ่งแวดล้อม มีอัตภาพประดับด้วยเครื่องอลังการมีภาระประมาณ ๖๐ เล่มเกวียน ไหว้ด้วยเศียรเกล้า [ค้อมศีรษะ] ใกล้ ๆ เท้าพระเถระแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. แม้พระเถระ เมื่อจะถามบุญกรรมที่นางทำไว้ จึงกล่าวว่า "นกกระเรียน นกยูง หงส์ และดุเหว่า ล้วนเป็นทิพย์ ส่งเสียงไพเราะ. ชุมนุมกันอยู่. วิมานนี้ดาดาษด้วยปุปผชาติ. น่ารื่นรมย์ วิจิตรเป็นอันมากทั้งเทพบุตรทั้งเทพธิดาก็มาคบหาสมาคมกัน. ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านนั่งอยู่ในวิมานนี้ เหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ ก็สำแดงฤทธิ์ มีรูปเป็นอันมากและเทพอัปสรเหล่านี้ ก็ฟ้อนรำขับร้องและรื่นเริงกันรอบ ๆ ท่าน.
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็บรรลุเทวฤทธิ์แล้ว ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ. เทวดาองค์นั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะถามแล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาโดยอาการที่ท่านถาม ถึงกรรมที่มีผลดังนี้.
เทวดาองค์นั้น กล่าวตอบว่า "ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ดีฉันซื่อตรงต่อสามี ไม่นอกใจ ถนอมใจสามีเหมือนมารดาถนอมบุตร ดีฉันแม้โกรธ ก็ไม่กล่าวคำหยาบ ดีฉันตั้งอยู่ในสัจจะ ละคำเท็จ ยินดีในทาน ชอบอุทิศตนสงเคราะห์คนอื่น มีจิตเลื่อมใส [ ในพระรัตนตรัย ] เมื่อบริจาคข้าวน้ำ ก็ได้ถวายเป็นทานอย่างไพบูลโดยเคารพ. เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉันและโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน."
"ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ดีฉันครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญใด เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองเช่นนี้ และวรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ."
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โกญฺจา แปลว่า นกกระเรียน ที่อาจารย์บางพวกเรียกว่า นกกระไน ก็มี. บทว่า มยุรา แปลว่า นกยูง.
บทว่า ทิวิยา แปลว่า ที่เป็นทิพย์. จริงอยู่ บทนี้ ควรประกอบเข้า ๔ บทโดยนัยว่า ทิวิยา โกญฺจา นกกระเรียนทิพย์ ทิวิยา มยุรา นกยูงทิพย์ เป็นต้น.
บทว่า หํสา ได้แก่ หงส์ มีหงส์ทอง เป็นต้น.
บทว่า วคฺคุสฺสรา แปลว่า มีเสียงเพราะ. บทว่า โกกิลา ได้แก่ นกดุเหว่า [กายขาวดำ].
บทว่า สมฺปตนฺติ ได้แก่ เล่นระเริงบินร่อนไปรอบๆ เพื่อความอภิรมย์แห่งเทวดา.
จริงอยู่ เหล่าเทวดาที่เป็นบริวารเล่นระเริงโดยรูปของนกกระเรียน เป็นต้น. เพื่อให้เกิดความยินดีแก่เทวดา ท่านจึงกล่าวโดยคำว่า โกญฺจา เป็นต้น.
บทว่า ปุปฺผาภิกิณฺณํ ได้แก่ เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้รัตนะชนิดต่าง ๆ ที่ร้อยแล้วและยังไม่ได้ร้อย[เป็นพวง ].
บทว่า รมํ ได้แก่ น่ารื่นรมย์ น่ารื่นใจ.
บทว่า อเนกจิตฺตํ ได้แก่ วิจิตรด้วยอุทยาน ต้นกัลปพฤกษ์และสระโบกขรณี เป็นต้น เป็นอันมาก และด้วยผนังวิเศษ เป็นต้น เป็นอันมาก ในวิมานทั้งหลาย.
บทว่า นรนาริ เสวิตํ ได้แก่ ที่เหล่าเทพบุตรและเหล่าเทพธิดา ซึ่งเป็นบริวารคบหากัน.
บทว่า อิทฺธิ วิกพฺพนฺติ อเนรูปา ประกอบความว่า ผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายที่สำเร็จด้วยอานุภาพแห่งกรรม มีรูปเป็นอันมาก เพราะสำแดงรูปได้ต่าง ๆ ย่อมสำแสดงฤทธิ์ ใช้ฤทธิ์แปลก ๆ ท่านก็นั่งอยู่ [ ในวิมานนั้น.
บทว่า อนญฺญมนา ได้แก่ ซื่อตรงต่อสามี. ใจของสตรีนั้น ตกไปในบุรุษอื่น เหตุนั้น สตรีนั้นชื่อว่า อัญญมานา มีใจตกไปในบุรุษอื่น. สตรีนั้นไม่มีใจตกไปในบุรุษอื่น เหตุนั้น จึงชื่อว่า อนัญญมนา ไม่มีใจตกไปในบุรุษอื่น. อธิบายว่า ดีฉันไม่เกิดจิตคิดชั่วในบุรุษอื่น นอกจากสามีของดีฉันอย่างนี้.
บทว่า มาตาว ปุตฺตํ อนุรกฺขมานา ความว่ากรุณาเอ็นดูสามีของดีฉัน หรือแม้ทุกตัวสัตว์ เพราะนำเข้ามาแต่ประโยชน์และเพราะประสงค์จะนำสิ่งที่มิใช่ประโยชน์ออกไปเสีย เหมือนมารดาเอ็นดู
บุตรฉะนั้น.
บทว่า กุทฺธาปิหํ นปฺผรุสํ อโวจํ ความว่า ดีฉันแม้โกรธอยู่ เพราะผู้อื่นทำความไม่ผาสุกให้ ก็ไม่กล่าวคำหยาบคาย อธิบายว่าที่แท้ ก็กล่าวแต่คำที่น่ารักเท่านั้น.
บทว่า สจฺเจ ฐิตา ได้แก่ ดำรงอยู่ในสัจจะ. เพราะเหตุที่เป็นผู้ชื่อว่า ตั้งมั่นในสัจจะ เพราะเจตนางดเว้นกล่าวคำเท็จ มิใช่ตั้งมั่นโดยเพียงกล่าวคำจริงในบางครั้งเท่านั้น ฉะนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า โมสวชฺชํ ปหาย ได้แก่ ละมุสาวาทแล้ว.
บทว่า ทาเน รตา ได้แก่ ยินดียิ่ง อธิบายว่า ขวนขวายในทาน.
บทว่า สงฺคหิตตฺตภาวา ประกอบความว่า ดีฉันชอบอุทิศตนสงเคราะห์คนอื่น ๆ ด้วยสังคหวัตถุ และมีจิตเลื่อมใสเพราะเชื่อกรรมและผลกรรม จึงได้ถวายข้าว น้ำ โดยเคารพโดยอาการยำเกรง
และได้ถวายทานอย่างอื่นมีผ้า เป็นต้น อย่างไพบูลย์ อย่างโอฬาร. คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาปฐมปติพพตาวิมาน