สำหรับเจ้า iPad Air 2 ก็ถือเป็นการปรับปรุงจาก iPad Air รุ่นแรกทั้งในเรื่องของสเปคที่แรงขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งการปรับเปลี่ยนดีไซน์ในบางส่วนและเพิ่มเติมสียอดฮิตของพี่น้องชาวไทยอย่างสีทองเข้ามาเพิ่มอีกด้วย โดยสเปคที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นหลักๆ ก็จะอยู่ที่ตัว CPU ที่ใช้เป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Apple A8X ที่แรงยิ่งกว่าใน iPhone 6 เสียอีกครับ เพราะชิปเซ็ต Apple A8X บน iPad Air 2 นั้นเป็นชิปเซ็ตแบบ Triple Core ตัวแรกของค่ายเลยทีเดียว (ปกติจะเป็น Dual Core) ส่วนสเปคอื่นๆ ก็จะประมาณนี้ครับสำหรับ iPad Air 2
สเปค iPad Air 2 Wifi
- ชิปประมวลผล Apple A8X Triple-Core ความเร็วสูงสุด 1.5 GHz
- ชิปกราฟฟิค PowerVR GXA6850 ตัวท็อปสุดในซีรี่ส์ และ Apple ได้นำมาปรับแต่งเพิ่มเติม
- มีชิปประมวลผล M8 ช่วยจับและประมวลผลการเคลื่อนไหว
- แรม 2 GB
- หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว Retina 264 PPI กระจกจอเคลือบสารกันสะท้อน
- มีความจุให้เลือกทั้ง 16, 64 และ 128 GB
- กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f2.2 ถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
- กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล ถ่ายรูปได้สว่างขึ้นกว่าเดิม
- มาพร้อม iOS 8 (รองรับการอัพเดตเป็น iOS 8.1.1 และ iOS 8.2 ในอนาคต)
- แบตเตอรี่ความจุ 7340 mAh
- มาพร้อม Touch ID ที่ปุ่มโฮม
แพคเกจกล่องที่บรรจุ iPad Air 2 ก็ยังคงออกแบบมาในสไตล์คล้ายรุ่นเดิม จะมีที่แตกต่างจากเดิมก็ตรงรูปด้านหน้านี่แหละครับ โดยรูปติดกล่อง iPad Air 2 จะเน้นโชว์ความบางที่ด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนี่ก็เหมือนเดิมเลย คือมีสาย Lightning กับอแดปเตอร์จ่ายไฟ 10W แล้วก็พวกคู่มือกับสติ๊กเกอร์รูปแอปเปิ้ลครับ
ส่วน iPad Air 2 รุ่น Wifi + Cellular หรือรุ่นที่ใส่ซิมเพื่อเล่นเน็ตได้นั้น ก็จะมีความแตกต่างจาก iPad Air 2 ที่เรารีวิวแค่เพียงช่องใส่ซิมเท่านั้นเองครับ ส่วนที่เหลือสามารถใช้อ้างอิงด้วยกันได้หมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ อ่านรีวิว iPad Air 2 Wifi ก็ทดแทนกันได้สบายๆ
Design
ภาพรวมในส่วนของรูปร่างหน้าตา iPad Air 2 ถ้ามองผ่านๆ (และไม่นับปุ่ม Touch ID) นั้นแทบจะแยกไม่ออกระหว่าง iPad Air กับ iPad Air 2 เลยครับ แต่สิ่งที่แตกต่างในส่วนของการดีไซน์ระหว่าง iPad Air กับ iPad Air 2 จะอยู่ที่รายละเอียดปลีกย่อย เช่น ใน iPad Air 2 จะตัดปุ่มปิดเสียงด้านข้างออก แล้วเปลี่ยนมาปิดเสียงใน Control Center แทน ส่วนกล้องหลังก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทั้งในตัวฮาร์ดแวร์เอง และการจัดวางตำแหน่งครับ เพราะกล้องหลังของ iPad Air 2 จะใช้เป็นกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และมีตำแหน่งการวางที่ชิดมุมเครื่องมากกว่าเดิม รวมถึงขนาดตัวเครื่องโดยรวมมีความบางขึ้น และน้ำหนักเบาลงกว่าใน iPad Air รุ่นแรกอีกพอสมควร
ทีนี้ปัญหามันจะอยู่ที่การเลือกซื้อเคสมาใส่ครับ จริงอยู่ที่ iPad Air 2 มีรูปร่างต่างจาก iPad Air เพียงเล็กน้อย แต่ในเรื่องของเคสนี่จะใช้ร่วมกันไม่ได้ครับ จริงอยู่ที่เราสามารถยัดเจ้า iPad Air 2 เข้าไปในเคสของ iPad Air รุ่นแรกได้สบายๆ อาจจะมีอาการหลวมนิดหน่อย แต่ปัญหาหลักก็คือตำแหน่งของกล้องหลังที่เปลี่ยนไปนี่แหละครับ เพราะตำแหน่งของเคสที่เจาะรูไว้สำหรับกล้องหลังมันจะไม่ตรงกัน และเคสของ iPad Air รุ่นแรกก็จะบังเลนส์กล้องบางส่วนของ iPad Air 2 เพราะฉะนั้นใครที่ใช้ iPad Air รุ่นแรกอยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้ iPad Air 2 แนะนำให้ขายเครื่องเก่าพร้อมเคสไปเลยครับ
นอกเรื่องไปไกลเลย กลับมาที่รีวิว iPad Air 2 ของเรากันต่อครับ อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าดีไซน์ของ iPad Air 2 ก็ยังคงคล้ายกับ iPad Air รุ่นแรกอยู่ สำหรับผมก็ยังรู้สึกว่ามันสวยเหมือนเดิมครับ และยิ่งมีความบางกว่าเดิม รวมถึงน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ทำให้การดีไซน์ของมันค่อนข้างใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบขึ้นไปทุกที เอาเป็นว่าแค่ได้จับก็รู้สักประทับใจแล้วสำหรับแท็บเล็ต 9.7 นิ้ว แต่การจับถือด้วยมือข้างเดียวนี่ทำได้สบายเลย ถือนานๆ ก็ไม่ได้รู้สึกล้ามือแต่อย่างใด ต่อให้ใส่เคสที่มีฝาปิดก็ยังมีน้ำหนักในอยู่ระดับที่รับได้ ตรงนี้ต้องชมการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างดีครับ

Air สมชื่อจริงๆ

สำหรับรายละเอียดด้านหน้าของ iPad Air 2 ออกแบบมาได้เรียบๆ เช่นเคยครับ นอกจากหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ Retina Display ที่มีการปรับปรุงจากรุ่นเดิม ด้านหน้าก็มีเพียงแค่ปุ่มโฮมที่เป็น Touch ID กับกล้องหน้าสำหรับ Facetime รุ่นปรับปรุงใหม่ ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้นเอง ส่วนพื้นที่ขอบจอก็ถือว่าแคบกว่าแท็บเล็ตทั่วไปครับ แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้ได้จับถือตัวเครื่องสะดวกอยู่ ตรงนี้เชื่อว่าบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม Apple ไม่ทำให้ขอบจอมันบางกว่านี้ ก็ต้องบอกว่าพื้นที่ขอบจอสำหรับแท็บเล็ตถือว่าสำคัญนะครับ เพราะในการจับถือตัวเครื่องแท็บเล็ตเราจะใช้การจับในลักษณะที่ใช้มือข้างหนึ่งถือเครื่อง แล้วใช้มืออีกข้างในการจิ้มหน้าจอ หรือในการอ่าน E-Book บนแท็บเล็ตส่วนมากก็จะใช้มือข้างเดียวในการถืออ่าน ซึ่งการมีขอบจอจะช่วยให้จับถือตัวเครื่องแท็บเล็ตได้สะดวกยิ่งขึ้นครับ โดยที่มือเราจะได้ไม่ไปรบกวนพื้นที่หน้าจอ ไม่เหมือนอย่างมือถือที่จะทำขอบจอบางแค่ไหนก็ได้ เพราะพื้นที่ขอบจอสำหรับสมาร์ทโฟนนั้นถือว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่นัก
มาถึงด้านข้างของ iPad Air 2 กันบ้างครับ กรอบด้านข้างของ iPad Air 2 จะเป็นชิ้นเดียวกับฝาหลัง อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเครื่องแบบ Unibody ที่จะใช้การขึ้นรูปด้วยโลหะเพียงชิ้นเดียว รายละเอียดด้านข้างของ iPad Air 2 เริ่มจากด้านขวามือ (หันหน้าจอเข้าหาตัว) จะประกอบไปด้วยปุ่มปรับระดับเสียง (ไม่มีปุ่มตัดเสียง) ด้านล่างจะเป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง ที่ดีไซน์เป็นแบบใหม่ คือออกมาเป็นรูๆ แถวเดียว กับช่องเสียบสาย Lightning ไว้สำหรับ Sync กับคอมพิวเตอร์ ส่วนปุ่ม Sleep/Wake หรือปุ่ม Power กับช่องเสียบหูฟังจะอยู่ทางด้านบนของตัวเครื่องครับ โดยขอบด้านข้างของ iPad Air 2 เหมือนจะออกแบบมาให้ทนรอยขีดข่วนมากกว่าเดิมพอสมควรครับ เพราะตอนที่รีวิว iPad Air 2 นี่ผมก็ไม่ได้ใส่เคสแต่อย่างใด เท่าที่เล่นมาประมาณ 2 สัปดาห์ก็ไม่พบว่าขอบตัวเครื่องมีรอยขนแมวนะครับ
ด้านหลังของ iPad Air 2 ก็จะคล้ายๆ กับรุ่นก่อนครับ ไม่ค่อยมีรายละเอียดอะไรมากมาย มีเพียงกล้องหลัง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กับไมค์ตัดเสียง แล้วก็โลโก้ Apple ตรงกลางเท่านั้นเอง วัสดุก็อย่างที่บอกไปว่าใช้เป็นอลูมิเนียมชิ้นเดียวขึ้นรูปแบบ Unibody ให้สัมผัสในการจับที่ค่อนข้างดีครับ แต่ปัญหาของฝาหลัง iPad Air 2 จะอยู่ที่มันเป็นรอยได้ค่อนข้างง่าย และที่สำคัญใน iPad Air 2 เนี่ย Apple พยายามทำให้มันบางกว่าเดิม ทีนี้มันเลยมีปัญหาเวลาที่เราเปิดเสียงจากลำโพงหลักของ iPad Air 2 เพราะตัวเครื่องบริเวณลำโพงนั้นจะสั่นจนรู้สึกได้เลยหล่ะ ส่วนในเรื่องความแข็งแรง ที่ว่างอได้งอไม่ได้ ตรงนี้บอกเลยครับว่าถ้าพยายามจะงอเครื่องยังไง iPad Air 2 ก็ไม่รอดครับ งอแน่นอน 100% แต่เท่าที่ดูคลิปทดสอบ หากเป็นการงอเครื่องจากด้านหลังเหมือนจะทำได้ยากมาก เพราะตัววัสดุที่ใช้มีความยืดหยุ่นพอสมควรเลย แต่ถ้างอจากหน้าจอหล่ะก็…ไม่เหลือครับ เอาเป็นว่าถ้าไม่มันมือหยิบขึ้นมางอเล่นเนี่ย iPad Air 2 ก็ถือเป็นแท็บเล็ตที่แข็งแรงมากรุ่นหนึ่งเลยครับ งานประกอบนี่อย่างเนียน

อยากจะได้แท็บเล็ตแรงๆ เล่นเกม
เนียนๆ น้ำหนักเบา พกพาง่ายใช่
ไหม….ก็ iPad Air 2 ไง!!

ถามว่า iPad Air 2 งอได้ไหม
ก็ต้องบอกว่างอได้
ถ้าพยายามจะงอมันอะนะ
สเปคแรง น้ำหนักเบา แบตอึด จอสวย พกพาสะดวก ยังจะอยากได้อะไรอีกไหม?

จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ iPad Air 2 ที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้นั่นก็คือหน้าจอครับ หน้าจอของ iPad ตั้งแต่รุ่นที่ใช้จอ Retina เป็นต้นมา (รู้สึกจะเป็น Gen 3 The New iPad ที่ตกรุ่นเร็วๆ นั่นแหละ) จะค่อนข้างได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีจากยูสเซอร์อยู่เสมอ และใน iPad Air 2 นี่ก็ไม่น่าจะทำให้ผิดหวังกันครับ สำหรับจอภาพ Retina Display ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048×1536 พิกเซล 264 ppi ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เรียกว่าออกแบบใหม่เลยจะดีกว่าครับ เพราะ Apple ต้องการทำให้ตัวเครื่อง iPad Air 2 มีความบางมากกว่าเดิม จึงได้เริ่มปฏิวัติตั้งแต่หน้าจอที่เป็นการรวมเลเยอร์ที่แต่เดิมมี 3 เลเยอร์เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะได้จอภาพที่บางกว่าเดิมแล้ว ยังส่งผลดีต่อการแสดงผลด้วยครับ สีสันที่ได้จากหน้าจอมีความสดใสยิ่งขึ้น คอนทราสต์จัดกว่าเดิม และที่สำคัญมีการเคลือบสารกันสะท้อน โดย Apple เคลมว่าจอภาพของ iPad Air 2 เนี่ยเป็นจอภาพที่มีแสงสะท้อนน้อยที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ซึ่งจากการใช้งานก็ต้องบอกว่าจริงอย่างที่ว่าครับ เพราะหน้าจอของ iPad Air 2 นี่ทำออกมาได้เนียนจริงๆ แสงสะท้อนที่หน้าจอมีน้อยกว่าเดิมมาก ต่อให้ใช้งานกลางแดดจัดก็ยังเร่งแสงหน้าจอสู้แดดได้สบายๆ
ภาพรวมในส่วนของการดีไซน์ iPad Air 2 ก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของ Apple ครับ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ ความบางและน้ำหนักของตัวเครื่องที่พัฒนาไปจากเดิม ทำให้การจับถือ iPad Air 2 ทำได้ค่อนข้างสะดวก ถือนานๆ ไม่ค่อยล้าเหมือนรุ่นก่อน วัสดุที่ใช้ก็จัดว่าพรีเมียมสมราคาค่าตัว และยังมีการพัฒนาขึ้นไปจากรุ่นก่อนๆ เพราะนอกจากจะบางและเบากว่าเดิมแล้ว หน้าจอก็ถือว่าอยู่ในระดับท็อปของแท็บเล็ต ณ เวลานี้ เป็นจอภาพที่มีคุณภาพดีทีเดียวครับ ไม่ว่าจะใช้ทำงาน หรือจะใช้เป็นเครื่องเอ็นเตอร์เทน เช่น เล่นเกม, อ่าน E-Book, เล่นอินเทอร์เน็ต และดูหนัง ด้วยการแสดงผลที่ให้สีสันสดใสและเป็นธรรมชาติของจอภาพ Retina Display ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่บน iPad Air 2 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การซื้อแท็บเล็ตซักเครื่องมันมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะครับ แค่การดีไซน์อาจจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันดีพอที่เราจะจ่ายเงินซื้อหรือไม่ เพราะฉะนั้นเลื่อนลงมาดูรีวิว iPad Air 2 ในส่วนของซอฟท์แวร์ตัวระบบปฏิบัติการต่อเลยครับ
http://specphone.com/web/review-ipad-air-2/119711 < ดูตามลิ้งนี้ครับ
[Review] รีวิว iPad Air 2 ที่สุดของแท็บเล็ตบางเบาพร้อมกับชิป Apple A8X Triple Core ตัวแรกจาก Apple
สำหรับเจ้า iPad Air 2 ก็ถือเป็นการปรับปรุงจาก iPad Air รุ่นแรกทั้งในเรื่องของสเปคที่แรงขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งการปรับเปลี่ยนดีไซน์ในบางส่วนและเพิ่มเติมสียอดฮิตของพี่น้องชาวไทยอย่างสีทองเข้ามาเพิ่มอีกด้วย โดยสเปคที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นหลักๆ ก็จะอยู่ที่ตัว CPU ที่ใช้เป็นชิปเซ็ตรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Apple A8X ที่แรงยิ่งกว่าใน iPhone 6 เสียอีกครับ เพราะชิปเซ็ต Apple A8X บน iPad Air 2 นั้นเป็นชิปเซ็ตแบบ Triple Core ตัวแรกของค่ายเลยทีเดียว (ปกติจะเป็น Dual Core) ส่วนสเปคอื่นๆ ก็จะประมาณนี้ครับสำหรับ iPad Air 2
สเปค iPad Air 2 Wifi
- ชิปประมวลผล Apple A8X Triple-Core ความเร็วสูงสุด 1.5 GHz
- ชิปกราฟฟิค PowerVR GXA6850 ตัวท็อปสุดในซีรี่ส์ และ Apple ได้นำมาปรับแต่งเพิ่มเติม
- มีชิปประมวลผล M8 ช่วยจับและประมวลผลการเคลื่อนไหว
- แรม 2 GB
- หน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว Retina 264 PPI กระจกจอเคลือบสารกันสะท้อน
- มีความจุให้เลือกทั้ง 16, 64 และ 128 GB
- กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f2.2 ถ่ายวีดีโอได้ที่ความละเอียดสูงสุด 1080p
- กล้องหน้าความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซล ถ่ายรูปได้สว่างขึ้นกว่าเดิม
- มาพร้อม iOS 8 (รองรับการอัพเดตเป็น iOS 8.1.1 และ iOS 8.2 ในอนาคต)
- แบตเตอรี่ความจุ 7340 mAh
- มาพร้อม Touch ID ที่ปุ่มโฮม
แพคเกจกล่องที่บรรจุ iPad Air 2 ก็ยังคงออกแบบมาในสไตล์คล้ายรุ่นเดิม จะมีที่แตกต่างจากเดิมก็ตรงรูปด้านหน้านี่แหละครับ โดยรูปติดกล่อง iPad Air 2 จะเน้นโชว์ความบางที่ด้านข้าง ส่วนอุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องนี่ก็เหมือนเดิมเลย คือมีสาย Lightning กับอแดปเตอร์จ่ายไฟ 10W แล้วก็พวกคู่มือกับสติ๊กเกอร์รูปแอปเปิ้ลครับ
ส่วน iPad Air 2 รุ่น Wifi + Cellular หรือรุ่นที่ใส่ซิมเพื่อเล่นเน็ตได้นั้น ก็จะมีความแตกต่างจาก iPad Air 2 ที่เรารีวิวแค่เพียงช่องใส่ซิมเท่านั้นเองครับ ส่วนที่เหลือสามารถใช้อ้างอิงด้วยกันได้หมด เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงครับ อ่านรีวิว iPad Air 2 Wifi ก็ทดแทนกันได้สบายๆ
ภาพรวมในส่วนของรูปร่างหน้าตา iPad Air 2 ถ้ามองผ่านๆ (และไม่นับปุ่ม Touch ID) นั้นแทบจะแยกไม่ออกระหว่าง iPad Air กับ iPad Air 2 เลยครับ แต่สิ่งที่แตกต่างในส่วนของการดีไซน์ระหว่าง iPad Air กับ iPad Air 2 จะอยู่ที่รายละเอียดปลีกย่อย เช่น ใน iPad Air 2 จะตัดปุ่มปิดเสียงด้านข้างออก แล้วเปลี่ยนมาปิดเสียงใน Control Center แทน ส่วนกล้องหลังก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทั้งในตัวฮาร์ดแวร์เอง และการจัดวางตำแหน่งครับ เพราะกล้องหลังของ iPad Air 2 จะใช้เป็นกล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และมีตำแหน่งการวางที่ชิดมุมเครื่องมากกว่าเดิม รวมถึงขนาดตัวเครื่องโดยรวมมีความบางขึ้น และน้ำหนักเบาลงกว่าใน iPad Air รุ่นแรกอีกพอสมควร
ทีนี้ปัญหามันจะอยู่ที่การเลือกซื้อเคสมาใส่ครับ จริงอยู่ที่ iPad Air 2 มีรูปร่างต่างจาก iPad Air เพียงเล็กน้อย แต่ในเรื่องของเคสนี่จะใช้ร่วมกันไม่ได้ครับ จริงอยู่ที่เราสามารถยัดเจ้า iPad Air 2 เข้าไปในเคสของ iPad Air รุ่นแรกได้สบายๆ อาจจะมีอาการหลวมนิดหน่อย แต่ปัญหาหลักก็คือตำแหน่งของกล้องหลังที่เปลี่ยนไปนี่แหละครับ เพราะตำแหน่งของเคสที่เจาะรูไว้สำหรับกล้องหลังมันจะไม่ตรงกัน และเคสของ iPad Air รุ่นแรกก็จะบังเลนส์กล้องบางส่วนของ iPad Air 2 เพราะฉะนั้นใครที่ใช้ iPad Air รุ่นแรกอยู่แล้วอยากเปลี่ยนมาใช้ iPad Air 2 แนะนำให้ขายเครื่องเก่าพร้อมเคสไปเลยครับ
นอกเรื่องไปไกลเลย กลับมาที่รีวิว iPad Air 2 ของเรากันต่อครับ อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าดีไซน์ของ iPad Air 2 ก็ยังคงคล้ายกับ iPad Air รุ่นแรกอยู่ สำหรับผมก็ยังรู้สึกว่ามันสวยเหมือนเดิมครับ และยิ่งมีความบางกว่าเดิม รวมถึงน้ำหนักที่เบากว่าเดิม ทำให้การดีไซน์ของมันค่อนข้างใกล้เคียงกับคำว่าสมบูรณ์แบบขึ้นไปทุกที เอาเป็นว่าแค่ได้จับก็รู้สักประทับใจแล้วสำหรับแท็บเล็ต 9.7 นิ้ว แต่การจับถือด้วยมือข้างเดียวนี่ทำได้สบายเลย ถือนานๆ ก็ไม่ได้รู้สึกล้ามือแต่อย่างใด ต่อให้ใส่เคสที่มีฝาปิดก็ยังมีน้ำหนักในอยู่ระดับที่รับได้ ตรงนี้ต้องชมการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบที่มีจุดศูนย์ถ่วงค่อนข้างดีครับ
Air สมชื่อจริงๆ
สำหรับรายละเอียดด้านหน้าของ iPad Air 2 ออกแบบมาได้เรียบๆ เช่นเคยครับ นอกจากหน้าจอขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียดระดับ Retina Display ที่มีการปรับปรุงจากรุ่นเดิม ด้านหน้าก็มีเพียงแค่ปุ่มโฮมที่เป็น Touch ID กับกล้องหน้าสำหรับ Facetime รุ่นปรับปรุงใหม่ ความละเอียด 1.2 ล้านพิกเซลเท่านั้นเอง ส่วนพื้นที่ขอบจอก็ถือว่าแคบกว่าแท็บเล็ตทั่วไปครับ แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้ได้จับถือตัวเครื่องสะดวกอยู่ ตรงนี้เชื่อว่าบางคนอาจจะสงสัยว่าทำไม Apple ไม่ทำให้ขอบจอมันบางกว่านี้ ก็ต้องบอกว่าพื้นที่ขอบจอสำหรับแท็บเล็ตถือว่าสำคัญนะครับ เพราะในการจับถือตัวเครื่องแท็บเล็ตเราจะใช้การจับในลักษณะที่ใช้มือข้างหนึ่งถือเครื่อง แล้วใช้มืออีกข้างในการจิ้มหน้าจอ หรือในการอ่าน E-Book บนแท็บเล็ตส่วนมากก็จะใช้มือข้างเดียวในการถืออ่าน ซึ่งการมีขอบจอจะช่วยให้จับถือตัวเครื่องแท็บเล็ตได้สะดวกยิ่งขึ้นครับ โดยที่มือเราจะได้ไม่ไปรบกวนพื้นที่หน้าจอ ไม่เหมือนอย่างมือถือที่จะทำขอบจอบางแค่ไหนก็ได้ เพราะพื้นที่ขอบจอสำหรับสมาร์ทโฟนนั้นถือว่าไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่นัก
มาถึงด้านข้างของ iPad Air 2 กันบ้างครับ กรอบด้านข้างของ iPad Air 2 จะเป็นชิ้นเดียวกับฝาหลัง อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเครื่องแบบ Unibody ที่จะใช้การขึ้นรูปด้วยโลหะเพียงชิ้นเดียว รายละเอียดด้านข้างของ iPad Air 2 เริ่มจากด้านขวามือ (หันหน้าจอเข้าหาตัว) จะประกอบไปด้วยปุ่มปรับระดับเสียง (ไม่มีปุ่มตัดเสียง) ด้านล่างจะเป็นลำโพงหลักของตัวเครื่อง ที่ดีไซน์เป็นแบบใหม่ คือออกมาเป็นรูๆ แถวเดียว กับช่องเสียบสาย Lightning ไว้สำหรับ Sync กับคอมพิวเตอร์ ส่วนปุ่ม Sleep/Wake หรือปุ่ม Power กับช่องเสียบหูฟังจะอยู่ทางด้านบนของตัวเครื่องครับ โดยขอบด้านข้างของ iPad Air 2 เหมือนจะออกแบบมาให้ทนรอยขีดข่วนมากกว่าเดิมพอสมควรครับ เพราะตอนที่รีวิว iPad Air 2 นี่ผมก็ไม่ได้ใส่เคสแต่อย่างใด เท่าที่เล่นมาประมาณ 2 สัปดาห์ก็ไม่พบว่าขอบตัวเครื่องมีรอยขนแมวนะครับ
ด้านหลังของ iPad Air 2 ก็จะคล้ายๆ กับรุ่นก่อนครับ ไม่ค่อยมีรายละเอียดอะไรมากมาย มีเพียงกล้องหลัง iSight ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กับไมค์ตัดเสียง แล้วก็โลโก้ Apple ตรงกลางเท่านั้นเอง วัสดุก็อย่างที่บอกไปว่าใช้เป็นอลูมิเนียมชิ้นเดียวขึ้นรูปแบบ Unibody ให้สัมผัสในการจับที่ค่อนข้างดีครับ แต่ปัญหาของฝาหลัง iPad Air 2 จะอยู่ที่มันเป็นรอยได้ค่อนข้างง่าย และที่สำคัญใน iPad Air 2 เนี่ย Apple พยายามทำให้มันบางกว่าเดิม ทีนี้มันเลยมีปัญหาเวลาที่เราเปิดเสียงจากลำโพงหลักของ iPad Air 2 เพราะตัวเครื่องบริเวณลำโพงนั้นจะสั่นจนรู้สึกได้เลยหล่ะ ส่วนในเรื่องความแข็งแรง ที่ว่างอได้งอไม่ได้ ตรงนี้บอกเลยครับว่าถ้าพยายามจะงอเครื่องยังไง iPad Air 2 ก็ไม่รอดครับ งอแน่นอน 100% แต่เท่าที่ดูคลิปทดสอบ หากเป็นการงอเครื่องจากด้านหลังเหมือนจะทำได้ยากมาก เพราะตัววัสดุที่ใช้มีความยืดหยุ่นพอสมควรเลย แต่ถ้างอจากหน้าจอหล่ะก็…ไม่เหลือครับ เอาเป็นว่าถ้าไม่มันมือหยิบขึ้นมางอเล่นเนี่ย iPad Air 2 ก็ถือเป็นแท็บเล็ตที่แข็งแรงมากรุ่นหนึ่งเลยครับ งานประกอบนี่อย่างเนียน
อยากจะได้แท็บเล็ตแรงๆ เล่นเกม
เนียนๆ น้ำหนักเบา พกพาง่ายใช่
ไหม….ก็ iPad Air 2 ไง!!
ถามว่า iPad Air 2 งอได้ไหม
ก็ต้องบอกว่างอได้
ถ้าพยายามจะงอมันอะนะ
สเปคแรง น้ำหนักเบา แบตอึด จอสวย พกพาสะดวก ยังจะอยากได้อะไรอีกไหม?
จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของ iPad Air 2 ที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้นั่นก็คือหน้าจอครับ หน้าจอของ iPad ตั้งแต่รุ่นที่ใช้จอ Retina เป็นต้นมา (รู้สึกจะเป็น Gen 3 The New iPad ที่ตกรุ่นเร็วๆ นั่นแหละ) จะค่อนข้างได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีจากยูสเซอร์อยู่เสมอ และใน iPad Air 2 นี่ก็ไม่น่าจะทำให้ผิดหวังกันครับ สำหรับจอภาพ Retina Display ขนาด 9.7 นิ้ว ความละเอียด 2048×1536 พิกเซล 264 ppi ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ เรียกว่าออกแบบใหม่เลยจะดีกว่าครับ เพราะ Apple ต้องการทำให้ตัวเครื่อง iPad Air 2 มีความบางมากกว่าเดิม จึงได้เริ่มปฏิวัติตั้งแต่หน้าจอที่เป็นการรวมเลเยอร์ที่แต่เดิมมี 3 เลเยอร์เข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะได้จอภาพที่บางกว่าเดิมแล้ว ยังส่งผลดีต่อการแสดงผลด้วยครับ สีสันที่ได้จากหน้าจอมีความสดใสยิ่งขึ้น คอนทราสต์จัดกว่าเดิม และที่สำคัญมีการเคลือบสารกันสะท้อน โดย Apple เคลมว่าจอภาพของ iPad Air 2 เนี่ยเป็นจอภาพที่มีแสงสะท้อนน้อยที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตรุ่นอื่นๆ ซึ่งจากการใช้งานก็ต้องบอกว่าจริงอย่างที่ว่าครับ เพราะหน้าจอของ iPad Air 2 นี่ทำออกมาได้เนียนจริงๆ แสงสะท้อนที่หน้าจอมีน้อยกว่าเดิมมาก ต่อให้ใช้งานกลางแดดจัดก็ยังเร่งแสงหน้าจอสู้แดดได้สบายๆ
ภาพรวมในส่วนของการดีไซน์ iPad Air 2 ก็ถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของ Apple ครับ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ ความบางและน้ำหนักของตัวเครื่องที่พัฒนาไปจากเดิม ทำให้การจับถือ iPad Air 2 ทำได้ค่อนข้างสะดวก ถือนานๆ ไม่ค่อยล้าเหมือนรุ่นก่อน วัสดุที่ใช้ก็จัดว่าพรีเมียมสมราคาค่าตัว และยังมีการพัฒนาขึ้นไปจากรุ่นก่อนๆ เพราะนอกจากจะบางและเบากว่าเดิมแล้ว หน้าจอก็ถือว่าอยู่ในระดับท็อปของแท็บเล็ต ณ เวลานี้ เป็นจอภาพที่มีคุณภาพดีทีเดียวครับ ไม่ว่าจะใช้ทำงาน หรือจะใช้เป็นเครื่องเอ็นเตอร์เทน เช่น เล่นเกม, อ่าน E-Book, เล่นอินเทอร์เน็ต และดูหนัง ด้วยการแสดงผลที่ให้สีสันสดใสและเป็นธรรมชาติของจอภาพ Retina Display ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่บน iPad Air 2 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การซื้อแท็บเล็ตซักเครื่องมันมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะครับ แค่การดีไซน์อาจจะไม่สามารถบอกได้ว่ามันดีพอที่เราจะจ่ายเงินซื้อหรือไม่ เพราะฉะนั้นเลื่อนลงมาดูรีวิว iPad Air 2 ในส่วนของซอฟท์แวร์ตัวระบบปฏิบัติการต่อเลยครับ
http://specphone.com/web/review-ipad-air-2/119711 < ดูตามลิ้งนี้ครับ