เมื่อตอนที่ฉันเข้าใกล้ความตายมากที่สุด !

เดี๋ยวนี้ได้ยินข่าววัยรุ่นฆ่าตัวตายก็มาก ผิดหวังเรื่องความรักบ้าง ผิดหวังเรื่องการเรียนบ้าง
หลายคนอาจคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นสิ้นคิด ไม่มีสติ ไม่รักตัวเอง ไม่คิดให้ยาวๆ ใช่ในความคิดคุณอาจเป็นแบบนั้น
แต่ในความคิดพวกเขามันไม่ใช่ เรื่องเล็กสำหรับหลายคน เรื่องที่หลายคนผ่านมาได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นอาจจะผ่านมันไปไม่ได้
เอาจริงๆ ทุกปัญหามันมีทางออกแหละ แต่ ณ ช่วงเวลาที่คนๆหนึ่งถึงจุดอ่อนแอที่กระทบกระเทือนจิตใจตัวเองที่สุดในชีวิต ถ้าผ่านมาได้ก็รอด ถ้าทิ้งความรู้สึก ความทุกข์เหล่านั้นไม่ได้ ก็จบ !!

ย้อนไป 7 ปีที่แล้ว เราก็ใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่นทั่วไป รักความอิสระ เราชอบเที่ยวนะ แต่ไม่บ้าผู้ชาย เที่ยวตามประสา ดูหนัง ร้องเพลง
เราเรียนห้องที่ต้องสอบเข้า เรียกว่าเกรดดีที่สุดของระดับชั้น เราไม่เคยเครียดเรื่องการเรียน เราเรียนแบบสบายๆ โดดบ้าง เรียนบ้าง ป่วยบ้าง แล้วช่วงที่เราแย่ที่สุดก็เข้ามาในชีวิตเรา ภูมิคุ้มกันในชีวิตอาจจะไม่มากพอ ตอนนั้นเรามีปัญหากับครอบครัวเรา ไม่มีใครเข้าใจเรา โดยเฉพาะพ่อเราอยู่ๆแกก็ห้ามเราออกจากบ้าน ถ้าจะไปก็ต้องไปกับแม่เท่านั้น เท่าที่จำเป็นด้วย !! เราไม่รู้เราทำผิดอะไร ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้แกก็ไม่เคยห้ามอะไร จากที่เรามีอิสระในชีวิต ตอนนี้มันไม่มีเลย วันๆเราอยู่แต่บ้าน ร้านค้าที่อยู่ห่างจากบ้านไม่ถึงกิโล เราก็ไปไม่ได้ ถ้าจะไปต้องไปกับแม่ ไม่ก็ฝากแม่ซื้อ ทุกอย่างมันกดดัน วันๆเราอยู่แต่ในห้อง เป็นแบบนี้ราวๆอาทิตย์นึง เราเครียดมาก เครียดสุดๆ ไม่มีใครเข้าใจเรา เราก็ไม่พูดกับใคร อย่างที่เราบอกเรารักอิสระมาก อารมณ์ตอนนั้นเหมือน นกที่มีอิสระ บินไปไหนก็ได้ แล้วสุดท้ายมันถูกจับมาอยู่แค่ในกรงแคบๆ แล้วเราก็ดันมาทะเลาะกับแม่อีก เอาสิ ! บ้านของเราตอนนั้นมีแค่พ่อ แม่ เรา พี่ๆไปทำงานต่างจังหวัดกันหมด ความกดดันมันมีขึ้นทุกวัน เราไม่พูดกับใคร เก็บตัวเงียบ  ร้องไห้ทุกวัน มันเหมือนไม่มีทางออก พูดกับใครไม่ได้ แม้กระทั่งคนเป็นพ่อแม่ อยู่ๆพ่อก็มาเผด็จการกับเรา ตอนนั้นเรารับไม่ได้จริงๆ ห้วงความคิดหนึ่งเราอยากตายๆไปให้พ้นๆ อยู่ไปทำไม ไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีเลย เราคิดแบบนั้นอยู่ 1-2 วัน ตอนนั้นอย่าถามถึงสติไม่มีเลย เราคิดสั้น สลับกันร้องไห้ทุกวัน ตอนนั้นเราคิดว่าวิธีนี้แหละที่จะปลดปล่อยเราจากทุกสิ่ง

เราเริ่มคิดว่าจะใช้วิธีไหนดี เราไปหยิบมีดมาลองจิ้มๆตัวเอง เราใจไม่แข็งพอ อีกวันนึงเราไปหยิบยามากรอกๆประมาณ 10 เม็ด ไม่มีอาการใดๆ เราไม่รู้สึกอะไร และวันรุ่งขึ้นเราคิดว่าเราพร้อมแล้ว เราเพิ่งกลับมาจากโรงเรียน ไม่มีใครพูดกับเราและเราไม่พูดกับใคร เราเก็บตัวเงียบอยู่ในห้องเหมือนเดิม ตอนนั้นพ่อแม่ออกไปวัดกัน คนแถวบ้านเสีย เราร้องไห้อยู่กับตัวเองสักพัก เราไปหยิบยาพาราเซตามอลมากระปุกนึง แล้วก็ยาอะไรไม่รู้ที่มีอยู่ เราจะจากโลกนี้ไปล่ะ เราอยากไป เราค่อยๆกินทีล่ะเม็ด ไม่ได้กรอกทีเดียว เรากินอย่างใจเย็น กินไปเรื่อยๆ มันมากกว่า 10 หรือ 20 เม็ด เรากินน้ำตามเรียบร้อย ตอนนั้นเราเหมือนคนโรคจิต ในสมองไม่มีความคิดอะไรแล้ว เราคิดว่าพ่อแม่คงจะกลับมาดึกๆตอนนั้นเราคงไปแล้วล่ะ เราขึ้นไปนอนบนเตียงกะจะหลับไปเลย แต่มันไม่ใช่ เหมือนยามันเริ่มออกฤทธิ์ เรามึนๆหัว รู้สึกเหมือนตัวเองลอยได้ แต่ตอนนั้นเรานอนอยู่นะ ผ่านไปสักชั่วโมงกว่า พ่อแม่เรากลับมาเร็ว แกเรียกเราไปเปิดประตูบ้านให้ เรียกอยู่พักใหญ่ เราก็ออกไปเปิด ตอนนั้นเดินไม่ตรงทางแล้ว เหมือนมันล่องลอย

แม่ก็เลยถามว่าเราทำอะไร เราไม่ตอบกลับเข้าห้องนอน นอนต่อ แม่ตามมา ถามว่าเราทำอะไร เรากินยาเข้าไปใช่มั้ย? เราไม่ตอบ เราเงียบ ตอนนั้นอาการมันแย่ มันเหมือนวิญญาณจะออกจากร่าง ล่องลอยมาก มีความรู้สึกนะ แต่เดินไม่ตรงทาง ไม่มีแรง control ไม่ได้ แม่ก็ถามๆ เราก็เงียบ จนแม่เรียกพ่อว่ามาพาเราไปโรงพยาบาล แม่เริ่มร้องไห้แล้ว ส่วนเราล่องลอย ไม่มีความรู้สึกใด ตอนนั้นเราได้ยินเหมือนพ่อจะด่าเราด้วยที่เราทำแบบนี้

พอถึงโรงพยายาล เรามีความรู้สึกนะ ได้ยินเสียง แต่เคลื่อนไหวอะไรไม่ได้แล้ว หมอและพยาบาลก็จัดการล้างท้อง โดยการที่เอาสายยาง สอดไปทางจมูกในลงไปในท้อง คือ มันโคตรทรมานมากตอนนั้น เจ็บมากๆ ตัวสะดุ้ง พยาบาลจับเราเอาไว้ เราจำความรู้สึกนั้นได้ดี แล้วหมอก็บ่นกึ่งด่าว่าทำร้ายตัวเองทำไม ไม่สงสารแม่บ้างเหรอ เราก็เงียบ สักพักก็ส่งตัวเราไป รพ ในตัวจังหวัด แม่ร้องไห้ตลอดทาง ว่าเราทำแบบนี้ทำไม? ตอนนั้นเราโกรธ โกรธทุกคน เราอยากไป พอถึง รพ ในตัวจังหวัด หมอก็บ่นเราอีก ตอนนั้นเราเจ็บจากการสวนสายเข้าไปในจมูก ไหนจะสายออกซิเจน มีบุรุษพยาบาล เอาที่แปะชีพจรจะมาแปะที่ตัวเรา ตอนนั้นเราไม่มีเสื้อชั้นในแล้ว เราไม่ให้เขาทำ เราจำได้พยาบาลผู้หญิงเลยมาจัดการแทน จากนั้นเขาก็ให้ยา เราก็ยังไม่ได้หลับไปนะ มันกึ่งๆสลึมสลือ ได้ยินทุกอย่างนะที่เขาพูดกัน คืนนั้นก็ผ่านไป ตื่นเช้ามาเขายังไม่ถอดสายที่สวนตอนล้างท้อง มันทรมานมากๆหายใจเจ็บมาก มากถึงมากที่สุด เหมือนสายนั้นมันจะดูดหรือเอาอะไรที่อยู่ในท้อง ในกระเพาะนี่แหละ ออกมาด้วย เป็นน้ำๆและมีเหมือนเศษเลือด เศษเนื้อ หรืออะไรไม่รู้แหละออกมาด้วย

เราดีขึ้น เราไม่ตาย แต่เราทรมานกับการใส่สายเพื่อล้างท้องมาก ไหนสายน้ำเกลือ สายออกซิเจน ระโยงระยางไปหมด แม่เราชวนเราคุยนะ วันแรกเราไม่ยอมคุยกับใครเลย ใครมาคุยเราเบนหน้าหนี ทำหลับบ้าง แล้วตอนนั้นประจำเดือนเราก็มาอีก เราก็แบบจะอะไรนักหนาว่ะ คือเราเข้าห้องน้ำลำบากมาก ทั้งสายที่มือ สายที่จมูก เคลื่อนไหวทีก็เจ็บมาก เข้าห้องน้ำแม่เราก็ช่วย เมนมันแบบเลอะกางเกงชั้นใน แม่เราช่วยถอดซักให้ ติดผ้าอนามัยให้ อาบน้ำเช็ดตัวให้ ตอนนั้นเราร้องไห้เลย เราสงสารแม่มาก แกรักเรามากๆแต่เราจะทิ้งแกไปแบบนี้ เราเริ่มคุยกับแม่ แต่ไม่คุยกับพ่อ เราจำไม่ได้ว่าสอดสายที่ต้องล้างท้องวันนึง หรือ 2 วันแล้วตอนนั้น แต่ตอนที่ถอนจำได้ ทรมานมากเหมือนกัน ค่อยๆดึงให้มันออกจากท้องเรา ผ่านอะไรต่ออะไรไม่รู้ แล้วผ่านออกทางจมูก พยาบาลไม่ได้เบามือเลย หลังจากนั้นเราเข้าพบจิตแพทย์ว่าทำไมเราทำแบบนี้ เราก็บอกไปตามข้างต้นนั้นแหละ ว่าเราเครียด เราถูกควบคุมทุกอย่าง แล้วจิตแพทย์ก็เรียกพ่อแม่ไปคุยให้เราออกไปรอข้างนอก สักพักก็เรียกเราเข้าไป ตอนนั้นหมอบอกว่าเรามีอะไรจะพูดกับพ่อแม่มั้ย? จะขอโทษมั้ย? เราไม่พูดอะไรสักคำ เรายังเงียบอยู่ แต่เราก็เริ่มคุยกับแม่มากขึ้น พ่อก็เอาใจเรานะ ซื้อผลไม้ ข้าว น้ำ ทุกอย่างมาให้เรา แต่เราก็ไม่ค่อยกิน จนเราได้ออกจาก รพ เราอยู่ รพ 2 คืน 3 วันรู้สึก

วันที่เรากลับมาบ้าน ตอนที่เรานอนหลับอยู่แต่ยังไม่สนิทหรอก เหมือนแม่เอานิ้วมาแถวๆจมูกเรา สงสัยกลัวว่าเราจะคิดสั้นอีก ตอนนั้นเราเสียใจมาก เสียใจมากจริงๆ ที่เราทำแบบนั้น แต่ในเวลานั้นเราไม่มีทางออกจริงๆ จะหาว่าเราโง่ เราสิ้นคิดก็ว่าไปเถอะ ตอนนั้นสมองมันโล่งๆจริงๆ หลังจากนั้นบรรยากาศในบ้านก็ดีขึ้นทุกคนรักและเป็นห่วงเราอย่างเห็นได้ชัด พ่อไม่บังคับอะไรเราอีกแล้ว เราเริ่มคุยกับพ่อบ้างแล้ว เราไปเรียนตามปกติ ซึมๆเงียบๆบ้าง แม่คอยดูเราอยู่ห่างๆ แล้วเรารู้สึกได้หลังจากเราทำอะไรบ้าๆลงไป ภูมิคุ้มกันเราต่ำลงมาก จากที่เราเป็นเด็กแข็งแรง ตอนนี้เรารับทุกโรคเลย อะไรที่เขาเป็นกันเราเป็นหมด ป่วยถึงขั้นนอน รพ อยู่ 2-3 หนได้ เราไม่มีปัญหาอะไรกับที่บ้านแล้ว ทุกคนพยายามเข้าใตเรา แล้วเราก็เข้าใจพ่อและแม่ โดยเฉพาะแม่ เรารู้เลยว่าแม่รักเรามากแค่ไหน ถ้าเราตายไป เราต้องบาปมากแน่ๆ

หลังจากนั้นเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เราคิดมาตลอดว่าเราทำผิดกับแม่มาก เราทำแม่ร้องไห้ เสียใจ เราจะตอบแทนแม่เท่าที่เราจะทำได้ ทัศนคติในการใช้ชีวิตเปลี่ยนไป เราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก จนถึงปัจจุบันนี้เราสามารถรับผิดชอบตัวเองได้ ดูแลตัวเองได้ หาตังค์เองได้โดยไม่ต้องขอแม่ หรือขอก็น้อยมากมาสัก 1-2 ปีแล้ว ตอนนี้เราก็ยังเรียนอยู่นะ เรารู้สึกผิดมาตลอดกับเรื่องที่ผ่านมา เรารักแม่มากขึ้น รักตัวเองมากขึ้น เราท้อเราเจอปัญหาหนักหนาแค่ไหน เราคิดเสมอว่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป และมันต้องผ่านไปให้ได เราอยากอยู่ตอบแทนพระคุณพ่อกับแม่ก่อน บาปที่เราทำเราว่าชาตินี้คงใช้ไม่หมด เราพยายามทดแทนให้ท่านอยู่เสมอ ซื้อของให้หลายอย่างแล้วตามกำลังเรา กลับไปบ้านก็ช่วยงานตลอด เราบอกรัก คิดถึง พ่อแม่บ่อยขึ้น เรารู้สึกอยากใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้ ตอนนั้นเราคงไม่ทำแบบนั้น โชคดีที่เรายังมีโอกาสรอดมาให้เราได้แก่ตัว เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เวลาเราเจอปัญหา หรือใครเจอปัญหาไม่ว่าเรื่องใด เราอยากให้คิดในแง่บวกไว้ก่อน ต่อให้ปัญหานั้นจะหนักหนาแค่ไหน ต่อให้คนทั้งโลกหรือครอบครัวไม่เข้าใจเรา แต่ก็ให้เข้มแข็งเข้าไว้ เดี๋ยวเรื่องแย่ๆก็ผ่านไป อึดใจเดียว เดี๋ยวทุกอย่างก็ดี อย่าคิดหนีปัญหา แล้วเชื่อมั้ยเมื่อเราผ่านปัญหาเหล่านั้นมาได้ แล้วมองย้อนกลับไป ปัญหาที่เราเจอ เราคิดว่าใหญ่มาก พอเราผ่านมันมาได้ มันก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ภูมิคุ้มกันในการดำเนินชีวิตของเราก็จะเพิ่มมากขึ้น

สุดท้ายนี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ อยากให้ทุกคนรักตัวเองมากๆ และรักพ่อแม่ให้มากๆ เลือดเนื้อ ร่างกาย หน้าตา สติปัญญา เราได้มาจากพ่อแม่ค่ะ อย่าทำร้ายตัวเอง เพราะคนที่เจ็บมากกว่าเรา คือ พ่อแม่เรา แล้วถ้าเราพลาดไปแล้ว แก้ไขใหม่ค่ะ ทุกคนแก้ไขได้ พยายามทำตัวเองให้ดีขึ้น และพยายามทดแทนพระคุณพ่อแม่ให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอให้ท่านแก่หรือป่วยหรอกค่ะ ทำได้ตลอดเวลา ทำได้ตามกำลังเรา จริงๆพ่อแม่ไม่ได้ต้องการอะไรมากเลยค่ะ การสนใจใส่ใจท่าน แล้วก็ดูแลตัวเองให้ดี ใช้ชีวิตในสังคมให้ได้ ท่านก็หายห่วงแล้วค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่