"ในอนาคตของหนูอีก 10 ปีข้างหน้า มีพี่อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า ?"
เป็นคำถามที่ค่อนข้างทำให้ใจเต้นแบะมีอาการแปลกๆภายในได้เลยทีเดียวค่ะ
เพราะตั้งแต่รู้จักกัน ... ไม่เคยแสดงออกว่ามีอะไรพิเศษเลย จนกระทั่งมีคำถามนี้หลุดออกมาจากปาก ??
ขอใช้พื้นที่นี้เพื่อแบ่งปันเรื่องราวและความคิดเห็นที่ได้แลกเลี่ยนเรียนรู้มุมมองที่หลากหลายออกไป
ดิฉันเป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของสถาบันการศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง อายุ 21 ปี กำลังฝึกปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถจบออกมาเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ ด้วยความที่ชีวิตค่อนข้างวุ่นวายอยู่กับเเต่เรื่องราวชีวิตของคนอื่น จนไม่ค่อยได้มีเวลาสนใจตัวเองเท่าที่ควรทำให้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจของใครๆสักเท่าไหร่นัก ส่วนสูงค่อนข้างน้อยแค่ 155 cm แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะคิดว่าอย่างเราคงไม่มีใครสนหรอกเพราะบ้างานบ้าเรียนซะขนาดนี้ อีกอย่างเคยมีประสบการณ์ที่ค่อนข้างหยั่งลึกฝังใจมากเกี่ยวกับเรื่องราวความรักเลยเพิกเฉยไป
เมื่อช่วงประมาณต้นปี 57 ได้มีโอกาสไปอบรมที่สถานบันการศึกษาส่งไปร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือในการเรียนการสอน ทำให้ได้มีโอกาสได้เรียนรู้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ในสายงานเดียวกัน มันเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก เพราะปกติแล้วเคยแต่เรียนในตำรา ทดลองทำในห้อง Lab แต่ตอนนี้เราได้เปิดโลก เจอคนที่อยู่ในวิชาชีพเดียวกันและวิชาชีพใหล้เคียงกัน การอบรมผ่านไปแล้วแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แปลกไป เพราะมีรุ่นพี่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันติดต่อกลับมา ถามไถ่เรื่องราวต่างๆ ทั้งการเดินทางกลับ การส่งบันทึกการเรียนรู้หลังการเข้าร่วมกิจกรรม และถามคำถามว่า "มีโปสการ์ด ส่งถึงหรือยัง ?"
รุ่นพี่คนดังกล่าวอายุมากกว่า 5 ปี ตอนนี้ทำงานที่ต่างจังหวัด แรกๆก็คุยกันเรื่องทั่วๆไป ไม่ได้มีอะไรมากเพราะว่าเราไม่ได้คิดดอะไร แต่ว่าก็ถูกชะตาไม่น้อยเลยเพราะตอนไปอบรมบ้านพักอยู่ใกล้กันเลยเดินไปกินข้าวพร้อมกันที่ห้องอาหารบ่อยๆ และได้สร้าง กลุ่ม line เพื่อใช้ในการติดต่องานกันตอนอยู่ในช่วงอบรมและพูดคุยเรื่องทั่วไปหลังจากที่จบการอบรมไปแล้ว ด้วยความที่รุ่นพี่คนนี้เพิ่งจะเรียนจบทำให้ต้องไปทำงานในที่ต่างๆ ย้ายบ่อยครั้ง และคุยกันถูกคอมากๆ เพราะชอบตัวการ์ตูนฮีโร่เหมือนกัน ชอบเล่นของเล่น เล่นเกมส์ ทำให้มีเรื่องราวที่คุยกันได้ตลอดแต่ไม่ได้คุยกันทุกวันเพราะต่างคนก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เราจะคุยกันทุกๆวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์เพราะนั้นคือวัน off เวรของเรา แต่ในระกว่างนั้น ระหว่างพักเที่ยง ถ้าว่างก็จะ line sticker บ้าง แต่ไม่ค่อยบ่อย เพราะยังไงๆก็ต้องมาเปิดอ่านตอนว่างจริงๆ หรือตอนลงเวรมาแล้ว
จนกระทั้งช่วง มิถุนายน ก็มีเรื่องราวของพี่เขาที่ต้องตัดสินใจ คือ ต้องไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศด้วยทุนเล่าเรียนของหลวง ในกลางปี 58
ด้วยเหตุดีจึงสัมผัสได้ว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่คุยกันเรื่องนี้เพราะเราเองก็ยังไม่แน่ใจว่า "สถานะ" เราเป็นอะไรกัน เพราะ คนรู้ใจก็อาจจะยังไม่ใช่ จะน้องที่สนิทไอ้เราก็ไม่เชิง แต่แค่รู้ว่าเวลาคุยและรู้สึกดีต่อกันมากๆ เท่านั้นเอง !!!
ช่วงงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปงานหนังสือกันกับที่บ้านและพี่เขาก็ขอตามไปด้วย
ในขณะที่กำลังต่อแถวเขาไปขอลายเซ็นพี่เอ นิ้วกลม อยู่นั้น ก็คุยกันไปเรื่อยๆเรื่องราวเรื่อยเปื่อยทั่วไป ส่วนที่บ้านก็พากันไปดูหนังสือแต่งบ้าน ปลูกต้นไม้ แล้วเราก็ถามคำถามหนึ่งออกมาว่า "อีก 10 ปีข้างหน้า เราจะเป็นยังไง มันน่าคิดเหมือนกันนะเนี้ย ? ... พี่ว่ามะ "
พี่แกเลยถามต่อว่า "พี่ก็อยากจะรู้เหมือนกันนะว่า .. "ในอนาคตของหนูอีก 10 ปีข้างหน้า มีพี่อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า ?"
เราก็ทำอะไรไม่ถูก ..อึ้งไปพักใหญ่ๆ แต่คนที่ต่อคิวเราขอลายเซ็นเขาก็หัวเราะแปลก ยิ้มแปลกๆ แต่เรานี้แทบอยากจะมุดพรมหนี้ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่ที่อยาดจะมุดเนี้ย เพราะ ....เขิล.... ส่วนพี่แกก็ไม่พูดไร ทำตัวเนียนๆแต่อมยิ้มตอนมองหน้าเรา
แล้วก็พูดว่า "แต่อีก 10 ปีของพี่ที่หนูถามก่อนหน้านี้อ่ะ มันมีหนูด้วยนะ มีมานานแล้วด้วย รอให้เรียนจบก่อน รอให้โตกว่านี้ค่อยว่ากัน แค่ปีหน้าเอง พี่ว่าพี่รอได้ ก่อนไปเรียนต่อ พี่ก็อยากจะมีอะไรที่มันมั่นคง มีหลักประกันในชีวิตก่อนไปอยู่ที่ไกลๆนานๆ"
เราก็ยิ้มนะ แต่ในใจก็คิดละว่า "ไหนว่าไม่ได้คิดไรกะเราวะ ...ไหงพูดงี้ ทีบอกคนอื่นนะว่าเป็นน้องๆ แต่เป็นน้องที่พัฒนาได้"
บางทีก็อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองนะว่า..เขาชอบเราป่าววะ
แต่ตอนนี้ที่รู้ๆคือ โห้วววว ใจมันพองฟูมาก เลยไปเล่าให้แม่ฟัง ... แม่ตอบกลับมาว่า
"เอาละเว้ยยย ...ลูกสาวแม่จะขายออกก็งานนี้แหละมั้ง ??? "
จากคนที่ไม่เคยมีคนที่เป็นคนรู้ใจแบบเปิดเผยมากก่อนเลย
เจอแม่แซวแบบนี้เราก็เขินแปลกๆเหมือนกัน
จบเท่านี้ก่อนละกัน เพราะว่าพรุ่งนี้มีฝึกงานแต่เช้า ...พร้อมแพลนงานอีกมายมายที่ต้องส่ง
ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์อ่านเรื่องเวิ้นเว้อ บ่นๆมาจนถึงบรรทัดนี้
ฝันดีค่ะ ^^
หากมีใครสักคนถามคำถามคุณว่า "ในอนาคตของหนูอีก 10 ปีข้างหน้า มีพี่อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า ?"
เป็นคำถามที่ค่อนข้างทำให้ใจเต้นแบะมีอาการแปลกๆภายในได้เลยทีเดียวค่ะ
เพราะตั้งแต่รู้จักกัน ... ไม่เคยแสดงออกว่ามีอะไรพิเศษเลย จนกระทั่งมีคำถามนี้หลุดออกมาจากปาก ??
ขอใช้พื้นที่นี้เพื่อแบ่งปันเรื่องราวและความคิดเห็นที่ได้แลกเลี่ยนเรียนรู้มุมมองที่หลากหลายออกไป
ดิฉันเป็นนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของสถาบันการศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง อายุ 21 ปี กำลังฝึกปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถจบออกมาเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพ ด้วยความที่ชีวิตค่อนข้างวุ่นวายอยู่กับเเต่เรื่องราวชีวิตของคนอื่น จนไม่ค่อยได้มีเวลาสนใจตัวเองเท่าที่ควรทำให้ไม่ค่อยเป็นที่สนใจของใครๆสักเท่าไหร่นัก ส่วนสูงค่อนข้างน้อยแค่ 155 cm แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร เพราะคิดว่าอย่างเราคงไม่มีใครสนหรอกเพราะบ้างานบ้าเรียนซะขนาดนี้ อีกอย่างเคยมีประสบการณ์ที่ค่อนข้างหยั่งลึกฝังใจมากเกี่ยวกับเรื่องราวความรักเลยเพิกเฉยไป
เมื่อช่วงประมาณต้นปี 57 ได้มีโอกาสไปอบรมที่สถานบันการศึกษาส่งไปร่วมกับเครือข่ายความร่วมมือในการเรียนการสอน ทำให้ได้มีโอกาสได้เรียนรู้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ในสายงานเดียวกัน มันเป็นประสบการณ์ที่พิเศษมาก เพราะปกติแล้วเคยแต่เรียนในตำรา ทดลองทำในห้อง Lab แต่ตอนนี้เราได้เปิดโลก เจอคนที่อยู่ในวิชาชีพเดียวกันและวิชาชีพใหล้เคียงกัน การอบรมผ่านไปแล้วแต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แปลกไป เพราะมีรุ่นพี่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันติดต่อกลับมา ถามไถ่เรื่องราวต่างๆ ทั้งการเดินทางกลับ การส่งบันทึกการเรียนรู้หลังการเข้าร่วมกิจกรรม และถามคำถามว่า "มีโปสการ์ด ส่งถึงหรือยัง ?"
รุ่นพี่คนดังกล่าวอายุมากกว่า 5 ปี ตอนนี้ทำงานที่ต่างจังหวัด แรกๆก็คุยกันเรื่องทั่วๆไป ไม่ได้มีอะไรมากเพราะว่าเราไม่ได้คิดดอะไร แต่ว่าก็ถูกชะตาไม่น้อยเลยเพราะตอนไปอบรมบ้านพักอยู่ใกล้กันเลยเดินไปกินข้าวพร้อมกันที่ห้องอาหารบ่อยๆ และได้สร้าง กลุ่ม line เพื่อใช้ในการติดต่องานกันตอนอยู่ในช่วงอบรมและพูดคุยเรื่องทั่วไปหลังจากที่จบการอบรมไปแล้ว ด้วยความที่รุ่นพี่คนนี้เพิ่งจะเรียนจบทำให้ต้องไปทำงานในที่ต่างๆ ย้ายบ่อยครั้ง และคุยกันถูกคอมากๆ เพราะชอบตัวการ์ตูนฮีโร่เหมือนกัน ชอบเล่นของเล่น เล่นเกมส์ ทำให้มีเรื่องราวที่คุยกันได้ตลอดแต่ไม่ได้คุยกันทุกวันเพราะต่างคนก็มีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ เราจะคุยกันทุกๆวันพฤหัสบดีหรือวันศุกร์เพราะนั้นคือวัน off เวรของเรา แต่ในระกว่างนั้น ระหว่างพักเที่ยง ถ้าว่างก็จะ line sticker บ้าง แต่ไม่ค่อยบ่อย เพราะยังไงๆก็ต้องมาเปิดอ่านตอนว่างจริงๆ หรือตอนลงเวรมาแล้ว
จนกระทั้งช่วง มิถุนายน ก็มีเรื่องราวของพี่เขาที่ต้องตัดสินใจ คือ ต้องไปเรียนต่อเฉพาะทางที่ต่างประเทศด้วยทุนเล่าเรียนของหลวง ในกลางปี 58
ด้วยเหตุดีจึงสัมผัสได้ว่ามันมีบางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่คุยกันเรื่องนี้เพราะเราเองก็ยังไม่แน่ใจว่า "สถานะ" เราเป็นอะไรกัน เพราะ คนรู้ใจก็อาจจะยังไม่ใช่ จะน้องที่สนิทไอ้เราก็ไม่เชิง แต่แค่รู้ว่าเวลาคุยและรู้สึกดีต่อกันมากๆ เท่านั้นเอง !!!
ช่วงงานสัปดาห์หนังสือที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปงานหนังสือกันกับที่บ้านและพี่เขาก็ขอตามไปด้วย
ในขณะที่กำลังต่อแถวเขาไปขอลายเซ็นพี่เอ นิ้วกลม อยู่นั้น ก็คุยกันไปเรื่อยๆเรื่องราวเรื่อยเปื่อยทั่วไป ส่วนที่บ้านก็พากันไปดูหนังสือแต่งบ้าน ปลูกต้นไม้ แล้วเราก็ถามคำถามหนึ่งออกมาว่า "อีก 10 ปีข้างหน้า เราจะเป็นยังไง มันน่าคิดเหมือนกันนะเนี้ย ? ... พี่ว่ามะ "
พี่แกเลยถามต่อว่า "พี่ก็อยากจะรู้เหมือนกันนะว่า .. "ในอนาคตของหนูอีก 10 ปีข้างหน้า มีพี่อยู่ในนั้นด้วยหรือเปล่า ?"
เราก็ทำอะไรไม่ถูก ..อึ้งไปพักใหญ่ๆ แต่คนที่ต่อคิวเราขอลายเซ็นเขาก็หัวเราะแปลก ยิ้มแปลกๆ แต่เรานี้แทบอยากจะมุดพรมหนี้ ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่ที่อยาดจะมุดเนี้ย เพราะ ....เขิล.... ส่วนพี่แกก็ไม่พูดไร ทำตัวเนียนๆแต่อมยิ้มตอนมองหน้าเรา
แล้วก็พูดว่า "แต่อีก 10 ปีของพี่ที่หนูถามก่อนหน้านี้อ่ะ มันมีหนูด้วยนะ มีมานานแล้วด้วย รอให้เรียนจบก่อน รอให้โตกว่านี้ค่อยว่ากัน แค่ปีหน้าเอง พี่ว่าพี่รอได้ ก่อนไปเรียนต่อ พี่ก็อยากจะมีอะไรที่มันมั่นคง มีหลักประกันในชีวิตก่อนไปอยู่ที่ไกลๆนานๆ"
เราก็ยิ้มนะ แต่ในใจก็คิดละว่า "ไหนว่าไม่ได้คิดไรกะเราวะ ...ไหงพูดงี้ ทีบอกคนอื่นนะว่าเป็นน้องๆ แต่เป็นน้องที่พัฒนาได้"
บางทีก็อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองนะว่า..เขาชอบเราป่าววะ
แต่ตอนนี้ที่รู้ๆคือ โห้วววว ใจมันพองฟูมาก เลยไปเล่าให้แม่ฟัง ... แม่ตอบกลับมาว่า
"เอาละเว้ยยย ...ลูกสาวแม่จะขายออกก็งานนี้แหละมั้ง ??? "
จากคนที่ไม่เคยมีคนที่เป็นคนรู้ใจแบบเปิดเผยมากก่อนเลย
เจอแม่แซวแบบนี้เราก็เขินแปลกๆเหมือนกัน
จบเท่านี้ก่อนละกัน เพราะว่าพรุ่งนี้มีฝึกงานแต่เช้า ...พร้อมแพลนงานอีกมายมายที่ต้องส่ง
ขอบคุณนะคะที่อุตส่าห์อ่านเรื่องเวิ้นเว้อ บ่นๆมาจนถึงบรรทัดนี้
ฝันดีค่ะ ^^