มีคำถามถามป้ามาว่าหนูอยากประสบความสำเร็จแต่หนูไม่รู้จะทำอย่างไรและหนูทำงานแทบตายแต่เงินเดือนไม่ขึ้นตำแหน่งไม่ขึ้นควรทำไง

จากกระทู้เตือนติ่ง http://pantip.com/topic/32872350 ก็ได้มีคำถามที่น่าสนใจมากมา 2 คำถามจนน่าที่จะนำมาตั้งกระทู้ใหม่ ให้คนที่ทำงานเงินเดือนและเข้าข่ายคำถามนี้อยู่ดู  รวมถึงที่ถามว่า หนูอยากประสบความสำเร็จแต่หนูไม่รู้จะทำอย่างไร อันที่จริงคำถามที่ 2 นั้นป้าได้ตอบแล้วในความเห็นที่ 232
ส่วนคำถามแรก ป้าจะขอตอบอย่างนี้แล้วกันนะคะ

ก่อนอื่นป้าอยากจะบอกผู้อ่านก่อนว่า Style การเขียนของป้านั้นค่อนข้างตรงๆ และยกตัวเองชัดเจน บางทีอาจกระทบความรู้สึก แต่บางอย่างเราต้องมองโลก มองสังคมตามความเป็นจริง การพูดอ้อมค้อมบางทีไม่เกิดประโยชน์ ยิ่งสำหรับบางคนยิ่งไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าพูดอ้อมค้อม จะเริ่มแล้วนะ อย่างที่หลายคนบอกนี่จะเป็นอีก 1 กระทู้พลีชีพนะคะ

การที่พนักงานส่วนใหญ่พูดว่าทำงานแทบตายเงินเดือนไม่ขึ้น นายจ้างเห็นแก่ตัว ป้าอยากจะถามให้คิดนิดนึงว่าจริงหรอ แน่นอนมีอย่างนี้แน่ แต่ก็ไม่เสมอไป ส่วนน้อยด้วยซ้ำ เราอยากลองทดสอบนายจ้างไหมละ ว่าตัวเองทำงานได้ดีเหมาะสมการขึ้นเงินเดือนหรือเลื่อนตำแหน่งหรือยัง ง่ายๆ "ลาออก" คะ ทำไมนะหรอ

ถ้าสิ่งที่หนูทุ่มเทให้บริษัท หรือห้างร้านนั้นหนูคิดว่าทำดีแล้ว หนูทุ่มเทแล้ว และสิ่งเหล่านี้แน่นอนจะทำให้บริษัท ห้างร้าน ได้กำไรเพิ่มขึ้น แม้บางทีเราจะเป็นฟันเฟืองเล็กๆในบริษัท แต่งานที่หนูทำจะสะท้อนกำไรที่มากขึ้น หรือลดลงด้วยเช่นกัน เช่นถ้าหนูบริการดี เอาใจใส่ดี พัฒนาความรู้ความสามารถในงานที่หนูทำไม่ว่าจะทำงานอะไร จนแนะนำลูกค้าได้ดี ลูกค้าก็มาใช้บริการคุณมากขึ้น บริษัทก็ได้กำไรมากขึ้น หรือ ถ้าทำงานสายวิชาชีพบางอย่างที่ต้องแข่งขันกับเวลา ถ้าหนูรับงานมาหนูสามารถทำเสร็จตรงเวลา หรือก่อนเวลามอบหมาย ด้วยความทุ่มเท ไม่ใช่ว่าพอเข้างานก็จ้องแต่เวลาเลิกงาน ถ้างานไม่เสร็จและหนูประเมิณแล้วว่า กำหนดการที่บริษัทได้กำหนดนั้น มันจะถึงแล้ว หนูก็ต้องขยายเวลาการทำงาน อะไรก็แล้วแต่เพื่อให้งานนั้นออกมาเสร็จทันกำหนด ไม่ว่าจะเป็นสายงานบริการ สายงานวิชาชีพต่างๆ รวมทั้งสายงานการผลิต แน่นอนสิ่งเหล่านี้ก็สะท้อนผลกำไรให้บริษัทมากขึ้น บริษัทสามารถรับงานได้เพิ่มขึ้น และเมื่อทำงานเสร็จตรงเวลาหรือว่าเร็วกว่ากำหนด แน่นอนบริษัทยังได้กำไรอย่างที่บริษัทคาดหมายและตั้งเป้าไว้ และเสร็จเร็วกว่ากำหนด บริษัทก็ได้กำไรมากขึ้น หรือพนักงานขาย ถ้าเราเพิ่มทักษะเรียนรู้ศึกษาสินค้านั้นมากขึ้น ขยันหาลูกค้ามากขึ้น บริการลูกค้าดีขึ้น บริษัทก็จะได้ผลกำไรมากขึ้น หรือแม้กระทั่งพนักงานสายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบัญชี ธุรการ เลขา และพนักงานขาย และทุกอย่างหากทำงานดี  มันจะสะท้อนผลกำไรของบริษัทมากขึ้นแน่นอน  แล้วถามว่าทำงานเหนื่อยแทบตายบริษัทได้กำไร แล้วเราได้อะไร ถ้าคิดอย่างนี้แล้วเราจะสมควรได้เลื่อนตำแหน่ง หรือเงินเดือนมากขึ้นหรือ?

สิ่งที่เราทำนอกจาก บริษัทที่เราทำอยู่ ได้ผลกำไรมากขึ้นแล้ว เรายังได้ทักษะมากขึ้น ยังได้นิสัยขยันติดตัว และชอบเรียนรู้ติดตัว และยังมีความรู้เพิ่มขึ้นอีก สิ่งเหล่านี้บางทีเพิ่มขึ้นอย่างมากจนพวกหนูบางทีอาจไม่รู้ตัวเลยว่า หนูแข็งแกร่งขึ้น ถ้ามองในอีกแง่มุมคือต้องขอบคุณบริษัทด้วยซ้ำที่ช่วยให้โอกาสเราเสริมทักษะที่แข็งแกร่ง และบริษัทก็ได้ผลกำไรเพิ่มขึ้น

มาถึงตรงนี้ทำไมป้าบอกว่าการทดสอบตัวเองว่ามีคุณค่าควรขึ้นเงินเดือน ได้รับโบนัสงามๆ ได้เลื่อนตำแหน่ง คือการลาออก จากที่ป้าได้อธิบายไว้เบื้องต้น หนูคิดว่า บริษัทเขาจะปล่อยหนูไปหรอ ถ้าหนูเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ส่งผลถึงกำไรบริษัทขนาดนั้น หรือบริษัทอื่นจะไม่ต้องการหนูหรอถ้าหนูทุ่มเท และพัฒนาทักษะได้ระดับนี้ อย่างที่บอกแม้กระทั่งเลขายังส่งผลกำไรให้บริษัทได้เลย เช่นรู้ตารางเจ้านายดีๆ เตือนเจ้านายดีๆเรื่องกำหนดการ รู้จักคนที่เจ้านายเขาไปพบ หรือจะทำการนัดหมาย หรือรู้ว่าลูกค้าที่เจ้านายจะไปพบชอบอะไร ชอบทานอะไร ควรจะดูแลอย่างไร สิ่งเหล่านี้จะช่วยเจ้านายได้มากในการทำงาน และช่วยให้งานสำเร็จมากขึ้น หนูเห็นยังถ้าหนูดีพอ บริษัทเขาไม่ปล่อยหนูไปไหนหรอก เขาจะขึ้นเงินเดือนให้หนูเพื่อฉุดรั้งหนูไว้ เขาจะหาทางเพื่อให้หนูทำงานกับเขา บางทีการไม่ต้องลาออก เขาจะขึ้นเงินเดือนให้เองด้วยซ้ำ เลื่อนตำแหน่งให้เองด้วยซ้ำ เพื่อซื้อใจหนู เพราะบริษัท ห้างร้าน กิจการนั้นต้องการคนอย่างหนู อย่างที่บอกการให้เทสด้วยการลาออก ไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่แค่พูดให้รู้และประเมิณตนเองได้ว่า เราทุ่มเทจริงจรังให้บริษัทแล้วจริงหรือ? เพราะการบอกลาออก จะทำให้เจ้านายคิดว่าคุณเล่นลูกเล่น ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว แค่ยกตัวอย่างให้ฉุดคิด แต่หากหนูยังไม่รู้ตัวเองจริงๆก็ลองทดสอบดูได้

บริษัท ห้างร้าน หรือ กิจการ ไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีพนักงาน พนักงานก็อยู่ไม่ได้หากไม่มีกิจการ มันคือทุกสิ่งทุกอย่างเกื้อกูลกัน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่านั่นเอง
ถ้าได้อ่านข้อความเหล่านี้แล้วลองคิด ลองประเมินตัวเองดู ว่าสิ่งที่เราทุ่มเทไปนั้น เราทุ่มเทจริงรึเปล่า ขยันเพิ่มทักษะในสายงานของเราหรือยัง เราบริการดีมากพอหรือยัง เราใส่ใจเจ้านายและบริษัทดีขนาดไหน แล้วทำงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จตามกำหนด หรือเสร็จก่อนหรือไม่ ถ้ายัง เราก็ควรถามตัวเองแล้วว่า เราทุ่มเทให้บริษัทแล้วจริงหรอ? บางทีมันเป็นช่วงจังหวะชีวิต เช่นในช่วงวัยรุ่นเรามีแรงเยอะ เราก็ควรจัดสรรเวลา มันคือช่วงเวลาสร้างเนื้อสร้างตัว ดีเราก็ควรที่จะรู้ว่า คุณจะทุ่มเทเวลาให้กับอะไรมากที่สุด ถึงจะเหมาะสมกับสถานะของตนคะ อย่างนี้เรียกว่ายอมลำบาก

ตอนต้นสบายยาวๆ ตอนปลายนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่