'จักรมณฑ์'ดัน2นิคมกำจัดขยะอุตฯ
ที่มา ธุรกิจ วันที่ 13 ตุลาคม 2557 13:01 (ข่าวเก่า)
"จักรมณฑ์" ดัน2นิคมกำจัดขยะอุตฯ เชื่อลงทุนคุ้มค่า ประเมินมูลค่ากำจัดขยะอุตฯแสนล้าน/ปี
“จักรมณฑ์” ระบุ มูลค่าการกำจัดขยะอุตฯทั่วประเทศกว่า 1 แสนล้านบาท คุ้มต่อการตั้งนิคมฯกำจัดขยะอุตสาหกรรมรองรับปัญหาขยะในอีก 20 ปี เล็งใช้พื้นที่เหมืองแร่เก่า ที่ดินรัฐ ลดต้นทุนก่อสร้าง
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการนิคมกำจัดขยะอุตสาหกรรม ว่า ในเบื้องต้นมองว่าควรจะมีนิคมกำจัดขยะอุตสาหกรรม 2 แห่ง โดยตั้งอยู่ในจุดที่มีอุตสาหกรรมหนาแน่น ได้แก่ ในภาคตะวันออก ครอบคลุม จ.ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และในภาคตะวันตกครอบคลุม จ.ราชบุรี นครปฐม และสมุทรสาคร
เขาเชื่อว่านิคมฯนี้จะมีความคุ้มค่าด้านการลงทุน เนื่องจากในขณะนี้มีค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายประมาณ 1 หมื่นบาท/ตัน ซึ่งหากรวมขยะอุตสาหกรรมอันตรายที่อยู่นอกระบบ 2 ล้านตัน/ปี นำมากำจัดอย่างถูกต้อง ก็จะมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้หากนำขยะอุตสาหกรรมธรรมดาที่อยู่นอกระบบประมาณ 20 ล้านตัน มีต้นทุนการกำจัดประมาณ 3 พันบาท/ตัน ก็จะสร้างรายได้เพิ่มอีก 6 หมื่นล้านบาท รวมแล้วก็จะมีรายได้จากการกำจัดขยะสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท และถ้าหากรวมกับมูลค่าการรีไซเคิลนำกลับมาเป็นวัตถุดิบอุตสาหกรรม ก็จะมีรายได้รวมมากกว่า 1 แสนล้านบาท จึงมองว่านิคมฯแห่งนี้มีความคุ้มทุนที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากมีโรงงานกำจัดขยะและรีไซเคิลมารวมกลุ่มกันเป็นนิคมฯ และมีกฎหมายควบคุมให้ทุกโรงงานต้องนำขยะมากำจัดอย่างถูกวิธี ก็จะทำให้ค่ากำจัดขยะลดลงได้ โดยในปัจจุบันมีโรงงานกำจัดขยะอุตสาหกรรมธรรมดาประมาณ 2 พันแห่ง และมีโรงงานกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายอีก 10 แห่ง
“ประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องมีนิคมฯกำจัดขยะอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง เพราะถ้าไม่ทำอะไรปล่อยไปอีก 10 ปี ปัญหาขยะอุตสาหกรรมจะพอกพูนจนเป็นปัญหาหมักหมมแก้ไขได้ยาก ดังนั้นภายในรัฐบาลชุดนี้จะต้องนำร่องโครงการนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อรองรับปัญหาขยะอุตสาหกรรมในระยะยาวเกินกว่า 20 ปี” นายจักรมณฑ์ กล่าว
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปี 2557 จะผลักดันให้มีการกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายอย่างถูกต้องให้ได้ 1.2 ล้านตัน เพิ่มจากปี 2556 ที่มีจำนวน 1 ล้านตัน และในสิ้นปี 2558 จะเพิ่มปริมาณกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายให้ได้ 1.5 ล้านตัน
ส่วนการตั้งนิคมฯกำจัดขยะอุตสาหกรรมจะมีความชัดเจน ในเรื่องการจัดหาที่ดินตั้งนิคมฯ เพื่อปูทางให้เกิดขึ้นจริงในรัฐบาลต่อไป ซึ่งมองว่าอาจจะใช้เหมืองแร่เก่าที่หมดอายุสัมปทาน หรือที่ดินของรัฐ นำมาสร้างนิคมฯนี้ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนการก่อสร้างลงได้มาก
นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในการแก้ปัญหาระยะสั้นภายในปีนี้ กรมโรงงานได้รับงบประมาณจากกระทรวงอุตสาหกรรม 60 ล้านบาท เพื่อนำมาปิดรอบรั่วในระบบการกำจัดขยะอุตสาหกรรม เช่น การนำรถขนส่งขยะอุตสาหกรรมทั้งหมดกว่า 3 พันคัน มาติดอุปกรณ์ จีพีเอส เพื่อติดตามเส้นทางการขนส่งขยะอุตสาหกรรม ตั้งแต่ออกจากโรงงาน ไปจนถึงโรงงานกำจัดขยะ ป้องกันการลักลอบออกไปทิ้งนอกเส้นทาง
นอกจากนี้จะใช้งบในการลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานกำจัดขยะทั้ง 1.5 พันราย ให้ดำเนินงานตามมาตรฐาน ถ้าพบว่ามีความบกพร่อง ก็จะยกเลิกใบอนุญาต รวมทั้งลงไปตรวจสอบโรงงานที่ผลิตขยะอุตสาหกรรมทั้งหมด 7 หมื่นโรง และในจำนวนนี้มีโรงงานที่ผลิตขยะอุตสาหกรรมอันตราย ประมาณ 1 หมื่นโรง ให้มีระบบการจัดการขยะที่ถูกต้อง
ปล. มิน่า......
'จักรมณฑ์'ดัน2นิคมกำจัดขยะอุตฯ
ที่มา ธุรกิจ วันที่ 13 ตุลาคม 2557 13:01 (ข่าวเก่า)
"จักรมณฑ์" ดัน2นิคมกำจัดขยะอุตฯ เชื่อลงทุนคุ้มค่า ประเมินมูลค่ากำจัดขยะอุตฯแสนล้าน/ปี
“จักรมณฑ์” ระบุ มูลค่าการกำจัดขยะอุตฯทั่วประเทศกว่า 1 แสนล้านบาท คุ้มต่อการตั้งนิคมฯกำจัดขยะอุตสาหกรรมรองรับปัญหาขยะในอีก 20 ปี เล็งใช้พื้นที่เหมืองแร่เก่า ที่ดินรัฐ ลดต้นทุนก่อสร้าง
นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการนิคมกำจัดขยะอุตสาหกรรม ว่า ในเบื้องต้นมองว่าควรจะมีนิคมกำจัดขยะอุตสาหกรรม 2 แห่ง โดยตั้งอยู่ในจุดที่มีอุตสาหกรรมหนาแน่น ได้แก่ ในภาคตะวันออก ครอบคลุม จ.ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และในภาคตะวันตกครอบคลุม จ.ราชบุรี นครปฐม และสมุทรสาคร
เขาเชื่อว่านิคมฯนี้จะมีความคุ้มค่าด้านการลงทุน เนื่องจากในขณะนี้มีค่าใช้จ่ายในการกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายประมาณ 1 หมื่นบาท/ตัน ซึ่งหากรวมขยะอุตสาหกรรมอันตรายที่อยู่นอกระบบ 2 ล้านตัน/ปี นำมากำจัดอย่างถูกต้อง ก็จะมีมูลค่าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้หากนำขยะอุตสาหกรรมธรรมดาที่อยู่นอกระบบประมาณ 20 ล้านตัน มีต้นทุนการกำจัดประมาณ 3 พันบาท/ตัน ก็จะสร้างรายได้เพิ่มอีก 6 หมื่นล้านบาท รวมแล้วก็จะมีรายได้จากการกำจัดขยะสูงถึง 8 หมื่นล้านบาท และถ้าหากรวมกับมูลค่าการรีไซเคิลนำกลับมาเป็นวัตถุดิบอุตสาหกรรม ก็จะมีรายได้รวมมากกว่า 1 แสนล้านบาท จึงมองว่านิคมฯแห่งนี้มีความคุ้มทุนที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งหากมีโรงงานกำจัดขยะและรีไซเคิลมารวมกลุ่มกันเป็นนิคมฯ และมีกฎหมายควบคุมให้ทุกโรงงานต้องนำขยะมากำจัดอย่างถูกวิธี ก็จะทำให้ค่ากำจัดขยะลดลงได้ โดยในปัจจุบันมีโรงงานกำจัดขยะอุตสาหกรรมธรรมดาประมาณ 2 พันแห่ง และมีโรงงานกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายอีก 10 แห่ง
“ประเทศไทยมีความจำเป็นจะต้องมีนิคมฯกำจัดขยะอุตสาหกรรมอย่างถูกต้อง เพราะถ้าไม่ทำอะไรปล่อยไปอีก 10 ปี ปัญหาขยะอุตสาหกรรมจะพอกพูนจนเป็นปัญหาหมักหมมแก้ไขได้ยาก ดังนั้นภายในรัฐบาลชุดนี้จะต้องนำร่องโครงการนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้ เพื่อรองรับปัญหาขยะอุตสาหกรรมในระยะยาวเกินกว่า 20 ปี” นายจักรมณฑ์ กล่าว
โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปี 2557 จะผลักดันให้มีการกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายอย่างถูกต้องให้ได้ 1.2 ล้านตัน เพิ่มจากปี 2556 ที่มีจำนวน 1 ล้านตัน และในสิ้นปี 2558 จะเพิ่มปริมาณกำจัดขยะอุตสาหกรรมอันตรายให้ได้ 1.5 ล้านตัน
ส่วนการตั้งนิคมฯกำจัดขยะอุตสาหกรรมจะมีความชัดเจน ในเรื่องการจัดหาที่ดินตั้งนิคมฯ เพื่อปูทางให้เกิดขึ้นจริงในรัฐบาลต่อไป ซึ่งมองว่าอาจจะใช้เหมืองแร่เก่าที่หมดอายุสัมปทาน หรือที่ดินของรัฐ นำมาสร้างนิคมฯนี้ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนการก่อสร้างลงได้มาก
นายพสุ โลหารชุน อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในการแก้ปัญหาระยะสั้นภายในปีนี้ กรมโรงงานได้รับงบประมาณจากกระทรวงอุตสาหกรรม 60 ล้านบาท เพื่อนำมาปิดรอบรั่วในระบบการกำจัดขยะอุตสาหกรรม เช่น การนำรถขนส่งขยะอุตสาหกรรมทั้งหมดกว่า 3 พันคัน มาติดอุปกรณ์ จีพีเอส เพื่อติดตามเส้นทางการขนส่งขยะอุตสาหกรรม ตั้งแต่ออกจากโรงงาน ไปจนถึงโรงงานกำจัดขยะ ป้องกันการลักลอบออกไปทิ้งนอกเส้นทาง
นอกจากนี้จะใช้งบในการลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานกำจัดขยะทั้ง 1.5 พันราย ให้ดำเนินงานตามมาตรฐาน ถ้าพบว่ามีความบกพร่อง ก็จะยกเลิกใบอนุญาต รวมทั้งลงไปตรวจสอบโรงงานที่ผลิตขยะอุตสาหกรรมทั้งหมด 7 หมื่นโรง และในจำนวนนี้มีโรงงานที่ผลิตขยะอุตสาหกรรมอันตราย ประมาณ 1 หมื่นโรง ให้มีระบบการจัดการขยะที่ถูกต้อง
ปล. มิน่า......