ตั้งกระทู้นี้ไม่ได้ทับถมคนที่โพสเดิม แต่ต้องการไขความกระจ่างจะได้ไม่วิเคราห์ผิด และจะทำให้คนใช้เกิดความกลัวเข้าไปอีก
#####ผมอดีต ผจก.บริษัทฮอนด้า ออโต้โมบิล โรงงานผลิตรถยนต์ และปัจจุบันเปิดอู่ติดตั้งระบบแก๊สระยนต์
จากกระทู้นี้ผมจะแยกเป็นคำถามและตอบเป็นข้อๆ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในการวิเคราะห์จากที่ลูกค้าถามเข้ามา
แล้วเขาได้ก๊อปกระทู้นี้มาถามดังนี้
#####ฝากเพื่อนที่มีรถ2ระบบ น้ำมัน/แก๊ส โปรดอ่าน....ระวังอันตราย..รถใช้แก๊สกับน้ำมันแบบ 2 ระบบ.....อย่าขับเป็นอย่างเดียว
...จาก ที่มีข่าว รถติดแก๊สระเบิด,ไฟไหม้ ทำให้ผู้ใช้รถไม่ค่อยสบายใจกัน เนื่องจากผมเคยทำงานอยู่ศูนย์บริการรถยนต์
มีประสบการณ์ตรวจสอบรถยนต์ไฟไหม้หลายครั้ง โดยเฉพาะกับรถยนต์หัวฉีด ที่ติดแก๊ส ไม่ว่า LPG หรือ NGV แล้วตัดปั๊มน้ำมัน
ซื่งเจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบเพื่อนๆลองเสียเวลาอ่านเรื่องข้างล่างนี้หน่อยแล้วกันเมื่อตัดปั๊มน้ำมันแล้ว เวลาเครื่องยนต์
ทำงานด้วยแก๊ส หัวฉีดที่ติดกับ เครื่องยนต์จะไม่มีน้ำมันมาเลี้ยงซึ่งทำให้
ตั้งเป็นคำถามที่ 1 หัวฉีดจะร้อนมากเมื่อใช้แก๊สไปนาน ๆ รถบางคันไม่ได้ใช้น้ำมันเลยหรือใช้แต่สตาร์ทเครื่องเท่านั้น
ตอบคำถามที่ 1ปกติแล้วเมื่อเครื่องยนต์ทำงานจอดอยู่กับที่ไม่ได้เคลื่อนตัวเปิดแอร์หรือไม่เปิดก็ตามหรือกรณีรถจอดอยู่กับที่หรือรถติดในเมือง
อุณภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 85-90 C˚ในรถญี่ปุ่นส่วนรถยุโรปจะอยู่ที่ 90-95 C˚ครับเป็นข้อมูลที่เราได้จากการตรวจสอบจากเครื่อง
สแกน OBD ที่เชื่อมต่อข้อมูลจากรถโดยตรง ไม่ว่าจะติดแก๊สหรือไม่ติดแก๊สและน้ำมันที่มารอที่หัวฉีด ฉีดประมาณ 4-15 ms.
น้ำมันที่อยู่บนรางหัวฉีดก็มีความร้อนที่ใกล้เคียงกันอยู่แล้วเนื่องจากต้องออกแบบให้น้ำมันมีการอุ่นตัวเองก่อนอยู่แล้วครับ
การที่บอกว่าหัวฉีดร้อนมากน่าจะวัดจากความรู้สึกมากกว่าการการใช้เครื่องมือที่ตรวจสอบวัดผลได้จริง
ตั้งเป็นคำถามที่ 2 จะทำให้ลูกยางที่ปลายหัวฉีดเสื่อมเร็ว( แข็งหรือแตกร้าว ) แล้ววันหนึ่งระหว่างเดินทางแล้วแก๊สหมด ก็ต้องใช้น้ำมัน
คราวนี้ลูกยางหัวฉีดที่เสื่อมสภาพจะมีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วออกมา หากบังเอิญมีประกายไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำงานอยู่
เช่น ไดชาร์จ จานจ่ายสายหัวเทียนที่ไฟรั่ว คอล์ยหรือความร้อนจากท่อไอเสีย แคตตาไลท์ติกซึ่งร้อนมาก จะทำให้น้ำมัน
ที่รั่วซึมออกมาระเหยเป็นไอ และมีโอกาสติดไฟได้ จนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้
ตอบคำถามที่ 2ลูกยางที่หัวฉีดจะเป็นแบบที่ทนความร้อนสูงอยู่แล้วครับ ขึ้นชื่อว่ายาง ย่อมมีอายุการใช้งานของมันอยู่แล้วไหนจะโดนน้ำมัน
ไหนจะโดนความร้อนควรจะเปลี่ยนเมือครบระยะครับหรือประมาณ 100,000 km.
- ส่วนที่จะแตกร้าวบอกเลยว่ายากครับขนาดรถใช้มา 300,000 km. ยังไม่มีปัญหาเลยครับยกเว้นรถที่มาจากเกาหรี
อันนี้แตกร้าวแน่แค่ถอดก็แตกแล้ว และถ้าหัวฉีดรั่วจริง ECU จะประมวลผลให้ไฟ Engine code โชว์แน่ๆ แต่ก่อนจะโชว์
รถก็สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วครับรถคุณรู้สึกได้ทันทีเนื่องจากอากาศเข้าไปผสมกับเชิ้อเพลิงมากเกินไป
- และที่น้ำมันจะรั่วไหลออกมายิ่งเป็นไปได้ยากครับ เนื่องจากว่าหัวฉีดก็ต่อเมื่อวาล์วไอดีเปิดและน้ำมันที่จะถูกดูดเข้าไปใน
ห้องเผาใหม้ ไม่ได้ถูกดันออกมา ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดครับ
ตั้งเป็นคำถามที่ 3 สาเหตุที่ช่างมักจะตัดปั๊มเพราะ
3.1.ในการติดตั้งแก๊สรถยนต์บางรุ่นตัดปั๊มง่ายกว่าตัดหัวฉีด
3.2.ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์เก่าที่หัวฉีดจะปิดน้ำมันไม่ค่อยสนิท และน้ำมันรั่วผ่านช่องว่างเข็มหัวฉีดเข้าไปเผาไหม้ผสมกับแก๊ส
ทำให้เจ้าของรถยนต์บ่นว่าใช้แก๊สแล้วน้ำมันหายไปด้วย
3.3.บางครั้งช่างจูนแก๊สไม่ได้ เพราะน้ำมันเข้ามาผสมเพราะฉะนั้น รถยนต์ที่ใช้แก๊ส ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ และเข้า
ตรวจเช็คกับสถานให้บริการตามระยะนอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ และรอยรั่วซึมบริเวณหัวฉีดน้ำมันหรือ
สังเกตกลิ่นน้ำมันขณะขับขี่ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอและอีกข้อแนะนำก็คือ
ตอบคำถามที่ 3ที่บอกว่าส่วนใหญ่ช่างตัดปั้มง่ายกว่าหรือเป้นรถเก่าหัวฉีดรั่ว
- การที่จะตัดปั้มน้ามันเราจะพิจารณารถที่เป็นปัญหาส่งผลกับอายุการใช้งานที่สั้นมากเมื่อใช้งานแก๊สครับ
เช่น Chevloret Masda Ford เป็นต้นเนื่องจากแรงดันน้ำมันจะสูงมาก ส่งผลให้หัวฉีดพังเร็วไหม ไม่ครับการที่เราไม่ตัด
แล้วปล่อยน้ำมันไปอัดพังทั้งหัวฉีดและปั้มติ๊กน้ำมันครับ
- หัวฉีดน้ำมันรั่วยังไงก็ต้องเปลี่ยนครับของเชียงกงถูกๆ ตรงรุ่นเยอะแยะ ถึงตัดปั้มแต่ไม่เปลี่ยนหัวฉีดควันก็ขาวโขมงเครื่องสั่น
เนื่องจากน้ำมันเข้าไปเยอะเกินครับ แน่นอนแค่ขับเข้ามาร้านยังไม่ติดแก๊สก็รู้แล้วครับ
- หรือกรณีลูกค้าต้องการให้ตัดปั้มเราก็ตัดให้ครับเพื่อยืดอายุการใช้งานของปั้มติ๊กน้ำมันและหัวฉีดครับไม่เกี่ยวกับความร้อน
ตั้งเป็นคำถามที่ 4 มีสองทางเลือก 1. เลิกใช้น้ำมันไปเลย
2.เปิดฝากระโปรงตอนเช้าแล้วสตาร์ทน้ำมันตรวจการรั่วทุกวันตอนเย็นกลับบ้านให้ใช้น้ำมันแล้วดับเครื่อง
ตอบคำถามที่ 4ถ้าเลิกใช้น้ำมันนี่คงจะลำยากมั้งครับผมว่าเป็นการเข้าใจผิดของปัญหามากกว่าครับและตีโจทย์ผิดไปอีก
ตั้งเป็นคำถามที่ 5 ขณะใช้น้ำมันผมเจอกับตัวเองสตาร์ทเครื่องตอนเช้าแล้วออกมาจากรถ ( เพราะลืมของ )ได้กลิ่นน้ำมันเปิดฝากระโปรงดู
น้ำมันรั่วโจ๊กเลย ตั้งแต่นั้นมา ผมเปิดฝากระโปรงอุ่นเครื่องด้วยน้ำมัน ตรวจรั่วทุกเช้าแล้วจึงออกรถ
ตอบคำถามที่ 5ที่เจอกับตัวเขาเองผมพิจารณาได้อย่างนี้ครับ
5.1 ไม่เปลี่ยนท่อทางเดินน้ำมัน ตามระยะเพราะท่อยางมีอายุของมันที่จะทนการกัดกร่อนของน้ำมันและความร้อนที่รั่วเป็นโจ๊กนี่รั่วจุดไหน
100 ทั้ง 100 นี่ผมว่าเป็นที่ท่อน้ำมันแตกไม่ใช่หัวฉีดรั่วแน่นอนครับถ้าหัวฉีดรั่วไม่มีทางออกมาด้านอกครับ
5.2 เปลี่ยนสถานะเชื้อเพลิง จากรถที่เติมได้แค่ E10 ไปเติม E85 แต่ท่อยางไม่เปลี่ยน ท่อยางต่างๆอาจไม่ทนการกัดกร่อนของ
น้ำมันแต่ละชนิดครับบางคนอาจบอกว่าน้ำมัน E85 ไม่กัดกร่อน ผมถามว่าภ้ามันทนได้จริงโรงงานประกอบรถยนต์จะเปลี่ยนท่อ
พลาสติกและท่อยางน้ำมันเป็นท่อพลาสติกเป็นท่อสแตนเลสทำไม แค่นี่เราท่านน่าจะคิดได้นะผมว่า
ตั้งเป็นคำถามที่ 6 สังเกตไหมว่า แท๊กซี่ไม่ค่อยมีข่าวไฟไหม้ เพราะเขาไม่ใช้น้ำมันเลยเท่าที่ติดตามข่าวไฟไหม้รถแก๊ส มักมีสาเหตุทำให้เกิดการ
ไหม้ตอนใช้น้ำมัน (ยกเว้นรถชนกัน ).....รู้อย่างนี้แล้ว หมั่นตรวจสอบรถให้ดีนะครับ...ถ้าเกิดเรื่องแล้ว........มันจะไม่คุ้มกับค่า
ตอบแทนของ บ.ประกัน.........และอันตรายกับชีวิตเราด้วย.......มีเครื่องดับเพลิงติดรถไว้ตลอดนะครับ ถ้ารถคุณใช้แก๊ส
ด้วยความเป็นห่วงทุกๆท่าน
ตอบคำถามที่ 6แท๊กซี่ที่เขาไม่เกิดเพลิงไหม้เขามีการเข้าตรวจเช็คตามระยะครับส่วนมากจะเช่ารถมาขับกันอยู่แล้วไม่ใช่รถส่วนตัวเจ้าของ
เขาจะติดระบบที่ดีและติดกับศูนย์มาตรฐาน และก็เปลี่ยนอุปกรณ์ตามระยะไม่ว่าจะเป็นแก๊สหรือน้ำมัน
แต่อย่างไรแล้วก็ต้องขอบคุณในความหวังดีของเขา ผมเพียงแต่ขยายความที่ถูกต้องจะได้ไม่สับสนครับ คนไทยจะได้อยู่แบบไม่ตกใจกลัว กลัวไว้ก่อน
ตามลิ้งค์นี้มีรูปภาพประกอบครับ
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.364230677070106.1073741921.125004144326095&type=1
ติดไม่ติดศึกษาไว้ ข้อเท็จจริง ดีกว่าข้อมูลที่สับสน
#####ผมอดีต ผจก.บริษัทฮอนด้า ออโต้โมบิล โรงงานผลิตรถยนต์ และปัจจุบันเปิดอู่ติดตั้งระบบแก๊สระยนต์
จากกระทู้นี้ผมจะแยกเป็นคำถามและตอบเป็นข้อๆ เพื่อให้เกิดความกระจ่างในการวิเคราะห์จากที่ลูกค้าถามเข้ามา
แล้วเขาได้ก๊อปกระทู้นี้มาถามดังนี้
#####ฝากเพื่อนที่มีรถ2ระบบ น้ำมัน/แก๊ส โปรดอ่าน....ระวังอันตราย..รถใช้แก๊สกับน้ำมันแบบ 2 ระบบ.....อย่าขับเป็นอย่างเดียว
...จาก ที่มีข่าว รถติดแก๊สระเบิด,ไฟไหม้ ทำให้ผู้ใช้รถไม่ค่อยสบายใจกัน เนื่องจากผมเคยทำงานอยู่ศูนย์บริการรถยนต์
มีประสบการณ์ตรวจสอบรถยนต์ไฟไหม้หลายครั้ง โดยเฉพาะกับรถยนต์หัวฉีด ที่ติดแก๊ส ไม่ว่า LPG หรือ NGV แล้วตัดปั๊มน้ำมัน
ซื่งเจ้าของรถยนต์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยทราบเพื่อนๆลองเสียเวลาอ่านเรื่องข้างล่างนี้หน่อยแล้วกันเมื่อตัดปั๊มน้ำมันแล้ว เวลาเครื่องยนต์
ทำงานด้วยแก๊ส หัวฉีดที่ติดกับ เครื่องยนต์จะไม่มีน้ำมันมาเลี้ยงซึ่งทำให้
ตั้งเป็นคำถามที่ 1 หัวฉีดจะร้อนมากเมื่อใช้แก๊สไปนาน ๆ รถบางคันไม่ได้ใช้น้ำมันเลยหรือใช้แต่สตาร์ทเครื่องเท่านั้น
ตอบคำถามที่ 1ปกติแล้วเมื่อเครื่องยนต์ทำงานจอดอยู่กับที่ไม่ได้เคลื่อนตัวเปิดแอร์หรือไม่เปิดก็ตามหรือกรณีรถจอดอยู่กับที่หรือรถติดในเมือง
อุณภูมิจะอยู่ที่ประมาณ 85-90 C˚ในรถญี่ปุ่นส่วนรถยุโรปจะอยู่ที่ 90-95 C˚ครับเป็นข้อมูลที่เราได้จากการตรวจสอบจากเครื่อง
สแกน OBD ที่เชื่อมต่อข้อมูลจากรถโดยตรง ไม่ว่าจะติดแก๊สหรือไม่ติดแก๊สและน้ำมันที่มารอที่หัวฉีด ฉีดประมาณ 4-15 ms.
น้ำมันที่อยู่บนรางหัวฉีดก็มีความร้อนที่ใกล้เคียงกันอยู่แล้วเนื่องจากต้องออกแบบให้น้ำมันมีการอุ่นตัวเองก่อนอยู่แล้วครับ
การที่บอกว่าหัวฉีดร้อนมากน่าจะวัดจากความรู้สึกมากกว่าการการใช้เครื่องมือที่ตรวจสอบวัดผลได้จริง
ตั้งเป็นคำถามที่ 2 จะทำให้ลูกยางที่ปลายหัวฉีดเสื่อมเร็ว( แข็งหรือแตกร้าว ) แล้ววันหนึ่งระหว่างเดินทางแล้วแก๊สหมด ก็ต้องใช้น้ำมัน
คราวนี้ลูกยางหัวฉีดที่เสื่อมสภาพจะมีน้ำมันเชื้อเพลิงรั่วออกมา หากบังเอิญมีประกายไฟจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำงานอยู่
เช่น ไดชาร์จ จานจ่ายสายหัวเทียนที่ไฟรั่ว คอล์ยหรือความร้อนจากท่อไอเสีย แคตตาไลท์ติกซึ่งร้อนมาก จะทำให้น้ำมัน
ที่รั่วซึมออกมาระเหยเป็นไอ และมีโอกาสติดไฟได้ จนเป็นสาเหตุให้เกิดไฟไหม้
ตอบคำถามที่ 2ลูกยางที่หัวฉีดจะเป็นแบบที่ทนความร้อนสูงอยู่แล้วครับ ขึ้นชื่อว่ายาง ย่อมมีอายุการใช้งานของมันอยู่แล้วไหนจะโดนน้ำมัน
ไหนจะโดนความร้อนควรจะเปลี่ยนเมือครบระยะครับหรือประมาณ 100,000 km.
- ส่วนที่จะแตกร้าวบอกเลยว่ายากครับขนาดรถใช้มา 300,000 km. ยังไม่มีปัญหาเลยครับยกเว้นรถที่มาจากเกาหรี
อันนี้แตกร้าวแน่แค่ถอดก็แตกแล้ว และถ้าหัวฉีดรั่วจริง ECU จะประมวลผลให้ไฟ Engine code โชว์แน่ๆ แต่ก่อนจะโชว์
รถก็สั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วครับรถคุณรู้สึกได้ทันทีเนื่องจากอากาศเข้าไปผสมกับเชิ้อเพลิงมากเกินไป
- และที่น้ำมันจะรั่วไหลออกมายิ่งเป็นไปได้ยากครับ เนื่องจากว่าหัวฉีดก็ต่อเมื่อวาล์วไอดีเปิดและน้ำมันที่จะถูกดูดเข้าไปใน
ห้องเผาใหม้ ไม่ได้ถูกดันออกมา ซึ่งเป็นการเข้าใจผิดครับ
ตั้งเป็นคำถามที่ 3 สาเหตุที่ช่างมักจะตัดปั๊มเพราะ
3.1.ในการติดตั้งแก๊สรถยนต์บางรุ่นตัดปั๊มง่ายกว่าตัดหัวฉีด
3.2.ส่วนใหญ่เป็นรถยนต์เก่าที่หัวฉีดจะปิดน้ำมันไม่ค่อยสนิท และน้ำมันรั่วผ่านช่องว่างเข็มหัวฉีดเข้าไปเผาไหม้ผสมกับแก๊ส
ทำให้เจ้าของรถยนต์บ่นว่าใช้แก๊สแล้วน้ำมันหายไปด้วย
3.3.บางครั้งช่างจูนแก๊สไม่ได้ เพราะน้ำมันเข้ามาผสมเพราะฉะนั้น รถยนต์ที่ใช้แก๊ส ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ และเข้า
ตรวจเช็คกับสถานให้บริการตามระยะนอกจากนี้ ควรหมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ และรอยรั่วซึมบริเวณหัวฉีดน้ำมันหรือ
สังเกตกลิ่นน้ำมันขณะขับขี่ด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอและอีกข้อแนะนำก็คือ
ตอบคำถามที่ 3ที่บอกว่าส่วนใหญ่ช่างตัดปั้มง่ายกว่าหรือเป้นรถเก่าหัวฉีดรั่ว
- การที่จะตัดปั้มน้ามันเราจะพิจารณารถที่เป็นปัญหาส่งผลกับอายุการใช้งานที่สั้นมากเมื่อใช้งานแก๊สครับ
เช่น Chevloret Masda Ford เป็นต้นเนื่องจากแรงดันน้ำมันจะสูงมาก ส่งผลให้หัวฉีดพังเร็วไหม ไม่ครับการที่เราไม่ตัด
แล้วปล่อยน้ำมันไปอัดพังทั้งหัวฉีดและปั้มติ๊กน้ำมันครับ
- หัวฉีดน้ำมันรั่วยังไงก็ต้องเปลี่ยนครับของเชียงกงถูกๆ ตรงรุ่นเยอะแยะ ถึงตัดปั้มแต่ไม่เปลี่ยนหัวฉีดควันก็ขาวโขมงเครื่องสั่น
เนื่องจากน้ำมันเข้าไปเยอะเกินครับ แน่นอนแค่ขับเข้ามาร้านยังไม่ติดแก๊สก็รู้แล้วครับ
- หรือกรณีลูกค้าต้องการให้ตัดปั้มเราก็ตัดให้ครับเพื่อยืดอายุการใช้งานของปั้มติ๊กน้ำมันและหัวฉีดครับไม่เกี่ยวกับความร้อน
ตั้งเป็นคำถามที่ 4 มีสองทางเลือก 1. เลิกใช้น้ำมันไปเลย
2.เปิดฝากระโปรงตอนเช้าแล้วสตาร์ทน้ำมันตรวจการรั่วทุกวันตอนเย็นกลับบ้านให้ใช้น้ำมันแล้วดับเครื่อง
ตอบคำถามที่ 4ถ้าเลิกใช้น้ำมันนี่คงจะลำยากมั้งครับผมว่าเป็นการเข้าใจผิดของปัญหามากกว่าครับและตีโจทย์ผิดไปอีก
ตั้งเป็นคำถามที่ 5 ขณะใช้น้ำมันผมเจอกับตัวเองสตาร์ทเครื่องตอนเช้าแล้วออกมาจากรถ ( เพราะลืมของ )ได้กลิ่นน้ำมันเปิดฝากระโปรงดู
น้ำมันรั่วโจ๊กเลย ตั้งแต่นั้นมา ผมเปิดฝากระโปรงอุ่นเครื่องด้วยน้ำมัน ตรวจรั่วทุกเช้าแล้วจึงออกรถ
ตอบคำถามที่ 5ที่เจอกับตัวเขาเองผมพิจารณาได้อย่างนี้ครับ
5.1 ไม่เปลี่ยนท่อทางเดินน้ำมัน ตามระยะเพราะท่อยางมีอายุของมันที่จะทนการกัดกร่อนของน้ำมันและความร้อนที่รั่วเป็นโจ๊กนี่รั่วจุดไหน
100 ทั้ง 100 นี่ผมว่าเป็นที่ท่อน้ำมันแตกไม่ใช่หัวฉีดรั่วแน่นอนครับถ้าหัวฉีดรั่วไม่มีทางออกมาด้านอกครับ
5.2 เปลี่ยนสถานะเชื้อเพลิง จากรถที่เติมได้แค่ E10 ไปเติม E85 แต่ท่อยางไม่เปลี่ยน ท่อยางต่างๆอาจไม่ทนการกัดกร่อนของ
น้ำมันแต่ละชนิดครับบางคนอาจบอกว่าน้ำมัน E85 ไม่กัดกร่อน ผมถามว่าภ้ามันทนได้จริงโรงงานประกอบรถยนต์จะเปลี่ยนท่อ
พลาสติกและท่อยางน้ำมันเป็นท่อพลาสติกเป็นท่อสแตนเลสทำไม แค่นี่เราท่านน่าจะคิดได้นะผมว่า
ตั้งเป็นคำถามที่ 6 สังเกตไหมว่า แท๊กซี่ไม่ค่อยมีข่าวไฟไหม้ เพราะเขาไม่ใช้น้ำมันเลยเท่าที่ติดตามข่าวไฟไหม้รถแก๊ส มักมีสาเหตุทำให้เกิดการ
ไหม้ตอนใช้น้ำมัน (ยกเว้นรถชนกัน ).....รู้อย่างนี้แล้ว หมั่นตรวจสอบรถให้ดีนะครับ...ถ้าเกิดเรื่องแล้ว........มันจะไม่คุ้มกับค่า
ตอบแทนของ บ.ประกัน.........และอันตรายกับชีวิตเราด้วย.......มีเครื่องดับเพลิงติดรถไว้ตลอดนะครับ ถ้ารถคุณใช้แก๊ส
ด้วยความเป็นห่วงทุกๆท่าน
ตอบคำถามที่ 6แท๊กซี่ที่เขาไม่เกิดเพลิงไหม้เขามีการเข้าตรวจเช็คตามระยะครับส่วนมากจะเช่ารถมาขับกันอยู่แล้วไม่ใช่รถส่วนตัวเจ้าของ
เขาจะติดระบบที่ดีและติดกับศูนย์มาตรฐาน และก็เปลี่ยนอุปกรณ์ตามระยะไม่ว่าจะเป็นแก๊สหรือน้ำมัน
แต่อย่างไรแล้วก็ต้องขอบคุณในความหวังดีของเขา ผมเพียงแต่ขยายความที่ถูกต้องจะได้ไม่สับสนครับ คนไทยจะได้อยู่แบบไม่ตกใจกลัว กลัวไว้ก่อน
ตามลิ้งค์นี้มีรูปภาพประกอบครับ
https://www.facebook.com/media/set/?set=a.364230677070106.1073741921.125004144326095&type=1