เมื่อวันก่อนครับ (นานแล้วล่ะ ว่าจะโพสต์ก็ลืม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 2 อาทิตย์ก่อนนี่ล่ะ นานมาก 555+) ทางสำนักงาน CPN ได้จัดสัมมนาทางธุรกิจ ที่โรงแรมแชงกรี-ลา เชียงใหม่ครับ (โรงแรมหรูมากขอบอก เดินเข้าไปนี่หลงทางเลย)
วิทยากรที่มาพูดมีทั้งหมด 2 ท่าน คือ ดร.ศิริกุล เลากัยกุล กับคุณดลชัย บุญยะรัตเวช (เพิ่งทราบมาว่าทั้งสองท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงพอสมควร ในแวดวงธุรกิจ การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้เปิดโลกทัศน์ให้ผมได้มากทีเดียว)
ก็อยากจะแชร์สิ่งที่ผมได้จากการสัมมนาในครั้งนี้ให้ชาวพันทิปได้รับรู้กันนะครับ อาจจะมีประโยชน์ต่อคนทำธุรกิจบ้างไม่มากก็น้อย ได้ทั้งธุรกิจส่วนตัว จนกระทั่งธุรกิจใหญ่ๆประเภทบริษัทเลยครับ อาจจะมีตกๆหล่นๆบ้าง คือฟังซะส่วนใหญ่ครับ ไม่ได้จดมาทั้งหมด ก็ขอสรุปคร่าวๆตามที่จะโพสต์ไว้ด้านล่างนะครับ
"
การตลาด เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่อย่าคิดเยอะ คิดให้มันง่ายที่สุด"
การตลาดเมื่อก่อน (Old Marketing) ให้ความสำคัญกับ Product หรือ Packaging เป็นอันดับแรก ส่วนความสำคัญของผู้บริโภคนี่ต่ำสุดเลยครับ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว การตลาดสมัยใหม่ (Modern Marketing) จะเป็นลูกศรแบบย้อนกลับ กล่าวคือ...เน้นที่ผู้บริโภคเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" จึงไม่เกินจริงเลยสักนิด เป็นทัศนคติที่ผู้ประกอบการจะต้องมี (แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าลูกค้าต้องทำตัวเยี่ยงพระเจ้านะครับ)
"
ไม่มีใครซื้อสินค้า ลูกค้าซื้อความคุ้มค่าจากสินค้าต่างหาก"
ความคุ้มค่าคืออะไร อย่างที่บอกไปครับ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ลูกค้าไม่ได้มองที่ตัวสินค้าอีกต่อไป แต่มองถึงความคุ้มค่าจากสินค้าที่ตัวเองซื้อด้วย โดยเฉพาะการได้รับ "การให้บริการที่ดี" การให้บริการลูกค้าทุกคน ประดุจทุกคนเป็นคนสำคัญ สิ่งนี้จะช่วยสร้างความแตกต่างระหว่าง Brand ของคุณเอง กับ Brand อื่นๆ ในสินค้าประเภทเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น จำวันสำคัญของลูกค้าได้ อย่างเช่นวันเกิด เป็นต้น ก็อาจจะมีของสมนาคุณเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นการให้บริการฟรี หรืออะไรก็ว่ากันไป ให้ไปปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธุรกิจของคุณเองครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่บอกว่าเน้นที่ลูกค้าก่อน แล้ว Product ตามหลัง ไม่ได้หมายความว่า จะต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจตามเทรนด์ตลอดเวลา เช่น ปีนี้ยีนส์ขายดี ปีหน้าผ้าไหมขายดี ก็ไปขายผ้าไหมแทน มันไม่ใช่ (เพราะนั้นเท่ากับว่าคุณไม่มีจุดยืนอะไรเลย) แต่หมายถึงว่า เมื่อคุณหยิบจับธุรกิจประเภทใดก็ตาม คุณจะต้องหาตัวตนของคุณให้เจอก่อน ว่าคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่ จากนั้นจึงให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นสำคัญ แล้วค่อยมาปรับที่ Product ของคุณเอง
Forget about 'Customers' Think of 'Brand Fan'
สิ่งสำคัญที่สุด ก่อนที่จะเริ่มจับกิจการอะไรซักอย่าง คุณต้องหาตัวตนของคุณให้ได้ก่อน อย่าทำตามกระแส อย่าทำเพราะหวังเพียงเม็ดเงิน คุณจะได้เม็ดเงินแน่นอน ถ้าคุณหาตัวตนของคุณเจอ แต่ถ้าคุณตามกระแส คุณจะไม่ได้อะไรเลย
เมื่อคุณหาตัวตนของคุณเจอ และใส่ใจลูกค้าดุจคนสำคัญ คุณจะได้รับการตอบรับจากลูกค้า เป็น Fan club ไม่ใช่แค่ Customers อีกต่อไป ชื่อเสียงของ Brand จะเริ่มจาก Fan club เป็นการโฆษณาที่คุณไม่ได้สูญเสียเม็ดเงินเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างหนึ่ง
การทำธุรกิจ อย่าไปกลัวการโดนลอกเลียนแบบ เพราะถ้าคุณกลัวโดนเลียนแบบ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ นอนอยู่บ้านเฉยๆ
สินค้าทุกอย่างในโลกถูกลอกเลียนแบบได้หมด แต่สิ่งที่จะเลียนแบบไม่ได้คือ Brand ของคุณเอง คำว่าเลียนแบบไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินทางปัญญา หรือกฎหมายลิขสิทธิ์เท่านั้น แต่หมายถึงว่า คุณมีอัตลักษณ์ใน Brand ใน Product ของคุณเอง ซึ่ง ณ จุดนี้ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้แน่นอน
ลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ LOUIS VUITTON ของแท้กับของปลอมที่เหมือนกับแทบทุกอย่าง คนที่ใส่ของปลอมจะไม่กล้าเดินเข้าไปในร้าน LOUIS ของจริงครับ นี่คือพลังของ Brand
จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่าน สำหรับคนที่เข้าสัมมนาด้วยในรอบนั้น (ถ้าได้เล่น Pantip นะครับ) ถ้าอยากเสริมอะไรตรงไหนก็บอกได้เลยครับ เพราะผมเองก็จำมาไม่หมด 555+
กลยุทธ์ Brand ที่สำคัญ เพื่อเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจค้าปลีก
วิทยากรที่มาพูดมีทั้งหมด 2 ท่าน คือ ดร.ศิริกุล เลากัยกุล กับคุณดลชัย บุญยะรัตเวช (เพิ่งทราบมาว่าทั้งสองท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงพอสมควร ในแวดวงธุรกิจ การเข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้เปิดโลกทัศน์ให้ผมได้มากทีเดียว)
ก็อยากจะแชร์สิ่งที่ผมได้จากการสัมมนาในครั้งนี้ให้ชาวพันทิปได้รับรู้กันนะครับ อาจจะมีประโยชน์ต่อคนทำธุรกิจบ้างไม่มากก็น้อย ได้ทั้งธุรกิจส่วนตัว จนกระทั่งธุรกิจใหญ่ๆประเภทบริษัทเลยครับ อาจจะมีตกๆหล่นๆบ้าง คือฟังซะส่วนใหญ่ครับ ไม่ได้จดมาทั้งหมด ก็ขอสรุปคร่าวๆตามที่จะโพสต์ไว้ด้านล่างนะครับ
"การตลาด เป็นเรื่องที่ต้องคิด แต่อย่าคิดเยอะ คิดให้มันง่ายที่สุด"
การตลาดเมื่อก่อน (Old Marketing) ให้ความสำคัญกับ Product หรือ Packaging เป็นอันดับแรก ส่วนความสำคัญของผู้บริโภคนี่ต่ำสุดเลยครับ แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว การตลาดสมัยใหม่ (Modern Marketing) จะเป็นลูกศรแบบย้อนกลับ กล่าวคือ...เน้นที่ผู้บริโภคเป็นอันดับแรก เพราะฉะนั้น คำกล่าวที่ว่า "ลูกค้าคือพระเจ้า" จึงไม่เกินจริงเลยสักนิด เป็นทัศนคติที่ผู้ประกอบการจะต้องมี (แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าลูกค้าต้องทำตัวเยี่ยงพระเจ้านะครับ)
"ไม่มีใครซื้อสินค้า ลูกค้าซื้อความคุ้มค่าจากสินค้าต่างหาก"
ความคุ้มค่าคืออะไร อย่างที่บอกไปครับ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว ลูกค้าไม่ได้มองที่ตัวสินค้าอีกต่อไป แต่มองถึงความคุ้มค่าจากสินค้าที่ตัวเองซื้อด้วย โดยเฉพาะการได้รับ "การให้บริการที่ดี" การให้บริการลูกค้าทุกคน ประดุจทุกคนเป็นคนสำคัญ สิ่งนี้จะช่วยสร้างความแตกต่างระหว่าง Brand ของคุณเอง กับ Brand อื่นๆ ในสินค้าประเภทเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น จำวันสำคัญของลูกค้าได้ อย่างเช่นวันเกิด เป็นต้น ก็อาจจะมีของสมนาคุณเล็กน้อย หรืออาจจะเป็นการให้บริการฟรี หรืออะไรก็ว่ากันไป ให้ไปปรับเปลี่ยนให้เข้ากับธุรกิจของคุณเองครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น การที่บอกว่าเน้นที่ลูกค้าก่อน แล้ว Product ตามหลัง ไม่ได้หมายความว่า จะต้องปรับเปลี่ยนธุรกิจตามเทรนด์ตลอดเวลา เช่น ปีนี้ยีนส์ขายดี ปีหน้าผ้าไหมขายดี ก็ไปขายผ้าไหมแทน มันไม่ใช่ (เพราะนั้นเท่ากับว่าคุณไม่มีจุดยืนอะไรเลย) แต่หมายถึงว่า เมื่อคุณหยิบจับธุรกิจประเภทใดก็ตาม คุณจะต้องหาตัวตนของคุณให้เจอก่อน ว่าคุณต้องการจะทำอะไรกันแน่ จากนั้นจึงให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นสำคัญ แล้วค่อยมาปรับที่ Product ของคุณเอง
Forget about 'Customers' Think of 'Brand Fan'
สิ่งสำคัญที่สุด ก่อนที่จะเริ่มจับกิจการอะไรซักอย่าง คุณต้องหาตัวตนของคุณให้ได้ก่อน อย่าทำตามกระแส อย่าทำเพราะหวังเพียงเม็ดเงิน คุณจะได้เม็ดเงินแน่นอน ถ้าคุณหาตัวตนของคุณเจอ แต่ถ้าคุณตามกระแส คุณจะไม่ได้อะไรเลย
เมื่อคุณหาตัวตนของคุณเจอ และใส่ใจลูกค้าดุจคนสำคัญ คุณจะได้รับการตอบรับจากลูกค้า เป็น Fan club ไม่ใช่แค่ Customers อีกต่อไป ชื่อเสียงของ Brand จะเริ่มจาก Fan club เป็นการโฆษณาที่คุณไม่ได้สูญเสียเม็ดเงินเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่างหนึ่ง การทำธุรกิจ อย่าไปกลัวการโดนลอกเลียนแบบ เพราะถ้าคุณกลัวโดนเลียนแบบ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลยครับ นอนอยู่บ้านเฉยๆ
สินค้าทุกอย่างในโลกถูกลอกเลียนแบบได้หมด แต่สิ่งที่จะเลียนแบบไม่ได้คือ Brand ของคุณเอง คำว่าเลียนแบบไม่ได้ ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินทางปัญญา หรือกฎหมายลิขสิทธิ์เท่านั้น แต่หมายถึงว่า คุณมีอัตลักษณ์ใน Brand ใน Product ของคุณเอง ซึ่ง ณ จุดนี้ไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้แน่นอน
ลองเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ LOUIS VUITTON ของแท้กับของปลอมที่เหมือนกับแทบทุกอย่าง คนที่ใส่ของปลอมจะไม่กล้าเดินเข้าไปในร้าน LOUIS ของจริงครับ นี่คือพลังของ Brand
จบแล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่าน สำหรับคนที่เข้าสัมมนาด้วยในรอบนั้น (ถ้าได้เล่น Pantip นะครับ) ถ้าอยากเสริมอะไรตรงไหนก็บอกได้เลยครับ เพราะผมเองก็จำมาไม่หมด 555+