สองภาคแรกก็ชอบมาก สนุกในแบบที่หนังดีๆควรจะเป็น ดีทั้งบท งานสร้าง และการแสดง
ผมไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน เพราะเคยจับมาอ่านแล้วแปลไม่ค่อยดี เลยดูหนังเอาดีกว่า ทำมาดี
มาถึงภาค 3 นี้ก็เลยเดาว่าน่าจะโยงให้มีการแข่งขันฆ่ากันตายอีกจนได้เพราะมันก็ทำมาแบบนี้ทุกภาค
แล้วก็รู้สึกดีใจที่เค้าหั่นเป็นสองตอน เนื่องจากโดยปกติหนังสือเล่มนึงเวลาเอามาทำเป็นหนังมักชอบตัดรายละเอียดเพื่อให้อยู่ในเวลา
ถ้ามีเวลามากขึ้น รายละเอียดก็จะถูกตัดน้อยลง และถ้าคนทำมีฝีมือพอ คนดูก็จะอินกับหนังมากขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น
(เราถึงรู้สึกว่าดูซีรีย์สนุกกว่าดูหนังไง เพราะรายละเอียดมันได้ เวลามันพอ)
พอเข้าไปดูจริง เฮ้ย ภาค 3.1 นี่มันเจ๋งว่ะ คือไม่รู้จะยกความดีให้คุณคอลลินส์ คนเขียนหนังสือ ที่รู้จักสรรหาพล๊อตเรื่อง และการดำเนินเรื่องที่คาดเดาไม่ได้และพลิกผันตลอดเวลา หรือชมคนทำหนังที่กำกับและควบคุมจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบาแทรกอารมณ์ขัน และความตื่นเต้นตื่นตาเป็นระยะๆ ให้เราสนุกกับหนังอยู่ได้ตลอด
ใครที่บอกดูแล้วจะหลับนี่ แสดงว่าหนังแบบนี้ไม่ใช่แนวคุณแล้วล่ะ
แต่ถ้าใครชอบหนังแนวซัดกันด้วยกลยุทธ และเพลิดเพลินไปได้กับการพูดคุยของตัวละคร โดยไม่ต้องมีระเบิดตูมตามมากมาย เรื่องนี้ใช้ได้เลยล่ะ
แต่อันที่จริงหนังก็มีฉากใหญ่ๆ ชวนลุ้นใจหายใจคว่ำอยู่หลายช่วงเลยนะ สำหรับผมแค่นี้พอละ พอดีๆ เอาเวลาไปใส่ใจรายละเอียดอย่างอื่นบ้าง
และหัวใจสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ คือการแสดง ถ้าเราไปดูหนังที่สร้างจากวรรณกรรมขายดีหลายๆ เรื่องที่ออกฉายเยอะแยะในช่วงหลายปีมานี่ จะพบว่าหนังทีคว่ำส่วนใหญ่มีจุดอ่อนเรื่องทีมนักแสดงนี่แหละ ถ้าเล่นกากๆ คนดูไม่อิน แล้วมันจะเอาความสนุกมาจากไหน รายได้ก็แย่ไปตามระเบียบ
แต่ hunger game นี่ เล่นดีทุกคน โดยเฉพาะนางเอก ไม่ว่าคุณจะหมั่นใส้เจน ลอว์ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้ผมว่ายากจะหานักแสดงรุ่นเดียวกันมาเล่นได้ขนาดนี้นะ มันส่งเสริมให้หนังดูดีขึ้นมากจริงๆ
อีกอย่างประเด็นของการชิงไหวชิงพริบ ช่วงชิงพื้นที่สื่อในการปลุกระดมมวลชน นี่ก็ช่างร่วมสมัยแล้วก็สนุกมาก เก่งกันทั้งฝั่ง capitol และฝั่งกบฎ
หักมุมพลิกผันไปมาตลอด คนไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนนี่ตื่นเต้นมากครับเพราะไม่รู้เรื่องมันจะไปทางไหน
พอดีเพิ่งเรียนจบคอร์สด้านจิตวิทยามา เข้าใจเลยว่าที่นางเอกจิตใจมันย่ำแย่สับสนนี่ มันยังแย่ได้อีก ลุ้นอยู่ว่ามันจะถึงขั้นฆ่าตัวตายป่าววะ ก็เดาไปเรื่อยครับ นางเอกมันเจอมาหนักจริง
หนังก็ประมาณนี้ครับ พูดมาก ดราม่ามาก ชิงไหวชิงพริบการเมือง ตื่นเต้นพลิกผันหักมุมตลอด
ฉากงานสร้างต่างๆ ก็สมราคา ถือเป็นหนังดีอีกเรื่องของปีได้เลย
และผมว่าเค้าตัดจบตอนได้ดีนะ ไม่ค้างคาให้ทุรนทุรายมากนัก
9/10 ครับ ถึงไม่ชอบแนวนี้ แต่ไปดูการแสดงและงานสร้าง ก็คุ้มเงินอยู่ดี
Hunger game ดูไปดูมา ดันชอบภาคนี้ที่สุดแฮะ เพราะเกมจิตวิทยามวลชนนี่มันสนุกที่สุดแล้ว
ผมไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อน เพราะเคยจับมาอ่านแล้วแปลไม่ค่อยดี เลยดูหนังเอาดีกว่า ทำมาดี
มาถึงภาค 3 นี้ก็เลยเดาว่าน่าจะโยงให้มีการแข่งขันฆ่ากันตายอีกจนได้เพราะมันก็ทำมาแบบนี้ทุกภาค
แล้วก็รู้สึกดีใจที่เค้าหั่นเป็นสองตอน เนื่องจากโดยปกติหนังสือเล่มนึงเวลาเอามาทำเป็นหนังมักชอบตัดรายละเอียดเพื่อให้อยู่ในเวลา
ถ้ามีเวลามากขึ้น รายละเอียดก็จะถูกตัดน้อยลง และถ้าคนทำมีฝีมือพอ คนดูก็จะอินกับหนังมากขึ้น ผมเชื่ออย่างนั้น
(เราถึงรู้สึกว่าดูซีรีย์สนุกกว่าดูหนังไง เพราะรายละเอียดมันได้ เวลามันพอ)
พอเข้าไปดูจริง เฮ้ย ภาค 3.1 นี่มันเจ๋งว่ะ คือไม่รู้จะยกความดีให้คุณคอลลินส์ คนเขียนหนังสือ ที่รู้จักสรรหาพล๊อตเรื่อง และการดำเนินเรื่องที่คาดเดาไม่ได้และพลิกผันตลอดเวลา หรือชมคนทำหนังที่กำกับและควบคุมจังหวะผ่อนหนักผ่อนเบาแทรกอารมณ์ขัน และความตื่นเต้นตื่นตาเป็นระยะๆ ให้เราสนุกกับหนังอยู่ได้ตลอด
ใครที่บอกดูแล้วจะหลับนี่ แสดงว่าหนังแบบนี้ไม่ใช่แนวคุณแล้วล่ะ
แต่ถ้าใครชอบหนังแนวซัดกันด้วยกลยุทธ และเพลิดเพลินไปได้กับการพูดคุยของตัวละคร โดยไม่ต้องมีระเบิดตูมตามมากมาย เรื่องนี้ใช้ได้เลยล่ะ
แต่อันที่จริงหนังก็มีฉากใหญ่ๆ ชวนลุ้นใจหายใจคว่ำอยู่หลายช่วงเลยนะ สำหรับผมแค่นี้พอละ พอดีๆ เอาเวลาไปใส่ใจรายละเอียดอย่างอื่นบ้าง
และหัวใจสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จ คือการแสดง ถ้าเราไปดูหนังที่สร้างจากวรรณกรรมขายดีหลายๆ เรื่องที่ออกฉายเยอะแยะในช่วงหลายปีมานี่ จะพบว่าหนังทีคว่ำส่วนใหญ่มีจุดอ่อนเรื่องทีมนักแสดงนี่แหละ ถ้าเล่นกากๆ คนดูไม่อิน แล้วมันจะเอาความสนุกมาจากไหน รายได้ก็แย่ไปตามระเบียบ
แต่ hunger game นี่ เล่นดีทุกคน โดยเฉพาะนางเอก ไม่ว่าคุณจะหมั่นใส้เจน ลอว์ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่การแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้ผมว่ายากจะหานักแสดงรุ่นเดียวกันมาเล่นได้ขนาดนี้นะ มันส่งเสริมให้หนังดูดีขึ้นมากจริงๆ
อีกอย่างประเด็นของการชิงไหวชิงพริบ ช่วงชิงพื้นที่สื่อในการปลุกระดมมวลชน นี่ก็ช่างร่วมสมัยแล้วก็สนุกมาก เก่งกันทั้งฝั่ง capitol และฝั่งกบฎ
หักมุมพลิกผันไปมาตลอด คนไม่ได้อ่านหนังสือมาก่อนนี่ตื่นเต้นมากครับเพราะไม่รู้เรื่องมันจะไปทางไหน
พอดีเพิ่งเรียนจบคอร์สด้านจิตวิทยามา เข้าใจเลยว่าที่นางเอกจิตใจมันย่ำแย่สับสนนี่ มันยังแย่ได้อีก ลุ้นอยู่ว่ามันจะถึงขั้นฆ่าตัวตายป่าววะ ก็เดาไปเรื่อยครับ นางเอกมันเจอมาหนักจริง
หนังก็ประมาณนี้ครับ พูดมาก ดราม่ามาก ชิงไหวชิงพริบการเมือง ตื่นเต้นพลิกผันหักมุมตลอด
ฉากงานสร้างต่างๆ ก็สมราคา ถือเป็นหนังดีอีกเรื่องของปีได้เลย
และผมว่าเค้าตัดจบตอนได้ดีนะ ไม่ค้างคาให้ทุรนทุรายมากนัก
9/10 ครับ ถึงไม่ชอบแนวนี้ แต่ไปดูการแสดงและงานสร้าง ก็คุ้มเงินอยู่ดี