ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีชาวพันทิป ก่อนนะครับ เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาตั้งกระทู้แบบนี้ ก่อนที่มาตั้งกระทู้ ผมก็เป็นนักอ่านมาก่อน ปกติจะอ่านอย่างเดียว ไม่แสดงความคิดเห็นหรือว่าตั้งกระทู้เลย บางทีเห็นกระทู้คำถาม ประมาณว่า "ถ้า... ทำอย่างไรดี" หรือพวก "เราเป็น.... ควร... ดีไหม" ก็คิดในใจนะว่า คนพวกนี้น่าจะลองแก้ไขปัญหาก่อนด้วยตัวเองนะ ก่อนจะมาตั้งคำถามอะไรแบบนี้ แต่วันนี้ ผมได้เข้าใจเขาพวกนั้นแล้ว ผมคิดว่า พวกเขาเหล่านั้น คงได้จัดการทุกอย่างด้วยตนเอง และคงทนกับปัญหาของพวกเขามานานมากแล้ว มากจนไม่อาจจะเก็บไว้คนเดียวได้ พวกเขาเลยหาทางเลือก ที่จะขอความช่วยเหลือ จากสังคม หรืออย่างน้อย ก็ได้เล่าเรื่องราวที่เก็บมานาน ให้กับใครสักคน ได้รับรู้
เขาเรื่องกันดีกว่านะครับ ผมเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน เท่าที่จำความได้ เมื่อก่อน บ้านผมเป็นบ้านที่อบอุ่นมาก แม้ครอบครัวของผม จะไม่สมบูรณ์สักเท่าไร เนื่องจาก พ่อของผม ได้เลิกกับแม่ไป แต่ก็ไม่ได้ทิ้งไปเลยซะทีเดียว เพราะพ่อยังให้ของขวัญ ให้เงิน แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดสามารถส่งเสียเรียนได้ ถึงอย่างนั้นแล้ว เมื่อก่อนครอบครัวของผมก็ยังเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ผมชอบกลับมาบ้าน มาอ่านหนังสือ ที่บ้านผมมีหนังสือเยอะครับ และผมก็เป็นนักอ่านตัวยงเลย เมื่อสมัยก่อน แต่แล้ว เรื่องมันกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ในความที่เป็นลูกคนเดียว และยังเป็นลูกชายอีก ผมคิดนะ ว่าครอบครัวคงหวังไว้กับผมมาก ผมพยายามเต็มที่ แต่เมื่อเข้า ม. ต้น ผมกลับไม่ได้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงสักเท่าไร ช่วง ม. ต้น ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวอนุเสาว์รีย์ ซึ่งใกล้กับที่ทำงานของแม่ครับ จะได้ไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆ โรงเรียนที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องเ็กเกเรเยอะครับ มีข่าวตีรันฟันแทงเยอะมาก แถมเมื่อ 2-3 ปี ที่แล้ว ยังมีระเบิดมาวางไว้ที่หน้าโรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้น ผมเลือกคบเพื่อนที่ดีครับ ถึงแม้เพื่อนผม จะสูบบุหรี่ แต่มันก็ไม่เคยชวนผมดูดสักครั้ง อีกทั้งยังเตือนอีกด้วยว่ามันไม่ดี
เมื่อผมขึ้น ม.2 (ลืมบอกไปว่า ผมเรียนห้อง GEP หรือพูดภาษาบ้านๆ ว่าห้องคณิต วิทย์ แต่เรียนแบบเข้มข้นกว่าคนอื่นนั่นเองครับ) ผมได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งครับ เธอหน้าตาไม่ได้สวยอะไรมากหรอกครับ แต่เราสองคนรักกัน ความจริง พูดว่ารักคงไม่ถูก เพราะเธอเคยบอกไว้ว่า "เราจะยังไม่รู้จักคำว่ารัก จนกระทั่ง เราอยากที่จะยอมตายเพื่อมัน และสิ่งที่เราจะยอมตายเพื่อมัน นั่นแหละ เรียกว่ารัก" นั่นแหละครับ ทำให้ผมชอบเธอมาก ช่วงแรกที่คบกัน ผมไม่อยากให้ครอบครัวของผมรู้ เลยไม่ได้พูดอะไรไป แต่กลับกัน ครอบครัวของเธอ รู้เร็วมากครับ และไม่ค่อยชอบให้มีแฟนกันในตอนเรียนด้วย แต่ผมก็ไม่ยอม ไปอธิบายกับพ่อของเธอว่า เราคบกัน ไม่ได้เพื่อหวังที่จะพากันไปเสียผู้เสียคน แต่เราคบกัน เพื่อที่จะให้ทั้งเราทั้งสองคน ได้มีอนาคตที่ดีครับ หลังจากที่ผมพิสูจน์ตัวเอง ทางครอบครัวของเธอ ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ระหว่างที่พบคบกับเธอ ผมก็พยายามเรื่องเรียนไปด้วย ถึงแม้เกรดจะออกมาไม่ดีเท่าที่ควร แต่ทุกๆเทอม ผมก็ได้เกรดประมาณ 3.5+ ทุกเทอม แต่ดูเหมือนนั่นยังไม่พอสำหรับแม่ของผม แม่ผมหวังกับผมไว้มาก ตอนนั้น ผมฝันว่า โตขึ้น ผมจะไปเป็นวิศวะกร แต่ความฝันนั้นถูกหยุดลง เนื่องจาก ทางครอบครัวอยากให้ผมเป็นหมอ ซึ่งผมไม่ชอบเอาเสียเลย
ในตอน ม.3 ครอบครัวของผม เริ่มรู้เรื่องที่ผมกับแฟน คบกัน และเริ่มถามว่า ทำไมถึงมีแฟนตอนเรียน ทำไมไม่รอให้เรียนเสร็จก่อน อะไรประมาณนี้ แต่ก็ไม่ได้กีดกัน หรือบังคับให้เลิก แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกันอีก ในช่วง ม.3 เป็นช่วงพีคของผม ดูเหมือนอะไรก็เข้าทางไปหมด ทั้งเพื่อน การเรียน แฟน หรือการแข่งขันต่างๆ ผมเป็นเด็กกิจกรรม จะว่ากิจกรรม ก็ไม่ถูก เพราะกิจกรรมที่ว่า เป็นการแข่งขันทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งหุ่นยนต์ที่ ม. มหิดล แข่งตักศิลา ที่ ม. จุฬา แข่งคณิตคิดเร็วของ ทาโร่ ส่วนใหญ่จะสามารถหอบเอาใยประกาศ หรือถ้วยรางวัลมาให้โรงเรียนซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อมีข้อดี ย่อมมีข้อเสีย ผมเริ่มไม่มีเวลาที่จะทำงานของโรงเรียน พวกการบ้าน หรืองานที่ อ. สั่ง ทำให้เกรดของผมตกลง หรือ 3.5 เศษ และนั่นคือปัญหาใหญ่ของบ้านผมครับ ผมเริ่มทะเลาะกับคนในบ้านบ่อยครั้ง เพราะไม่มีเวลาอ่านหนังสือ และเกรดตก แต่โชคดี ผมยังมีแฟนที่คอยให้กำลังใจ และยังมีเพื่อน ที่ทำให้ผมยิ้มได้ ในตอนปลาย ม.3 ผมต้องย้ายบ้านไปแถบรังสิต นั่นทำให้ผมต้องไปสอบที่โรงเรียนอื่น ประกอบด้วย แฟนของผมก็ตกลงที่จะไปตามสายพาณิชญ์ เนื่องจากฐานะของครอบครัว ไม่ใช่ครอบครัวที่รวยมาก เลยต้องเรียนมาเพื่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ให้เร็วที่สุด ซึ่งผมก็เข้าใจถึงเหตุผล ก็เลยปล่อยเธอไป ตามทางของเธอ เมื่อเริ่ม ฤดูกาลสอบเข้า ผมเข้าไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวๆรังสิต เป็นโรงเรียนที่มีชื่อในระดับหนึ่ง และเมื่อถึงวันประกาศผล ในเว็บของโรงเรียน กลับมีชื่อผมอยู่ในนั้น และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนของผม
เริ่มเข้า ม.4 บรรยากาศใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ครูใหม่ๆ เสื้อใหม่ๆ บ้านใหม่ ทุกอย่างดูใหม่หมดสำหรับผม ในช่วงแรกผมยังไม่กล้าเข้าหาใคร เนื่องจากโรงเรียนเป็นโรงเรียนใหญ่ และนักเรียนส่วนมาก จะมีฐานะค่อนข้างสูง เทียบกับผมแล้ว ฐานะของครอบครัวผม จะดูธรรมดาไปเลย แต่ในห้องเรียน ผมก็ยังมีเพื่อน ที่คุยกันได้บ้าง และก็ยังมีเพื่อนจากโรงเรียนเก่า ที่ยังคอยติดต่อถามสาระทุกข์สุกดิบกันอยู่ นั่นก็ทำให้ผม ไม่ได้เหงามาก ในสังคมใหม่ๆ ที่นี่ การเรียนที่นี่เป็นเรื่องยาก เนื่องจากโรงเรียนเก่าที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้เรียน เพราะไปทำกิจกรรมเยอะซะส่วนใหญ่ พื้นฐานเลยไม่ค่อยแน่น ทำให้ต้องพยายามตักตวงความมรู้เก่าๆ กลับมา แต่ทว่า มันไม่ทัน เกรดเทอมแรก ผมตกแบบที่ม่เคยเป็นมาก่อน เหลือ 2.9 เศษๆ เท่านั้น ครอบครัวของผมตกใจมาก และถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเกรด โดยไม่สนใจว่า ความรู้สึกของคนที่เกรดลดลงมาเยอะขนาดนี้เป็นอย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ในเทอมสอง ผมมุ่งไปที่คณิตศาสตร์ เนื่องจากเป็นวิชา ที่เข้าใจง่าย คิดตามได้ง่ายกว่าวิชาสายวิทย์ (ลืมบอกอีกแล้ว ผมยังเรียนสาย GEP เหมือนเดิมนะครับ) หลังจากที่ไปขลุกอยู่กับหมวดคณิตศาสตร์อยู่นานสองนาน ผมก็ถูกทาบทามให้ไปแข่งศิลปหัตถ์กรรม ผ่านเข้ารอบแค่ระดับจังหวัด และก็ไปจอดที่ระดับภาค ผมไม่เสียใจหรอกนะครับ ที่ผมแพ้ แต่ไอสิ่งที่เสียใจคือ ทุกอย่างที่ทำ งนทั้งหมด ผมทำเพื่อโรงเรียน ผมพึ่งมาแค่ปีแรก แต่ผมกลับหลงรักโรงเรียนนี้อย่างบอกไม่ถูก แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมา คือคำว่า "ทำไมไม่ตั้งใจเรียน" ของคนที่เป็นความหวังเดียวของผม "แม่" น้ำตาลูกผู้ชาย ที่ไม่ได้ไหลมานาน ผมปล่อนมันออกมา โดยแทบจะไม่อั้นไว้แม้แต่หยดเดียว ผมรู้ ณ ตอนนั้นเลยว่า กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ผมแทบจะหมดหวัง หมดกำลังใจที่จะเดินต่อ แต่เหมือนมีคนส่องไฟฉายไปที่ทางออก ผมได้เจอกับเพื่อนสนิท สมัยผมอยู่ ม. ต้น เธอเข้ามาให้กำลังใจผม และตอนปลายเทอม เธอก็ได้เข้ามาเป็นแฟนผมด้วย
ช่วงปิดเทอม ผมเริ่มเหลวไหล เนื่องจากที่บ้าน บังคับให้เรียน ไม่ชอบให้ทำกิจกรรมอะไร อยู่บ้านก็มีแต่เสียงให้อ่านหนังสือ ส่วนตัว ผมคิดว่าหนังสือ มันก็แค่ตำราที่อยู่ในกระดาษ ถึงแม้คนเราจะอ่านหนังสือไปมากเท่าไร ก็ไม่เท่ากับได้สัมพัสกับประสบการ์ณในชีวิตจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมทิ้งการเรียนไปเลย ผมยังสนใจการเรียนอยู่ และเกรดของผม ก็เพิ่มมา 0.2 ครับ แต่ถ้าถามว่านั่นทำให้ครอบครัวของผมพอใจไหม แน่นอนว่าไม่ครับผม แต่ผมก็ไม่ค่อยใส่ใจหรอกครับ เนื่องจากผมเริ่มชิน และเมื่อมีปัญหา ผมก็ยังมีคนคอยช่วยให้กำลังใจอยู่ และแน่นอน คติเดิมครับ เรามีแฟน ไว้เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีแฟนเพื่อพากันเที่ยว และเนื่องจากผมกับแฟน ห่างกันไกลพอสมควร จึงไม่ค่อยได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อนสักเท่าไร แต่ทุกครั้งที่ไป เมื่อกลับมา ก็จะโดนว่าเมื่อถึงบ้านทุกครั้ง
ช่วงเปิดเทอม 2 ผมกับแฟน เริ่มๆห่างกันไป จนสุดท้ายรู้สถานะของกันและกัน ตอนแรกผมก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ ผมก็คุยกับเธอคนนั้น เหมือนเป็นเพื่อนกันปกติ แต่มีวันหนึ่ง ผมคุยกับเธอ และอยู่ๆ เธอโกรธขึ้นมา เธอบอกว่า แม่ของผม บอกให้เธอเลิกคุยกับผม คงกลัวว่าผมจะเสียผู้เสียคนล่ะมั้งครับ นั่นเป็นเหตุการ์ณที่ ผมรับไม่ได้อย่างรุนแรง ผมโกรธมาก ไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน แต่ถามว่าผมทำอะไรได้ไหม ผมทำไม่ได้หรอกครับ แต่ผมก็คุยกับเธอคนนั้น ได้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ของเหตุการ์หลังจากนี้ครับ เพราะว่า หลังจากที่ผม ไม่มีคนที่คอยให้ความหวัง ให้กำลังใจ เหลืออยู่แล้ว อีกทั้ง กลับมาบ้าน ก็ยังเจอคำว่า คำบ่น ถ้ามีคุณพ่อ คุณแม่ ของเด็กคนไหนอ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ผมขอร้องแทนลูกๆของคุณพ่อ คุณแม่นะครับ อย่าถามเลยครับว่า มีการบ้านหรือเปล่า เพราะถ้าลูกของคุณพ่อ คุณแม่ อยากทำ เขาก็ทำเองแหละครับ แต่ถ้าเขาไม่อยากทำ ต่อให้คุณไปบังคับขู่เข็นยังไง เขาก็ไม่ทำหรอกครับ ถึงแม้เขาทำ งานออกมามันก็ไม่ได้ดีหรอกครับ เพราะฉะนั้น ให้เขากำหนดอนาคตของตัวเองดีกว่าครับ
เปิดเทอม ม.5 ด้วยการสอบ สอบ สอบ ผมสอบแทบทุกวัน เครียดมาก อ่านหนังสือแทบทุกวัน ผมเริ่มเป็นปกติ เพราะช่วงปิดเทอม ได้ไปเข้าค่ายที่ ม. จุฬา ได้เปิดโลกอะไรใหม่ๆ ได้เจอเพื่อนใหม่ กล้าอะไรๆมากขึ้น และได้เป็นผู้นำบ้าน ซึ่งในค่ายจะมีทั้งหมด 10 บ้าน บ้านละประมาณ 20 คน ที่ค่ายผมได้เจอพี่ี่ดี เพื่อนดีๆ หลายคนมาก นั่นทำให้ผม หายเครียดมาขึ้น ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะ ไม่ได้โดนบังคับอ่านหนังสือ ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอถึงเปิดเทอม เจอกับการสอบ การอ่านหนังสือแทบทุกวัน ความสุขทที่สะสมมาจากค่าย กลับค่อยๆแยกตัวออกไป วันล่ะครึ่ง วันล่ะครึ่ง จนกลายมาเป็นเหมือนเดิม ผมเริ่มไม่ค่อยคุยกับคนในบ้าน เพราะไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรได้ คุยกับแม่เรื่องอะไรก็ตาม แม่ก็จะโยงเรื่องเรียนแทบทุกครั้ง ผมพยายามปรับ แต่หมือนในหัวของครอบครัวผม มีแค่เรื่องเดียว คือการเรียน ผมทำกิจกรรมไม่ขาด เพราะกลัวว่า ถ้าเกรดน้อย อาจจะยังคงมีพอร์ตเพื่อยื่น ม. ดังๆได้ เพราะถ้าไม่ใช่ ม. ดัง ผมคงไม่ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาอย่างแน่นอน และแน่นอนครับ ปัญหาเดิม เมื่อผมทำกิจกรรม ผมก็จะไม่ค่อยมีเวลาเรียน ที่โรงเรียน คุณครู เพื่อน ทุกคนเข้าใจครับ ทุกคนช่วยเหลือผม มีแต่ที่บ้าน ผมกลับบ้าน เพราะว่ามันเป็นที่ที่เดียว ที่ผมสามารถนอนได้อย่างสงบ พูดตรงๆ เลยว่า ผมยังไม่แน่ใจเลยว่า เลข 4 บนสมุดพก กับ ผม แม่รักอะไรมากกว่ากัน ผมทะเลาะกับแม่บ่อยมาก แต่คราวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมไม่มีกำลังใจ ไม่มีความหวัง ทุกอย่างที่พลักผมไปข้างหน้าคือ ผมยังเห็นอนาคตของผมอยู่ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยชัดเจนก็ตาม
เมื่อไม่นานมานี้ โรงเรียนของผม เปิดกิจกรรมครั้งใหญ่ เป็นกิจกรรมไตรภาค และปีผมเป็นผีสุดท้าย ต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ทำให้ผมต้องนอนโรงเรียน และนั่นสร้างความไม่พอใจให้กับครอบครัวของผมเป็นอย่างยิ่ง แม่เริ่มไม่เข้าใจ ทำไมถึงทุ่มเทให้กับกิจกรรม มากกว่าการเรียน ทำไมไม่อ่านหนังสือ เนื่องจาก ผมเริ่มหันหน้าเข้าสู่กราฟฟิค และมุ่งหวังเพื่อที่จะเป็นกราฟฟิค ดีไซเนอร์ และมันเริ่มมีคนในโลกออนไลน์ มาจ้างผมวาดรูปต่างๆ หรือออกแบบ บัตรงาน โปสเตอร์ โดยให้เงินเล็กน้อยเป็นค่าตอบแทน ผมเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แต่มันดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ เหมือนผมควรจะเรียนลูกเดียว ส่วนงานอย่างอื่นไม่ต้องทำก็ได้ ไม่มีแม้แต่คำชม ไม่มีความหวัง ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าจะทนเหตุการ์ณแบบนี้ ไปอีกนานแค่ไหน ยิ่งเหตุการ์ณแบบนี้ เกิดแทบจะถี่ขึ้น ทุกวันๆ สิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีชีวิตได้ คือผมรักครอบครัว ถ้าไม่มีผม ครอบครัวก็คงไม่มีความหวัง ถ้าไม่มีผม ครอบครัวก็คงไม่มีใครเป็นเสาหลัก ทุกวันนี้ กำลังใจของผม เกิดจากเสียงดนตรี ที่ผมเล่นคีย์บอร์ดมา และงานกราฟฟิค ที่ผมนั่งทำเพื่อระบายอารมณ์ส่วนตัว และเพื่อนสนิท ที่คอยให้คำปรึกษา ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยปรึกษา เพราะผมคิดว่า เพื่อนมันไม่ใช่กระดาษทิชชู่ ที่ต้องมาคอยรองรับน้ำตาของใคร
แม่ผมอ่านพันทิปบ่อยมาก ไม่รู้จะได้อ่านกระทู้นี้หรือเปล่า แต่ถ้าได้อ่าน ก็ขอให้ข้าใจ ความรู้สึกของคนที่ภูกกกดดัน คนที่เป็นความหวังของบ้าน
อยากให้รู้ว่า "ความหวังเริ่มไม่มีหวังแล้ว"
ขอบคุณนะครับที่อ่านมาถึงตรงนี้
[ระบาย] ถ้ามีครอบครัวแบบนี้ ควรทำตัวอย่างไรดีครับ
เขาเรื่องกันดีกว่านะครับ ผมเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน เท่าที่จำความได้ เมื่อก่อน บ้านผมเป็นบ้านที่อบอุ่นมาก แม้ครอบครัวของผม จะไม่สมบูรณ์สักเท่าไร เนื่องจาก พ่อของผม ได้เลิกกับแม่ไป แต่ก็ไม่ได้ทิ้งไปเลยซะทีเดียว เพราะพ่อยังให้ของขวัญ ให้เงิน แต่ก็ไม่ได้มากถึงขนาดสามารถส่งเสียเรียนได้ ถึงอย่างนั้นแล้ว เมื่อก่อนครอบครัวของผมก็ยังเป็นครอบครัวที่อบอุ่น ผมชอบกลับมาบ้าน มาอ่านหนังสือ ที่บ้านผมมีหนังสือเยอะครับ และผมก็เป็นนักอ่านตัวยงเลย เมื่อสมัยก่อน แต่แล้ว เรื่องมันกลับไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด ในความที่เป็นลูกคนเดียว และยังเป็นลูกชายอีก ผมคิดนะ ว่าครอบครัวคงหวังไว้กับผมมาก ผมพยายามเต็มที่ แต่เมื่อเข้า ม. ต้น ผมกลับไม่ได้เข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงสักเท่าไร ช่วง ม. ต้น ผมเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวอนุเสาว์รีย์ ซึ่งใกล้กับที่ทำงานของแม่ครับ จะได้ไปมาหาสู่กันได้ง่ายๆ โรงเรียนที่นั่นขึ้นชื่อเรื่องเ็กเกเรเยอะครับ มีข่าวตีรันฟันแทงเยอะมาก แถมเมื่อ 2-3 ปี ที่แล้ว ยังมีระเบิดมาวางไว้ที่หน้าโรงเรียน แต่ถึงอย่างนั้น ผมเลือกคบเพื่อนที่ดีครับ ถึงแม้เพื่อนผม จะสูบบุหรี่ แต่มันก็ไม่เคยชวนผมดูดสักครั้ง อีกทั้งยังเตือนอีกด้วยว่ามันไม่ดี
เมื่อผมขึ้น ม.2 (ลืมบอกไปว่า ผมเรียนห้อง GEP หรือพูดภาษาบ้านๆ ว่าห้องคณิต วิทย์ แต่เรียนแบบเข้มข้นกว่าคนอื่นนั่นเองครับ) ผมได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งครับ เธอหน้าตาไม่ได้สวยอะไรมากหรอกครับ แต่เราสองคนรักกัน ความจริง พูดว่ารักคงไม่ถูก เพราะเธอเคยบอกไว้ว่า "เราจะยังไม่รู้จักคำว่ารัก จนกระทั่ง เราอยากที่จะยอมตายเพื่อมัน และสิ่งที่เราจะยอมตายเพื่อมัน นั่นแหละ เรียกว่ารัก" นั่นแหละครับ ทำให้ผมชอบเธอมาก ช่วงแรกที่คบกัน ผมไม่อยากให้ครอบครัวของผมรู้ เลยไม่ได้พูดอะไรไป แต่กลับกัน ครอบครัวของเธอ รู้เร็วมากครับ และไม่ค่อยชอบให้มีแฟนกันในตอนเรียนด้วย แต่ผมก็ไม่ยอม ไปอธิบายกับพ่อของเธอว่า เราคบกัน ไม่ได้เพื่อหวังที่จะพากันไปเสียผู้เสียคน แต่เราคบกัน เพื่อที่จะให้ทั้งเราทั้งสองคน ได้มีอนาคตที่ดีครับ หลังจากที่ผมพิสูจน์ตัวเอง ทางครอบครัวของเธอ ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร ระหว่างที่พบคบกับเธอ ผมก็พยายามเรื่องเรียนไปด้วย ถึงแม้เกรดจะออกมาไม่ดีเท่าที่ควร แต่ทุกๆเทอม ผมก็ได้เกรดประมาณ 3.5+ ทุกเทอม แต่ดูเหมือนนั่นยังไม่พอสำหรับแม่ของผม แม่ผมหวังกับผมไว้มาก ตอนนั้น ผมฝันว่า โตขึ้น ผมจะไปเป็นวิศวะกร แต่ความฝันนั้นถูกหยุดลง เนื่องจาก ทางครอบครัวอยากให้ผมเป็นหมอ ซึ่งผมไม่ชอบเอาเสียเลย
ในตอน ม.3 ครอบครัวของผม เริ่มรู้เรื่องที่ผมกับแฟน คบกัน และเริ่มถามว่า ทำไมถึงมีแฟนตอนเรียน ทำไมไม่รอให้เรียนเสร็จก่อน อะไรประมาณนี้ แต่ก็ไม่ได้กีดกัน หรือบังคับให้เลิก แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยกันอีก ในช่วง ม.3 เป็นช่วงพีคของผม ดูเหมือนอะไรก็เข้าทางไปหมด ทั้งเพื่อน การเรียน แฟน หรือการแข่งขันต่างๆ ผมเป็นเด็กกิจกรรม จะว่ากิจกรรม ก็ไม่ถูก เพราะกิจกรรมที่ว่า เป็นการแข่งขันทางวิชาการ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งหุ่นยนต์ที่ ม. มหิดล แข่งตักศิลา ที่ ม. จุฬา แข่งคณิตคิดเร็วของ ทาโร่ ส่วนใหญ่จะสามารถหอบเอาใยประกาศ หรือถ้วยรางวัลมาให้โรงเรียนซะเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อมีข้อดี ย่อมมีข้อเสีย ผมเริ่มไม่มีเวลาที่จะทำงานของโรงเรียน พวกการบ้าน หรืองานที่ อ. สั่ง ทำให้เกรดของผมตกลง หรือ 3.5 เศษ และนั่นคือปัญหาใหญ่ของบ้านผมครับ ผมเริ่มทะเลาะกับคนในบ้านบ่อยครั้ง เพราะไม่มีเวลาอ่านหนังสือ และเกรดตก แต่โชคดี ผมยังมีแฟนที่คอยให้กำลังใจ และยังมีเพื่อน ที่ทำให้ผมยิ้มได้ ในตอนปลาย ม.3 ผมต้องย้ายบ้านไปแถบรังสิต นั่นทำให้ผมต้องไปสอบที่โรงเรียนอื่น ประกอบด้วย แฟนของผมก็ตกลงที่จะไปตามสายพาณิชญ์ เนื่องจากฐานะของครอบครัว ไม่ใช่ครอบครัวที่รวยมาก เลยต้องเรียนมาเพื่อทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ให้เร็วที่สุด ซึ่งผมก็เข้าใจถึงเหตุผล ก็เลยปล่อยเธอไป ตามทางของเธอ เมื่อเริ่ม ฤดูกาลสอบเข้า ผมเข้าไปเรียนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แถวๆรังสิต เป็นโรงเรียนที่มีชื่อในระดับหนึ่ง และเมื่อถึงวันประกาศผล ในเว็บของโรงเรียน กลับมีชื่อผมอยู่ในนั้น และนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนของผม
เริ่มเข้า ม.4 บรรยากาศใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ ครูใหม่ๆ เสื้อใหม่ๆ บ้านใหม่ ทุกอย่างดูใหม่หมดสำหรับผม ในช่วงแรกผมยังไม่กล้าเข้าหาใคร เนื่องจากโรงเรียนเป็นโรงเรียนใหญ่ และนักเรียนส่วนมาก จะมีฐานะค่อนข้างสูง เทียบกับผมแล้ว ฐานะของครอบครัวผม จะดูธรรมดาไปเลย แต่ในห้องเรียน ผมก็ยังมีเพื่อน ที่คุยกันได้บ้าง และก็ยังมีเพื่อนจากโรงเรียนเก่า ที่ยังคอยติดต่อถามสาระทุกข์สุกดิบกันอยู่ นั่นก็ทำให้ผม ไม่ได้เหงามาก ในสังคมใหม่ๆ ที่นี่ การเรียนที่นี่เป็นเรื่องยาก เนื่องจากโรงเรียนเก่าที่ผ่านมา ผมไม่ค่อยได้เรียน เพราะไปทำกิจกรรมเยอะซะส่วนใหญ่ พื้นฐานเลยไม่ค่อยแน่น ทำให้ต้องพยายามตักตวงความมรู้เก่าๆ กลับมา แต่ทว่า มันไม่ทัน เกรดเทอมแรก ผมตกแบบที่ม่เคยเป็นมาก่อน เหลือ 2.9 เศษๆ เท่านั้น ครอบครัวของผมตกใจมาก และถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเกรด โดยไม่สนใจว่า ความรู้สึกของคนที่เกรดลดลงมาเยอะขนาดนี้เป็นอย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจ ในเทอมสอง ผมมุ่งไปที่คณิตศาสตร์ เนื่องจากเป็นวิชา ที่เข้าใจง่าย คิดตามได้ง่ายกว่าวิชาสายวิทย์ (ลืมบอกอีกแล้ว ผมยังเรียนสาย GEP เหมือนเดิมนะครับ) หลังจากที่ไปขลุกอยู่กับหมวดคณิตศาสตร์อยู่นานสองนาน ผมก็ถูกทาบทามให้ไปแข่งศิลปหัตถ์กรรม ผ่านเข้ารอบแค่ระดับจังหวัด และก็ไปจอดที่ระดับภาค ผมไม่เสียใจหรอกนะครับ ที่ผมแพ้ แต่ไอสิ่งที่เสียใจคือ ทุกอย่างที่ทำ งนทั้งหมด ผมทำเพื่อโรงเรียน ผมพึ่งมาแค่ปีแรก แต่ผมกลับหลงรักโรงเรียนนี้อย่างบอกไม่ถูก แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับมา คือคำว่า "ทำไมไม่ตั้งใจเรียน" ของคนที่เป็นความหวังเดียวของผม "แม่" น้ำตาลูกผู้ชาย ที่ไม่ได้ไหลมานาน ผมปล่อนมันออกมา โดยแทบจะไม่อั้นไว้แม้แต่หยดเดียว ผมรู้ ณ ตอนนั้นเลยว่า กำลังใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก ผมแทบจะหมดหวัง หมดกำลังใจที่จะเดินต่อ แต่เหมือนมีคนส่องไฟฉายไปที่ทางออก ผมได้เจอกับเพื่อนสนิท สมัยผมอยู่ ม. ต้น เธอเข้ามาให้กำลังใจผม และตอนปลายเทอม เธอก็ได้เข้ามาเป็นแฟนผมด้วย
ช่วงปิดเทอม ผมเริ่มเหลวไหล เนื่องจากที่บ้าน บังคับให้เรียน ไม่ชอบให้ทำกิจกรรมอะไร อยู่บ้านก็มีแต่เสียงให้อ่านหนังสือ ส่วนตัว ผมคิดว่าหนังสือ มันก็แค่ตำราที่อยู่ในกระดาษ ถึงแม้คนเราจะอ่านหนังสือไปมากเท่าไร ก็ไม่เท่ากับได้สัมพัสกับประสบการ์ณในชีวิตจริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าผมทิ้งการเรียนไปเลย ผมยังสนใจการเรียนอยู่ และเกรดของผม ก็เพิ่มมา 0.2 ครับ แต่ถ้าถามว่านั่นทำให้ครอบครัวของผมพอใจไหม แน่นอนว่าไม่ครับผม แต่ผมก็ไม่ค่อยใส่ใจหรอกครับ เนื่องจากผมเริ่มชิน และเมื่อมีปัญหา ผมก็ยังมีคนคอยช่วยให้กำลังใจอยู่ และแน่นอน คติเดิมครับ เรามีแฟน ไว้เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ไม่ได้มีแฟนเพื่อพากันเที่ยว และเนื่องจากผมกับแฟน ห่างกันไกลพอสมควร จึงไม่ค่อยได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อนสักเท่าไร แต่ทุกครั้งที่ไป เมื่อกลับมา ก็จะโดนว่าเมื่อถึงบ้านทุกครั้ง
ช่วงเปิดเทอม 2 ผมกับแฟน เริ่มๆห่างกันไป จนสุดท้ายรู้สถานะของกันและกัน ตอนแรกผมก็ไม่ได้อะไรหรอกครับ ผมก็คุยกับเธอคนนั้น เหมือนเป็นเพื่อนกันปกติ แต่มีวันหนึ่ง ผมคุยกับเธอ และอยู่ๆ เธอโกรธขึ้นมา เธอบอกว่า แม่ของผม บอกให้เธอเลิกคุยกับผม คงกลัวว่าผมจะเสียผู้เสียคนล่ะมั้งครับ นั่นเป็นเหตุการ์ณที่ ผมรับไม่ได้อย่างรุนแรง ผมโกรธมาก ไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน แต่ถามว่าผมทำอะไรได้ไหม ผมทำไม่ได้หรอกครับ แต่ผมก็คุยกับเธอคนนั้น ได้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้น ของเหตุการ์หลังจากนี้ครับ เพราะว่า หลังจากที่ผม ไม่มีคนที่คอยให้ความหวัง ให้กำลังใจ เหลืออยู่แล้ว อีกทั้ง กลับมาบ้าน ก็ยังเจอคำว่า คำบ่น ถ้ามีคุณพ่อ คุณแม่ ของเด็กคนไหนอ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ผมขอร้องแทนลูกๆของคุณพ่อ คุณแม่นะครับ อย่าถามเลยครับว่า มีการบ้านหรือเปล่า เพราะถ้าลูกของคุณพ่อ คุณแม่ อยากทำ เขาก็ทำเองแหละครับ แต่ถ้าเขาไม่อยากทำ ต่อให้คุณไปบังคับขู่เข็นยังไง เขาก็ไม่ทำหรอกครับ ถึงแม้เขาทำ งานออกมามันก็ไม่ได้ดีหรอกครับ เพราะฉะนั้น ให้เขากำหนดอนาคตของตัวเองดีกว่าครับ
เปิดเทอม ม.5 ด้วยการสอบ สอบ สอบ ผมสอบแทบทุกวัน เครียดมาก อ่านหนังสือแทบทุกวัน ผมเริ่มเป็นปกติ เพราะช่วงปิดเทอม ได้ไปเข้าค่ายที่ ม. จุฬา ได้เปิดโลกอะไรใหม่ๆ ได้เจอเพื่อนใหม่ กล้าอะไรๆมากขึ้น และได้เป็นผู้นำบ้าน ซึ่งในค่ายจะมีทั้งหมด 10 บ้าน บ้านละประมาณ 20 คน ที่ค่ายผมได้เจอพี่ี่ดี เพื่อนดีๆ หลายคนมาก นั่นทำให้ผม หายเครียดมาขึ้น ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะ ไม่ได้โดนบังคับอ่านหนังสือ ด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พอถึงเปิดเทอม เจอกับการสอบ การอ่านหนังสือแทบทุกวัน ความสุขทที่สะสมมาจากค่าย กลับค่อยๆแยกตัวออกไป วันล่ะครึ่ง วันล่ะครึ่ง จนกลายมาเป็นเหมือนเดิม ผมเริ่มไม่ค่อยคุยกับคนในบ้าน เพราะไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรได้ คุยกับแม่เรื่องอะไรก็ตาม แม่ก็จะโยงเรื่องเรียนแทบทุกครั้ง ผมพยายามปรับ แต่หมือนในหัวของครอบครัวผม มีแค่เรื่องเดียว คือการเรียน ผมทำกิจกรรมไม่ขาด เพราะกลัวว่า ถ้าเกรดน้อย อาจจะยังคงมีพอร์ตเพื่อยื่น ม. ดังๆได้ เพราะถ้าไม่ใช่ ม. ดัง ผมคงไม่ได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาอย่างแน่นอน และแน่นอนครับ ปัญหาเดิม เมื่อผมทำกิจกรรม ผมก็จะไม่ค่อยมีเวลาเรียน ที่โรงเรียน คุณครู เพื่อน ทุกคนเข้าใจครับ ทุกคนช่วยเหลือผม มีแต่ที่บ้าน ผมกลับบ้าน เพราะว่ามันเป็นที่ที่เดียว ที่ผมสามารถนอนได้อย่างสงบ พูดตรงๆ เลยว่า ผมยังไม่แน่ใจเลยว่า เลข 4 บนสมุดพก กับ ผม แม่รักอะไรมากกว่ากัน ผมทะเลาะกับแม่บ่อยมาก แต่คราวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน ผมไม่มีกำลังใจ ไม่มีความหวัง ทุกอย่างที่พลักผมไปข้างหน้าคือ ผมยังเห็นอนาคตของผมอยู่ ถึงแม้มันจะไม่ค่อยชัดเจนก็ตาม
เมื่อไม่นานมานี้ โรงเรียนของผม เปิดกิจกรรมครั้งใหญ่ เป็นกิจกรรมไตรภาค และปีผมเป็นผีสุดท้าย ต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี ทำให้ผมต้องนอนโรงเรียน และนั่นสร้างความไม่พอใจให้กับครอบครัวของผมเป็นอย่างยิ่ง แม่เริ่มไม่เข้าใจ ทำไมถึงทุ่มเทให้กับกิจกรรม มากกว่าการเรียน ทำไมไม่อ่านหนังสือ เนื่องจาก ผมเริ่มหันหน้าเข้าสู่กราฟฟิค และมุ่งหวังเพื่อที่จะเป็นกราฟฟิค ดีไซเนอร์ และมันเริ่มมีคนในโลกออนไลน์ มาจ้างผมวาดรูปต่างๆ หรือออกแบบ บัตรงาน โปสเตอร์ โดยให้เงินเล็กน้อยเป็นค่าตอบแทน ผมเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง แต่มันดูเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระ เหมือนผมควรจะเรียนลูกเดียว ส่วนงานอย่างอื่นไม่ต้องทำก็ได้ ไม่มีแม้แต่คำชม ไม่มีความหวัง ผมเริ่มไม่มั่นใจว่าจะทนเหตุการ์ณแบบนี้ ไปอีกนานแค่ไหน ยิ่งเหตุการ์ณแบบนี้ เกิดแทบจะถี่ขึ้น ทุกวันๆ สิ่งเดียวที่ทำให้ผมมีชีวิตได้ คือผมรักครอบครัว ถ้าไม่มีผม ครอบครัวก็คงไม่มีความหวัง ถ้าไม่มีผม ครอบครัวก็คงไม่มีใครเป็นเสาหลัก ทุกวันนี้ กำลังใจของผม เกิดจากเสียงดนตรี ที่ผมเล่นคีย์บอร์ดมา และงานกราฟฟิค ที่ผมนั่งทำเพื่อระบายอารมณ์ส่วนตัว และเพื่อนสนิท ที่คอยให้คำปรึกษา ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยปรึกษา เพราะผมคิดว่า เพื่อนมันไม่ใช่กระดาษทิชชู่ ที่ต้องมาคอยรองรับน้ำตาของใคร
แม่ผมอ่านพันทิปบ่อยมาก ไม่รู้จะได้อ่านกระทู้นี้หรือเปล่า แต่ถ้าได้อ่าน ก็ขอให้ข้าใจ ความรู้สึกของคนที่ภูกกกดดัน คนที่เป็นความหวังของบ้าน
อยากให้รู้ว่า "ความหวังเริ่มไม่มีหวังแล้ว"
ขอบคุณนะครับที่อ่านมาถึงตรงนี้