กาลครั้งหนึ่งในมาเลเซีย ตอนที่ 1

สวัสดีค่ะชาวพันทิปทุกคน อันนี้เป็นกระทู้อันแรกที่ จขกท. เขียนในพันทิปนี้เลย รู้สึกเหมือนค้างคาอะไรบางอย่าง ถ้าไม่ได้เล่าสู่กันฟัง
กาลครั้งหนึ่งในมาเลเซีย ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/32965519
             จขกท. ได้ทุนจากคณะที่เรียนอยู่ไป Elective ที่ University of Malaya ประเทศมาเลเซียค่ะ ไปมาช่วงเดือนมีนาคม ปีนี้เอง (2557) เหตุผลที่เลือกไปที่นี่มีหลายอย่าง เช่น เรื่องของค่าครองชีพที่ไม่แพงมาก (อาหาร 1 มื้อตกอยู่ที่ประมาณ 50 บาทไทย, ช่วงที่ไปเงินไทยค่อนข้างอ่อนค่ะ รู้สึกขาดทุน 1 RM = 10 บาทโดยประมาณ) เรื่องภาษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ซึ่งใช้ในการเรียนการสอนด้วย สามารถเข้าเรียนกับเพื่อนๆได้ และเรื่องที่พักที่เป็นของมหาวิทยาลัยจัดให้ ถ้าไปที่อื่นอาจต้องเสียค่าที่พักเพิ่มอีก (แต่ที่พักค่อนข้างมีระบบเวลาราชการค่ะ ทำให้ต้องระหกระเหินไปลัลล้า โรงแรมข้างนอกมหาวิทยาลัย 2 คืน)  
             ส่วนข้อเสียที่เลี่ยงไม่ได้คือ เรื่องอากาศ คือ แบบว่า ร้อนแฮะ อยู่ตรงเส้นศูนย์สูตรเลย T T (ได้เพียงทำใจ) ส่วนเรื่องเวลา เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชม.ค่ะ (นึกว่าจะได้ตื่นสายขึ้น)
             สำหรับรูปในกระทูนี้ ถ่ายมาจากกล้อง Digital ของ Sony ที่เป็นรุ่น Cybershot, HD ค่ะ ถอยมาได้ไม่นานเอง อาจจะมีรูปบางส่วนถ่ายจากมือถือ iPhone/iPad ของเรา
             วันแรก จขกท.กับเพื่อน เดินทางโดยสายการบิน Malaysia Airlines (ตอนนั้นยังไม่มีปัญหาอาชญากรรมอะไร) ค่าเดินทางไม่แพงค่ะ ราคาพอๆกับ Airasia (แค่ค่ากระเป๋า 30 kg ก็คุ้มแล้ว เพราะไปที่โน่นตั้ง 1 เดือน ข้าวของเรามันเยอะ) แต่ถ้าไปเที่ยวระยะสั้นๆ Airasia ถูกกว่าแน่นอนค่ะ ไม่ต้องคิดค่าน้ำหนักกระเป๋ามากเท่า

กระเป๋าเอาขึ้นเครื่อง ต้องถูก size และน้ำหนักไม่เกินนะคะ Oops!


พวกเราพร้อมทะยาน


In-flight Entertainment คือดี คืองาม


             ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. นิดๆก็ถึงสนามบิน KLIA (Kuala Lumpur International Airport) ค่ะ ตัวสนามบินใหญ่นี้ ตั้งอยู่ที่ Sepang ในรัฐ Selangor เดินคุยกับเพื่อนในสนามบิน รู้สึกชอบ Display การจัดของใน Duty Free ข้างในมาก รอบๆ Airport เป็นต้นไม้ เดินอยู่ข้างในเหมือนกับเดินในสวน แล้วก็มีเหมือนมาชอปปิ้งมากกว่ากำลังเดินทางอยู่ (อดห้ามใจไว้ เราต้องอยู่อีก 1 เดือน) เดินอย่างว่องไปเอากระเป๋าเดินทาง แล้วรีบไปซื้อซิมโทรศัพท์มือถือ เพื่อโทรหาคุณแม่ทันทีว่าถึงแล้วค่ะ (ซิมที่ซื้อ ซื้อ Digi ค่ะ ถูก มีโปรโทรไปไทย และก็ซื้ออินเตอร์เน็ตใช้ด้วย) ถ้าหากเพื่อนๆจะเดินทางเข้าเมือง ก็มีทั้งรถบัส และมีรถไฟ KLIA Ekspres (รถไฟ KLIA Ekspres ราคาคนละ 35 RM = 350 บาทโดยประมาณ) ค่ะ การเดินทางที่โน่นสะดวกมาก (การคมนาคมที่นั่นดีมากเลยค่ะ) แต่เราโชคดีมีเพื่อนชาวมาเลเซียมารับ (เป็นเพื่อนที่เราดูแลเขาตอนเขามาเมืองไทย :3)

Counter ของ KLIA Ekspres ค่ะ

              เพื่อนมากับแฟนเขา (น่ารักอะ) ขับรถมาพาเราไปเที่ยว Hometown ของเขา (ทั้งสองคนบ้านอยู่ในรัฐ Selangor ทั้งคู่เลย) ที่แรกที่พาเราไปคือ Putrajaya ค่ะ เพราะใกล้กับสนามบิน KLIA ที่สุด

ถ่ายจากในรถค่ะ

              เพื่อนขับรถพาเราขึ้นมาที่ Putrajaya International Convention Center (PICC) ซึ่งเป็นที่จัดงาน Event สำคัญๆ เพื่อนบอกว่า เคยมารับรางวัลที่นี่ด้วย และเวลาเรามีแขกไปใครมา ก็จะพามาดูเมือง Putrajaya จากข้างบนนี้ เมืองนี้เป็นเมืองที่เป็นศูนย์ราชการ ซึ่งจะมีตึกของกระทรวงต่างๆอยู่ในเมืองนี้ และเป็นที่รวมของพิธีสำคัญทางศาสนา (มัสยิดสีชมพูนั่นเอง)

เมือง Putrajaya

              หลังจากนั้นเพื่อนขับรถพาลงมาที่ศูนย์กลางของเมืองค่ะ (มีมัสยิดสีชมพู ทำเนียบรัฐบาล และลานธงประจำรัฐของมาเลเซีย อยู่ใกล้ๆกันในระยะเดินได้)

รูปนี้เป็นธงประจำรัฐต่างๆในมาเลเซีย ซึ่งมีกันทั้งหมด 13 รัฐ ตามนี้เลย

               เดินมาดูมัสยิดสีชมพู (Masjid Putra)ต่อ


จะเข้าชมก็ต้องใส่เสื้อคลุมสีแดงแบบนี้ค่ะ


เข้าชมกันเลยค่ะ





              เสร็จแล้วเราก็มากันที่ทำเนียบรัฐบาล (Perdana Putra) กันต่อค่ะ

              หลังจากที่พวกเราถ่ายรูปอะไรเสร็จแล้ว เพื่อนๆก็พามากินข้าวกลางวันกับครอบครัวเขา เป็นการทำความรู้จักกับอาหารมาเลเซียมื้อแรก (ค่อนข้างคล้ายๆกับอาหารจีนเลย) อาหารกลางวันเราไปกินกันที่ร้าน Each a Bowl Pan Mee Kafe (เป็นร้านที่ขึ้นชื่อเรื่องของก๋วยเตี๋ยวในย่าน Kajang รัฐ Selangor ใกล้ๆกับบ้านของเพื่อนค่ะ) Yee Mee จะเป็นเส้นก๋วยเตี๋ยวคล้ายๆอุด้งอะนะ ลืมบอกไปว่าเพื่อนเป็นคนจีน มื้อนี้เรากินข้าวกับครอบครัวเพื่อนทั้งตระกูลเลยทีเดียวค่ะ อบอุ่นมากๆ :3


เป็นร้านเล็กๆ


ร้านนี้เป็นร้านของ Yee Mee ก็ต้องสั่ง Yee Mee สูตรดั้งเดิม


Yee Mee Clay Pot เป็น เส้น Yee Mee แบบทอดใส่น้ำซุปในถ้วยดินเผา

              พอกินอิ่มเสร็จ เพื่อนก็พาเราไปเที่ยวบ้านเขา พักผ่อนสักหน่อยหลังจากเดินทาง แล้วเราก็ไปกินอาหารเย็นกันต่อที่ร้าน Restoran Sate Kajang HJ.Samuri (ร้านสะเต๊ะมีชื่อในย่าน Kajang) ที่มาเลเซียเราไม่กินหมูกันนะคะ เพราะฉะนั้นแล้ว สะเต๊ะที่นี่ มีทั้งเนื้อ ทั้งปลา ทั้งแกะ กระต่าย ทั้งไก่ จขกท.ได้กินเนื้อแกะครั้งแรกก็ที่นี่ด้วย รสชาติสะเต๊ะที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยแน่นอนฮะ เพราะต้องแบบเป็นเครื่องเทศเยอะแบบมาเลย์ๆแน่นอน (ต้องทำให้ชินกับเครื่องเทศเหล่านี้ เพราะต้องอยู่ที่นี่ 1 เดือน)


ร้านเป็นแบบโต๊ะนั่งกินยาวๆ


สะเต๊ะหลากหลาย species

เรียนรู้ศัพท์มาเลย์ค่ะ Ayam = ไก่, Ikan = ปลา ส่วนกระต่ายเราลืมๆกันไปนะ ยังไงคงไม่ได้กินเธออยู่แล้ว

เครื่องเคียงกินกับสะเต๊ะค่ะ เป็นคล้ายๆข้าวปั้นหั่นเป็น 3 เหลี่ยม


สะเต๊ะมาเสิร์ฟแล้วววว เกิดศึกแข่งกันกินในโต๊ะ


ข้าวผัดโกเรง (Nasi Goreng) เป็นข้าวผัดกับปลาจิ๋วทอดค่ะ ใส่พริกๆเยอะตามสไตล์คนมาเลย์


ของหวานเป็น Iced Kacang หรือ น้ำแข็งใสของที่โน่น คือ อร่อยมาก

               ในระหว่างที่เรากินๆกันอยู่ เราได้พูดคุยกันถึงเรื่องของคนมาเลเซีย จริงๆคนมาเลเซียชอบคนไทยมากๆค่ะ รู้เรื่องการเมืองไทย ดีกว่า จขกท.อีกเขาชอบพูดคุย พยายามพูดภาษาไทยกับเรา เราฟัง get บ้าง ไม่ get บ้าง คนมาเลเซียชอบกินทุเรียนมาก คุณพ่อของเพื่อนบอกว่า เขาเปรียบเทียบทุเรียนของไทยว่าหวานฉ่ำน้ำ ทุเรียนของบ้านเขาจะ creamy ๆ (ไอ้เราไม่กินทุเรียนแต่ไหนแต่เรา ก็คงไม่กิน) และแพงมาก โดยเฉพาะพันธุ์ที่เขาว่ากันว่าเป็น King of Durian ของที่โน่น (หลังจากวันนี้ จขกท.ไปเดินห้าง ไม่ว่าจะเบเกอร์รี่ พัฟ หรืออะไร จะต้องมีไส้ทุเรียนเสมอฮะ) สิ่งที่เราสังเกตกันตั้งแต่วันแรกคือ เวลาคนมาเลเซียพูดคุยกัน จะลงท้ายประโยคว่า la
               ส่วน Iced Kacang ที่ จขกท.ชอบมากๆ เพื่อนบอกว่า ที่สุดของ Iced Kacang ต้องไปกินที่ Melaka (รัฐมะละกา) ค่ะ เลยได้จัดวางแพลนเที่ยวกันไว้ตั้งแต่เนิ่นๆเลยค่ะ
               หลังจากกินกันเสร็จ คุณพ่อของเพื่อนก็ขับรถพาพวกเรามาส่งที่โรงแรมซึ่งเรากะพัก 1 คืนก่อนจะย้ายเข้าหอไป โรงแรม My Hotel@Sentral ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 3 ดาวธรรมดา แต่เป็นยอดฮิตที่คนไทยไปพักกัน ราคาประมาณ 1000 บาท/คืน


(ตอนที่ได้ห้องมีปัญหาด้วยค่ะ คือ แอร์เสีย และก็มีคนที่พักก่อนหน้ามาบอกที่ Counter แล้วว่าแอร์เสีย แต่ทางเจ้าหน้าที่ ไม่ยอมเปลี่ยนห้องให้เรา(เราจองห้องผ่าน agoda) จนเพื่อนต้องไปช่วยเคลียร์ให้ คุยกันเป็นภาษามาเลย์จนได้ห้องใหม่ค่ะ คือถ้าไม่ได้เพื่อนชาวมาเลย์ เราอาจจะ fight เปลี่ยนห้องไม่สำเร็จ) เมื่อเคลียร์ห้องเสร็จ จัดการโพสต์ลง Agoda และ Facebook ทันทีกับปัญหาที่ จขกท. เจอค่ะ (เพลีย = =) แย่
               ใต้ My Hotel@Sentral มีร้าน Old Town White Coffee เป็นร้านแบบ Kopitiam คือ กาแฟกับอาหารเช้า ขนมปังปิ้ง มีสาขาเยอะมาก (และอร่อยมากด้วย ขนมปังปิ้งสังขยาที่นี่อร่อย กาแฟก็ใช้ได้ทีเดียว)

               หลังจากจัดการธุระห้องพักอันหนักหน่วง เราก็ออกมาเดินเล่นยามค่ำคืนแถว Little India ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่พัก (ส่วนใหญ่ ย่านนี่จะเป็นคนอินเดียอยู่ซะเยอะค่ะ) แต่เพื่อนบอกว่าย่านนี้ตอนกลางคืนไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรค่ะ ไม่ควรมาคนเดียว ยิ้ม




มุมตลาดดอกไม้ค่ะ


พวงนี้เอาไว้ใช้ในงานแต่งงานค่ะ


เพื่อนบอกร้านนี้ชุดอินเดียสวยมาก


เพื่อนเชียร์ให้ซื้อ แต่หน้าเราไม่ให้แฮะ ที่โน่นชุดแบบนี้ถือว่าเป็นชุด formal ค่ะ สามารถใส่ไปมหาวิทยาลัย ใส่ไปทำงานได้

               เดินเล่นย่าน Little India เสร็จ เราก็กลับไปนอนพักที่โรงแรม หมดแรงเลย ต้องตื่นแต่เช้า
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่