นอกจากภาษาแม่ซึ่งเป็นภาษาที่เราใช้พูดในชีวิตประจำวันแล้ว หลาย ๆ คนก็เลือกที่จะเรียนภาษาที่สามเพื่อประดับความรู้คู่บารมีของเรา ไม่ว่าจะเป็นภาษาจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาที่ทั่วโลกใช้สื่อสารกัน....ตัวผมเองก็ไม่ชอบภาษาอังกฤษเอาซะเลย และไม่เคยคิดจะเลือกเรียนด้านภาษาอังกฤษเลย เพราะรู้ตัวดีว่าคงจะเรียนไม่เอาไหนแน่ วัดได้จากตอนเรียนมัธยม เกรดภาษาอังกฤษของผมเนี่ยอาจารย์บอกว่าเขียนง่ายมากเลย ก็จะไม่ให้ง่ายได้อย่างไรเล่า......ก็ มั น เ ป็ น เ ส้ น ต ร ง เ ส้ น เ ดี ย ว (เกรด 1) อาจารย์ไม่ต้องลากปลายปากกาหลายที แน่ะ ! .....ช่างชมน่ะเนี่ย ผมจำได้ว่าเวลาถึงคาบภาษาอังกฤษผมจะเ ลื อ ก นั่ ง ข้ า ง ห น้ า ค น เ ก่ ง จะไม่นั่งข้าง ๆ เพราะว่าเวลาอาจารย์ถามอะไรเพื่อนข้างหลังจะเป็นพรายส่งคำตอบได้ดีกว่าเพื่อนที่นั่งข้าง ๆ เพราะเพื่อนที่นั่งข้างเรา อาจารย์จะเห็นหน้าได้ชัดเจน หากขยับริมฝีปากแม้แต่นิดเดียว อาจารย์ก็จะเห็นแล้วมองลอดแว่นออกมา "นี่ เ ธ อ อ ย่ า ไ ป บ อ ก มั น สิ " แต่บังเอิญว่าผมฉลาดคิดการณ์ไกล นั่งหน้าไอพวกฉลาดนี่แหละทำเลเยี่ยมสุด ๆ และปัญหาของผมก็จะเกิดขึ้นเสมอเวลามีสอบภาษาอังกฤษ ก็อาจารย์เล่นแยกโต๊ะซะไกลโพ้น จากสนามหลวงไปรังสิตยังไงอย่างนั้น แต่ก็ไม่เป็นไรคนอย่างผมไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ หรอก ก่อนสอบพวกเรามักจะมานั่งรวมกลุ่มกัน แต่เดี๋ยวก่อน........เราไม่ได้รวมกลุ่มกันติวหนังสือแต่อย่างใดหรอกครับ เ ร า ม า นั่ ง เ ต รี ย ม โ ค้ ด กั น....อิอิ ก็มีโค้ดหลากหลายที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบจากกลุ่มนักเรียนเก่ง เช่น ไอ 1 ที หมายถึงข้อ 1 เพื่อนก็จะส่งสัญญาณตอบรับเป็นคำตอบ กลับมาเป็นไอ 2 ที นั่นหมายความว่า ข้อ 1 ตอบ ข. นั่นเอง ว้าวววววววว.......ฉลาดซะไม่มีเลย...ทีนี้หลายคนคงสงสัยว่าถ้าจะถามข้อ 20 ล่ะ ผมไม่นั่งไอจนตายคาโต๊ะสอบเลยหรอ......อิอิ You know me a little go คุ ณ รู้ จั ก ฉั น น้ อ ย ไ ป
เราต้องมีโค้ดอื่น ๆ ประกอบ แต่ถ้าจะให้อธิบายก็คงอีกยาว เอาเป็นว่าหาเรียนรู้ด้วยตัวเองก็แล้วกันน่ะครับ มีครั้งหนึ่งเป็นการสอบกลางภาค 20 คะแนน เหลือเชื่อครับผมดันได้ 20 คะแนนเต็มซะงั้น ผมไม่ได้ภูมิใจน่ะ ยังนั่งงงอยู่เลยว่าได้มาอย่างไร อาจารย์ก็ถามว่าเธอทำได้ยังไง ผมก็ตอบอย่างมั่นใจว่า...ผมเดาครับอาจารย์....
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ดันเลือกเรียน ค ณ ะ ศิ ล ป ศ า ส ต ร์ ส า ข า วิ ช า ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ซะงั้น รู้ ๆ อยู่ว่าโง่ภาษาอังกฤษ ยังจะเลือกเรียนอีก แต่มันดูไฮโซโก้หรูดีเลยอยากเลือกเรียน...ทำไม..มีปัญหาไรมั้ย.. ไหน ๆ ก็เลือกเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนมันซักหน่อย คงจะไม่ยากเกินความสามารถของเด็กชายแดนอย่างเราหรอก ปีแรกก็ยังเป็นวิชาพื้นฐานง่าย ๆ ก็เรียนไปเล่นไป พอถึงวิชาภาษาอังกฤษก็งงนิด ๆ เพราะอาจารย์เป็นฝรั่ง ไม่พูดภาษาไทย เรียนก็เรียนไม่รู้เรื่อง ครั้งต่อไปเลยนั่งอยู่โต๊ะหลังเพื่อนซะเลย แล้วแอบซื้อมะม่วงกะปิมาซุกไว้ใต้เก้าอี้แลคเชอร์ อาจารย์ก็สอนไป ส่วนผมก็นั่งกินมะม่วงจิ้มกะปิหลังห้องกับเพื่อน ๆ อีก 2-3 คน สบายใจเฉิบ....ทำอย่างนี้เป็นประจำ จนวันหนึ่ง อาจารย์ฝรั่งเข้าสอน แล้วอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า "What a very bad smell !!" "Such a kind of preserved fish" อารายยยยยนี่ อาจารย์เขาพูดอะไร เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า อาจารย์ได้กลิ่นอะไรตุ ๆ เหมือนกับกลิ่นปลาร้าเลย......แหมมม......ปลาร้าที่ไหนครับอาจารย์ มันเป็นกลิ่นกะปิกุ้ง (shrimp paste) ชัด ๆ เลย มีศรีภรรยาเป็นคนอีสานอ่ะดิถึงได้คุ้นเคยแต่กลิ่นปลาร้าอ่ะ หลังจากนั้นผมก็เลยรีบยัดมะม่วงที่เหลือใส่กระเป๋าเอกสารอย่างมิดชิด และไม่กล้าพาเข้ามาอีกเลย.....กลัวอาจารย์อดใจไม่ไหว ขอกินกับพวกเราด้วย
พอขึ้นปี 2 ก็เริ่มเรียนวิชาเอก ซึ่งมันเริ่มเจาะลึกและยากขึ้นเรื่อย ๆ ไอ้เราก็ไม่มี แ ร ง บั น ด า ล ใ จ (Inspiration)ให้อยากเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ แต่....เ ป ลี่ ย น ค ว า ม คิ ด ใ ห ม่ ...เ ร า จ ะ โ ง่ ไ ม่ ไ ด้...เราต้องตั้งใจเรียน เ ร า ต้ อ ง เ อ า ก ำ แ พ ง ที่ กั้ น ร ะ ห ว่ า ง เ ร า กั บ ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ อ อ ก ไ ป เมื่อใจเริ่มคิดอยากจะตั้งใจเรียนก็นำมาซึ่งความกระตือรือร้นของร่างกายให้ไขว่คว้าหาความรู้เพิ่มเติมใส่ตัว คราวนี้เวลาเรียนก็จะเลือกนั่งข้างหน้าเพื่อน เพราะจะได้สังเกตและฟังการออกเสียงของอาจารย์ได้อย่างชัดเจน ก็ช่วยให้เราเรียนดีขึ่นในระดับหนึ่ง เห็นอาจารย์พูดภาษาอังกฤษเป็นตับแล๊บ อยากจะพูดได้อย่างนั้นบ้างจัง เลยหาวิธีการต่าง ๆ ให้ผมคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นก า ร ฟั ง เ พ ล ง ส า ก ล ซึ่งจริง ๆ แล้วก็แปลไม่ออกหรอกว่าเค้าร้องว่าอย่างไร แต่เอาทำนองไว้ก่อน ดู ภ า พ ย น ต ร์ ภ า ค ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ อันนี้แรก ๆ ก็ต้องมีภาษาไทยแปลอยู่ด้านล่าง อิอิ สรุปแล้วดูไม่รู้เรื่องมัวแต่อ่านภาษาไทยด้านล่างอยู่ แต่พักหลังดูภาคภาษาอังกฤษเพรียว ๆ อันนี้สิ.....ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย....แต่.....มันได้อรรถรสกว่า เวลาเห็นนักแสดงหัวเราะ เราก็หัวเราะตามเขาไปด้วย แต่ไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน แต่ทุกวันนี้ก็โอเคแล้วครับ ดูหนังภาคภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ฟังเพลงสากลรู้เรื่อง อาจจะมีหลุด ๆ ฟังไม่ทันบ้างก็ช่างมัน เอาพอเข้าใจ
ผมเองก็มีวิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษหลากหลายวิธี แต่วิธีที่ฝึก(Pratice)แล้วได้ผลที่สุดคือ ฝึ ก พู ด ห น้ า ก ร ะ จ ก ใ น ห้ อ ง น อ น ตั ว เ อ ง มันได้อารมณ์ดี พูดไปเหอะ อยากพูดอะไรผิดก็ช่างมันไม่มีใครเขาได้ยิน เอาสำเนียงไว้ก่อน แรก ๆ ผมฝึกพูด ก็พูดมั่ว ๆ หรอกครับนึกคำศัพท์อะไรออกมา ก็เปล่งเสียงออกมาให้มันเป็นประโยคเข้า พอสำเนียงเริ่มโอเค เราก็ลองหาประโยคงาม ๆ ที่ถูกต้องตามโครงสร้างไวยกรณ์มาฝึกพูดออกเสียงหนักเบาให้ได้อารมณ์ เท่านี้ภาษาอังกฤษเราก็ไปได้สวยแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่มักจะทำบ่อย ๆ คือ พูดเวลาขับรถมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อค เสียงที่เราพูดออกมามันจะกังวานอยู่ในหมวกกันน็อคของเรา ฟังแล้วได้ใจจริง ๆ ผมมักจะ ห า ห นั ง สื อ พิ ม พ์ B a n g k o k p o s t ม า อ่ า น เ ล่ น ๆ แต่อย่าคิดว่าเข้าใจน่ะ อ่านฝึกจังหวะจะโคน ให้เวลาเราอ่านภาษาอังกฤษแล้วคนที่ฟังเราอ่านได้เพลินกับสำเนียงของเรา พอเริ่มอ่านได้ดีแล้วคราวนี้ลองหยิบ Dictionary มาเปิดหาความหมายของคำศัพท์ที่เราไม่รู้ดู และสะสมคำศัพท์เหล่านั้นในสมองของเราเพื่อเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการที่เราจะผลิตประโยคภาษาอังกฤษออกสู่คนทั่วไปอย่างมั่นใจ
และแล้วการเรียนภาษาอังกฤษของผมก็ไปได้ด้วยดีไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางกั้นความพยายามของผม จนจบออกมาอย่างภาคภูมิใจด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เลยทีเดียวเชียว กิ๊ว ๆ ๆ ภูมิใจ ใครอยากเรียนภาษาอังกฤษได้ดี (good) ลองเอาวิธีการต่าง ๆ ของผมไปใช้ดูน่ะครับ แต่เอาทางที่ดี ๆ น่ะครับพี่น้อง......
ใครไม่ชอบภาษาอังกฤษ ลองมาอ่านดู (ยาวไปนิด )
เราต้องมีโค้ดอื่น ๆ ประกอบ แต่ถ้าจะให้อธิบายก็คงอีกยาว เอาเป็นว่าหาเรียนรู้ด้วยตัวเองก็แล้วกันน่ะครับ มีครั้งหนึ่งเป็นการสอบกลางภาค 20 คะแนน เหลือเชื่อครับผมดันได้ 20 คะแนนเต็มซะงั้น ผมไม่ได้ภูมิใจน่ะ ยังนั่งงงอยู่เลยว่าได้มาอย่างไร อาจารย์ก็ถามว่าเธอทำได้ยังไง ผมก็ตอบอย่างมั่นใจว่า...ผมเดาครับอาจารย์....
ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็ดันเลือกเรียน ค ณ ะ ศิ ล ป ศ า ส ต ร์ ส า ข า วิ ช า ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ซะงั้น รู้ ๆ อยู่ว่าโง่ภาษาอังกฤษ ยังจะเลือกเรียนอีก แต่มันดูไฮโซโก้หรูดีเลยอยากเลือกเรียน...ทำไม..มีปัญหาไรมั้ย.. ไหน ๆ ก็เลือกเรียนแล้วก็ตั้งใจเรียนมันซักหน่อย คงจะไม่ยากเกินความสามารถของเด็กชายแดนอย่างเราหรอก ปีแรกก็ยังเป็นวิชาพื้นฐานง่าย ๆ ก็เรียนไปเล่นไป พอถึงวิชาภาษาอังกฤษก็งงนิด ๆ เพราะอาจารย์เป็นฝรั่ง ไม่พูดภาษาไทย เรียนก็เรียนไม่รู้เรื่อง ครั้งต่อไปเลยนั่งอยู่โต๊ะหลังเพื่อนซะเลย แล้วแอบซื้อมะม่วงกะปิมาซุกไว้ใต้เก้าอี้แลคเชอร์ อาจารย์ก็สอนไป ส่วนผมก็นั่งกินมะม่วงจิ้มกะปิหลังห้องกับเพื่อน ๆ อีก 2-3 คน สบายใจเฉิบ....ทำอย่างนี้เป็นประจำ จนวันหนึ่ง อาจารย์ฝรั่งเข้าสอน แล้วอาจารย์ก็พูดขึ้นมาว่า "What a very bad smell !!" "Such a kind of preserved fish" อารายยยยยนี่ อาจารย์เขาพูดอะไร เพื่อนคนหนึ่งบอกว่า อาจารย์ได้กลิ่นอะไรตุ ๆ เหมือนกับกลิ่นปลาร้าเลย......แหมมม......ปลาร้าที่ไหนครับอาจารย์ มันเป็นกลิ่นกะปิกุ้ง (shrimp paste) ชัด ๆ เลย มีศรีภรรยาเป็นคนอีสานอ่ะดิถึงได้คุ้นเคยแต่กลิ่นปลาร้าอ่ะ หลังจากนั้นผมก็เลยรีบยัดมะม่วงที่เหลือใส่กระเป๋าเอกสารอย่างมิดชิด และไม่กล้าพาเข้ามาอีกเลย.....กลัวอาจารย์อดใจไม่ไหว ขอกินกับพวกเราด้วย
พอขึ้นปี 2 ก็เริ่มเรียนวิชาเอก ซึ่งมันเริ่มเจาะลึกและยากขึ้นเรื่อย ๆ ไอ้เราก็ไม่มี แ ร ง บั น ด า ล ใ จ (Inspiration)ให้อยากเรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาอังกฤษ แต่....เ ป ลี่ ย น ค ว า ม คิ ด ใ ห ม่ ...เ ร า จ ะ โ ง่ ไ ม่ ไ ด้...เราต้องตั้งใจเรียน เ ร า ต้ อ ง เ อ า ก ำ แ พ ง ที่ กั้ น ร ะ ห ว่ า ง เ ร า กั บ ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ อ อ ก ไ ป เมื่อใจเริ่มคิดอยากจะตั้งใจเรียนก็นำมาซึ่งความกระตือรือร้นของร่างกายให้ไขว่คว้าหาความรู้เพิ่มเติมใส่ตัว คราวนี้เวลาเรียนก็จะเลือกนั่งข้างหน้าเพื่อน เพราะจะได้สังเกตและฟังการออกเสียงของอาจารย์ได้อย่างชัดเจน ก็ช่วยให้เราเรียนดีขึ่นในระดับหนึ่ง เห็นอาจารย์พูดภาษาอังกฤษเป็นตับแล๊บ อยากจะพูดได้อย่างนั้นบ้างจัง เลยหาวิธีการต่าง ๆ ให้ผมคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นก า ร ฟั ง เ พ ล ง ส า ก ล ซึ่งจริง ๆ แล้วก็แปลไม่ออกหรอกว่าเค้าร้องว่าอย่างไร แต่เอาทำนองไว้ก่อน ดู ภ า พ ย น ต ร์ ภ า ค ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ อันนี้แรก ๆ ก็ต้องมีภาษาไทยแปลอยู่ด้านล่าง อิอิ สรุปแล้วดูไม่รู้เรื่องมัวแต่อ่านภาษาไทยด้านล่างอยู่ แต่พักหลังดูภาคภาษาอังกฤษเพรียว ๆ อันนี้สิ.....ยิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เลย....แต่.....มันได้อรรถรสกว่า เวลาเห็นนักแสดงหัวเราะ เราก็หัวเราะตามเขาไปด้วย แต่ไม่รู้หรอกว่าทำไมเขาถึงหัวเราะกัน แต่ทุกวันนี้ก็โอเคแล้วครับ ดูหนังภาคภาษาอังกฤษรู้เรื่อง ฟังเพลงสากลรู้เรื่อง อาจจะมีหลุด ๆ ฟังไม่ทันบ้างก็ช่างมัน เอาพอเข้าใจ
ผมเองก็มีวิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษหลากหลายวิธี แต่วิธีที่ฝึก(Pratice)แล้วได้ผลที่สุดคือ ฝึ ก พู ด ห น้ า ก ร ะ จ ก ใ น ห้ อ ง น อ น ตั ว เ อ ง มันได้อารมณ์ดี พูดไปเหอะ อยากพูดอะไรผิดก็ช่างมันไม่มีใครเขาได้ยิน เอาสำเนียงไว้ก่อน แรก ๆ ผมฝึกพูด ก็พูดมั่ว ๆ หรอกครับนึกคำศัพท์อะไรออกมา ก็เปล่งเสียงออกมาให้มันเป็นประโยคเข้า พอสำเนียงเริ่มโอเค เราก็ลองหาประโยคงาม ๆ ที่ถูกต้องตามโครงสร้างไวยกรณ์มาฝึกพูดออกเสียงหนักเบาให้ได้อารมณ์ เท่านี้ภาษาอังกฤษเราก็ไปได้สวยแล้ว อีกวิธีหนึ่งที่มักจะทำบ่อย ๆ คือ พูดเวลาขับรถมอเตอร์ไซค์ใส่หมวกกันน็อค เสียงที่เราพูดออกมามันจะกังวานอยู่ในหมวกกันน็อคของเรา ฟังแล้วได้ใจจริง ๆ ผมมักจะ ห า ห นั ง สื อ พิ ม พ์ B a n g k o k p o s t ม า อ่ า น เ ล่ น ๆ แต่อย่าคิดว่าเข้าใจน่ะ อ่านฝึกจังหวะจะโคน ให้เวลาเราอ่านภาษาอังกฤษแล้วคนที่ฟังเราอ่านได้เพลินกับสำเนียงของเรา พอเริ่มอ่านได้ดีแล้วคราวนี้ลองหยิบ Dictionary มาเปิดหาความหมายของคำศัพท์ที่เราไม่รู้ดู และสะสมคำศัพท์เหล่านั้นในสมองของเราเพื่อเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในการที่เราจะผลิตประโยคภาษาอังกฤษออกสู่คนทั่วไปอย่างมั่นใจ
และแล้วการเรียนภาษาอังกฤษของผมก็ไปได้ด้วยดีไม่มีอุปสรรคใด ๆ มาขวางกั้นความพยายามของผม จนจบออกมาอย่างภาคภูมิใจด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 เลยทีเดียวเชียว กิ๊ว ๆ ๆ ภูมิใจ ใครอยากเรียนภาษาอังกฤษได้ดี (good) ลองเอาวิธีการต่าง ๆ ของผมไปใช้ดูน่ะครับ แต่เอาทางที่ดี ๆ น่ะครับพี่น้อง......