สวัสดีครับมีเรื่องขอปรึกษาและขอคำแนะนำครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับญาติสนิทคนหนึ่ง สมมุติชื่อคุณเอ และคุณยายคนหนึ่ง ผู้เสียชีวิต (สมมุติชื่อคุณยาย D) ซึ่งรู้จักสนิทสนมกันดีเนื่องจากหลังจากคุณยาย D กลับจากประเทศลาว (คนไทยแต่มีสามีเป็นคนลาว) แล้วกลับมาบ้านเกิดแกไม่มีที่ปลูกบ้านพ่อตาคุณเอ เลยให้แกปลูกบ้านอยู่บนที่ดินแกฟรีๆ ตามประสาคนในหมู่บ้านเดียวกัน
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อคุณเอลางานกลับบ้านเพื่อเกี่ยวข้าว และขากลับจากทุ่งนาคุณเอซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีมีหลานสาว 2 คนนั่งมาด้วย อายุประมาณ 3 ขวบและ 4 ขวบ คนหนึ่งนั่งหน้าคนขับอีกคนนั่งซ้อนท้าย ระหว่างทางเจอคุณยาย D ซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการขุดปูนาขอนั่งซ้อนท้ายมาด้วย และในระหว่างทางแกพลัดตกรถจักรยานยนต์เสียชีวิต
เบื้องต้นลูกหลานแกก็ไม่ติดใจเอาความเนื่องจากเคยมีบุญคุณต่อกัน และคุณยาย D ผู้เสียชีวิตอายุมากแล้ว (78 ปี 10 เดือน) และก่อนที่แกจะไปหาปูนั้น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านบอกว่าแกความดันสูง และเจ้าของเถียงนาในพื้นที่แกไปหาปูบอกว่า คุณยายมาที่เถียงนาแกบอกว่าเหนื่อยเหมือนจะเป็นลม แกเลยให้กล้วยไปสามลูก แต่ในระหว่างเสียชีวิตเจอกล้วยสองลูก เข้าใจว่ากินไปลูกนึง
หลังเกิดเหตุลูกชายแกไปแจ้งความบอกว่าคุณแม่พลัดตกรถจักรยานยนต์ตาย และไม่ประสงค์จะเอาความกับผู้ขับขี่ และนำใบแจ้งความไปนำศพออกมาจากโรงพยาบาลประจำจังหวัด
แพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดระบุสาเหตุการตายว่าพลัดตกรถจักรยานยนต์
หลังจากนำศพออกมานำมาทำพิธีทางศาสนาที่วัดหนึ่งคืนแล้วก็ทำการฌาปนกิจ เนื่องจากลูกหลานมีฐานะไม่ค่อยดีนัก
โดยระหว่างงานศพคุณเอผู้ขับขี่ ได้ดำเนินการช่วยเหลืองานศพเกือบทุกอย่างและจ่ายเงินช่วยเหลือตามสมควรเนื่องจากคุณเอก็มีฐานะไม่ค่อยดีนัก (แกต้องจากครอบครัวมาทำงานที่ภาคกลางเกือบสามสิบปีแล้ว)
หลังงานศพผ่านไปสี่ห้าวันลูกชายและลูกเขยผู้ตายกลับเปลี่ยนใจเรียกร้องเงินจากคุณเออีกก้อนโดยแจ้งว่า แกไปแจ้งความกับตำรวจอีกรอบแล้วแต่ตำรวจไม่รับแจ้งให้กลับมาไกลเกลี่ยกันก่อน โดยแกต้องการเงินเท่าๆนี้ๆ แล้วจะไม่เอาอะไรอีก
ผมจึงอยากทราบว่า
1. เป็นไปได้หรือไม่ที่ตำรวจจะไม่รับแจ้งความ
2. ตอนแจ้งความครั้งแรกลงบันทึกว่าจะไม่เอาความเพราะว่ามีบุญคุณต่อกัน ภายหลังจะกลับมาเอาความกันอีกได้หรือไม่
3. ถ้าเกิดมีการสู้คดีกันมีโอกาสที่คุณเอจะชนะไหม เพราะญาติๆหลายคนมองว่าถ้าจ่ายไปก็จะไม่จบอยู่ดีเนื่องจากลูกคุณยาย D เป็นคนชอบดื่มและต้องการเงิน และก็จะโดนเรียกร้องเงินตลอด และเหตุที่คุณยาย D พลัดตกจากรถก็เป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากคุณเอขับขี่โดยใช้ความเร็วปกติเนื่องจากมีเด็กเล็กอยู่ด้วย และถนนก็เป็นทางลูกรังสำหรับชาวบ้านเดินทางไปท้องทุ่งนา และคาดกันว่าคุณยาย D จะหมดสติเลยพลัดตกจากรถเพราะแกไม่ดึงเสื้อเด็กเล็กที่อยู่ระหว่างแกกับผู้ขับขี่เลย (ถ้าไม่หมดสติน่าจะคว้าอะไรไว้บ้างระหว่างตกรถ)
4. ถ้าสู้คดีกันจะเสียค่าดำเนินการจนจบคดีความเยอะไหม เพราะฐานะทางการเงินของคุณเอ ติดลบอยู่ (หาเงินไถ่ถอนที่นาจาก ธกส.)
มีโอกาสไหมที่ศาลจะยกฟ้องเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยครับ
ป.ล. คุณเอ อายุ 58 ปีแล้วครับ
เรียนปรึกษาเรื่องมีผู้สูงอายุขอซ้อนท้ายจักรยานยนต์แล้วพลัดตกเสียชีวิต
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดกับญาติสนิทคนหนึ่ง สมมุติชื่อคุณเอ และคุณยายคนหนึ่ง ผู้เสียชีวิต (สมมุติชื่อคุณยาย D) ซึ่งรู้จักสนิทสนมกันดีเนื่องจากหลังจากคุณยาย D กลับจากประเทศลาว (คนไทยแต่มีสามีเป็นคนลาว) แล้วกลับมาบ้านเกิดแกไม่มีที่ปลูกบ้านพ่อตาคุณเอ เลยให้แกปลูกบ้านอยู่บนที่ดินแกฟรีๆ ตามประสาคนในหมู่บ้านเดียวกัน
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อคุณเอลางานกลับบ้านเพื่อเกี่ยวข้าว และขากลับจากทุ่งนาคุณเอซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีมีหลานสาว 2 คนนั่งมาด้วย อายุประมาณ 3 ขวบและ 4 ขวบ คนหนึ่งนั่งหน้าคนขับอีกคนนั่งซ้อนท้าย ระหว่างทางเจอคุณยาย D ซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากการขุดปูนาขอนั่งซ้อนท้ายมาด้วย และในระหว่างทางแกพลัดตกรถจักรยานยนต์เสียชีวิต
เบื้องต้นลูกหลานแกก็ไม่ติดใจเอาความเนื่องจากเคยมีบุญคุณต่อกัน และคุณยาย D ผู้เสียชีวิตอายุมากแล้ว (78 ปี 10 เดือน) และก่อนที่แกจะไปหาปูนั้น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านบอกว่าแกความดันสูง และเจ้าของเถียงนาในพื้นที่แกไปหาปูบอกว่า คุณยายมาที่เถียงนาแกบอกว่าเหนื่อยเหมือนจะเป็นลม แกเลยให้กล้วยไปสามลูก แต่ในระหว่างเสียชีวิตเจอกล้วยสองลูก เข้าใจว่ากินไปลูกนึง
หลังเกิดเหตุลูกชายแกไปแจ้งความบอกว่าคุณแม่พลัดตกรถจักรยานยนต์ตาย และไม่ประสงค์จะเอาความกับผู้ขับขี่ และนำใบแจ้งความไปนำศพออกมาจากโรงพยาบาลประจำจังหวัด
แพทย์ประจำโรงพยาบาลจังหวัดระบุสาเหตุการตายว่าพลัดตกรถจักรยานยนต์
หลังจากนำศพออกมานำมาทำพิธีทางศาสนาที่วัดหนึ่งคืนแล้วก็ทำการฌาปนกิจ เนื่องจากลูกหลานมีฐานะไม่ค่อยดีนัก
โดยระหว่างงานศพคุณเอผู้ขับขี่ ได้ดำเนินการช่วยเหลืองานศพเกือบทุกอย่างและจ่ายเงินช่วยเหลือตามสมควรเนื่องจากคุณเอก็มีฐานะไม่ค่อยดีนัก (แกต้องจากครอบครัวมาทำงานที่ภาคกลางเกือบสามสิบปีแล้ว)
หลังงานศพผ่านไปสี่ห้าวันลูกชายและลูกเขยผู้ตายกลับเปลี่ยนใจเรียกร้องเงินจากคุณเออีกก้อนโดยแจ้งว่า แกไปแจ้งความกับตำรวจอีกรอบแล้วแต่ตำรวจไม่รับแจ้งให้กลับมาไกลเกลี่ยกันก่อน โดยแกต้องการเงินเท่าๆนี้ๆ แล้วจะไม่เอาอะไรอีก
ผมจึงอยากทราบว่า
1. เป็นไปได้หรือไม่ที่ตำรวจจะไม่รับแจ้งความ
2. ตอนแจ้งความครั้งแรกลงบันทึกว่าจะไม่เอาความเพราะว่ามีบุญคุณต่อกัน ภายหลังจะกลับมาเอาความกันอีกได้หรือไม่
3. ถ้าเกิดมีการสู้คดีกันมีโอกาสที่คุณเอจะชนะไหม เพราะญาติๆหลายคนมองว่าถ้าจ่ายไปก็จะไม่จบอยู่ดีเนื่องจากลูกคุณยาย D เป็นคนชอบดื่มและต้องการเงิน และก็จะโดนเรียกร้องเงินตลอด และเหตุที่คุณยาย D พลัดตกจากรถก็เป็นเหตุสุดวิสัยเนื่องจากคุณเอขับขี่โดยใช้ความเร็วปกติเนื่องจากมีเด็กเล็กอยู่ด้วย และถนนก็เป็นทางลูกรังสำหรับชาวบ้านเดินทางไปท้องทุ่งนา และคาดกันว่าคุณยาย D จะหมดสติเลยพลัดตกจากรถเพราะแกไม่ดึงเสื้อเด็กเล็กที่อยู่ระหว่างแกกับผู้ขับขี่เลย (ถ้าไม่หมดสติน่าจะคว้าอะไรไว้บ้างระหว่างตกรถ)
4. ถ้าสู้คดีกันจะเสียค่าดำเนินการจนจบคดีความเยอะไหม เพราะฐานะทางการเงินของคุณเอ ติดลบอยู่ (หาเงินไถ่ถอนที่นาจาก ธกส.)
มีโอกาสไหมที่ศาลจะยกฟ้องเพราะเป็นเหตุสุดวิสัยครับ
ป.ล. คุณเอ อายุ 58 ปีแล้วครับ