ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับ คริสโตเฟอร์ โนแลน ที่คราวนี้มาแนวไซไฟวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับการเดินทางข้ามอวกาศไปยังอีกกาแลกซี่หนึ่งด้วยการเดินทางผ่านรูหนอน เพื่อค้นหาดาวดวงใหม่ที่มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ได้ เพราะเวลาของดาวโลกใกล้หมดลง ซึ่งเปิดโอกาศให้หนังสามารถเล่นกับการตีความฟิสิกส์ชั้นสูงมากมาย เช่นทฤษฎีสัมพันธภาพ กฎแรงโน้มถ่วง การเดินทางข้ามเวลา แต่ที่สำคัญที่สุดคือการสำรวจความเป็นมนุษย์ว่าอะไรคือสิ่งที่ผลักดันให้มนุษย์ก้าวข้ามขีดจำกัดไปข้างหน้าได้
ดูๆแล้วนี่ก็เป็นหนังที่มีทั้งเป้าหมายและความคาดหวังจากคนดูที่สูงอยู่ แต่พอได้ไปดูจริงๆแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า แม้โดยหน้าหนังแล้วจะถูกฉาบโดยวัตถุดิบเกรดเอทั้งหมด เช่นทีมนักแสดงระดับท็อพของวงการ ผู้กำกับที่มือขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานภาพที่สวยงามแปลกตา และ Production ชนิดจัดเต็ม แต่เนื้อในของหนังแล้ว ค่อนข้างหลงทาง และไม่มีอะไรที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอัน จะเป็นหนังแอคชั่นก็ไม่ใช่ แม้จะมีฉากที่พยายามทำให้ดูตื่นเต้นออกมาบ้าง แต่ก็ออกมาดูซ้ำซากแห้งแล้งจนไม่น่าเชื่อ เช่นฉากคลื่นยักษ์ จะออกตัวว่าเป็นหนังแนวไซไฟทฤษฎีล้ำลึกซับซ้อนให้คนดูคิดตาม ก็ต้องบอกว่าแนวคิดน่าสน แต่เทคนิคการเล่าเรื่องยังไม่ดีพอ หนังไม่สามารถเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูรู้สึกตื่นตาตื่นใจหรือตื่นเต้นกับทฤษฎีฟิสิกส์ซับซ้อนเหล่านี้ได้ หากเทียบกับ Inception แล้ว Inception สามารถเล่าเรื่องให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นไปกับทฤษฎีความฝันได้มากกว่าเยอะ แต่ในเรื่อง Interstellar ทุกอย่างมันดูแบนราบเกินไปกว่าที่จะสัมผัสอะไรได้ และในแง่ของหนังปรัชญาที่สำรวจความเป็นมนุษย์ ก็พอเข้าใจสิ่งที่หนังพยายามนำเสนอนะ แต่ก็ขอบอกตรงๆว่า กับความพยายามเล่าเรื่องสองชั่วโมงกว่า แต่ได้บทสรุปแบบนี้ มันธรรมดามากเกินไป
ปัญหาใหญ่ๆของหนังเรื่อง Interstellar เลยก็คือการเล่าเรื่องที่แบนราบ ไม่มีการเน้นจังหวะไคลแม็กซ์ มีเร่ง หรือมีผ่อนที่ถูกจังหวะ เชื่อมั่นในตัวนักแสดงมากเกินไปว่าเอาอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วนักแสดงทำงานกันได้เยี่ยมมากนะ ตีบทแตก แต่ว่ารายละเอียดต่างๆของหนังมันไม่เข้าไปเสริมให้การแสดงเหล่านั้นเป็นที่น่าจดจำ ในหนังเรื่อง Interstellar ที่ตัวละครจำนวนไม่มาก ดำเนินเรื่องกันในอวกาศอันไกลโพ้น ทักษะการเล่าเรื่องที่ดีเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ไม่งั้นหนังมันจะน่าเบื่อทันที แล้วจุดอ่อนที่สุดอีกอย่างหนึ่งของ โนแลน ที่ปรากฎในหนังของเขาทุกเรื่องก็คือ อารมณ์ขันที่แห้งแล้งและจืดชืด คืออารมณ์ขันในหนังนี่มันสำคัญมากนะครับ แม้แต่หนังซีเรียสๆก็เหอะ ก็ควรจะมีอารมณ์ขันที่มาแบบถูกที่ถูกเวลา เพื่อให้คนดูได้ผ่อนคลายบ้าง เราก็เห็นว่า โนแลน พยายามจะใส่มุกตลกเข้ามาบ้างในหนัง แต่มันก็เป็นมุกตลกที่แห้งแล้งเหมือนน้ำหนึ่งหยดกลางทะเลทราย
Interstellar ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีนะครับ ในแง่หนึ่งก็เป็นหนังที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก และก็พอให้ความบันเทิงได้บ้าง ตัวหนังพยายามที่พาเราจะก้าวข้ามขีดจำกัดของหนังแนวไซไฟที่ผานมาอยู่ในหลายๆจุด เพียงแต่ว่าโดยรวมแล้วมันก็พาเราไปไม่ถึงไหน ยังคงติดอยู่แถวๆหน้าปากซอยอยู่
3 ดาวครับ
ติดตามชมตัวอย่างและโปสเตอร์หนังใหม่ และพูดคุยกันเรื่องหนังเพิ่มเติมได้ที่ facebook fan page นี้นะครับ ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/moviepolice
สารวัตรโรงหนังไปดูมาแล้ว "Interstellar" ฝันจะไปถึงดวงดาว แต่ติดอยู่ตรงหน้าปากซอย
ดูๆแล้วนี่ก็เป็นหนังที่มีทั้งเป้าหมายและความคาดหวังจากคนดูที่สูงอยู่ แต่พอได้ไปดูจริงๆแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า แม้โดยหน้าหนังแล้วจะถูกฉาบโดยวัตถุดิบเกรดเอทั้งหมด เช่นทีมนักแสดงระดับท็อพของวงการ ผู้กำกับที่มือขึ้นอย่างต่อเนื่อง งานภาพที่สวยงามแปลกตา และ Production ชนิดจัดเต็ม แต่เนื้อในของหนังแล้ว ค่อนข้างหลงทาง และไม่มีอะไรที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอัน จะเป็นหนังแอคชั่นก็ไม่ใช่ แม้จะมีฉากที่พยายามทำให้ดูตื่นเต้นออกมาบ้าง แต่ก็ออกมาดูซ้ำซากแห้งแล้งจนไม่น่าเชื่อ เช่นฉากคลื่นยักษ์ จะออกตัวว่าเป็นหนังแนวไซไฟทฤษฎีล้ำลึกซับซ้อนให้คนดูคิดตาม ก็ต้องบอกว่าแนวคิดน่าสน แต่เทคนิคการเล่าเรื่องยังไม่ดีพอ หนังไม่สามารถเล่าเรื่องที่ทำให้คนดูรู้สึกตื่นตาตื่นใจหรือตื่นเต้นกับทฤษฎีฟิสิกส์ซับซ้อนเหล่านี้ได้ หากเทียบกับ Inception แล้ว Inception สามารถเล่าเรื่องให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นไปกับทฤษฎีความฝันได้มากกว่าเยอะ แต่ในเรื่อง Interstellar ทุกอย่างมันดูแบนราบเกินไปกว่าที่จะสัมผัสอะไรได้ และในแง่ของหนังปรัชญาที่สำรวจความเป็นมนุษย์ ก็พอเข้าใจสิ่งที่หนังพยายามนำเสนอนะ แต่ก็ขอบอกตรงๆว่า กับความพยายามเล่าเรื่องสองชั่วโมงกว่า แต่ได้บทสรุปแบบนี้ มันธรรมดามากเกินไป
ปัญหาใหญ่ๆของหนังเรื่อง Interstellar เลยก็คือการเล่าเรื่องที่แบนราบ ไม่มีการเน้นจังหวะไคลแม็กซ์ มีเร่ง หรือมีผ่อนที่ถูกจังหวะ เชื่อมั่นในตัวนักแสดงมากเกินไปว่าเอาอยู่ ซึ่งจริงๆแล้วนักแสดงทำงานกันได้เยี่ยมมากนะ ตีบทแตก แต่ว่ารายละเอียดต่างๆของหนังมันไม่เข้าไปเสริมให้การแสดงเหล่านั้นเป็นที่น่าจดจำ ในหนังเรื่อง Interstellar ที่ตัวละครจำนวนไม่มาก ดำเนินเรื่องกันในอวกาศอันไกลโพ้น ทักษะการเล่าเรื่องที่ดีเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ไม่งั้นหนังมันจะน่าเบื่อทันที แล้วจุดอ่อนที่สุดอีกอย่างหนึ่งของ โนแลน ที่ปรากฎในหนังของเขาทุกเรื่องก็คือ อารมณ์ขันที่แห้งแล้งและจืดชืด คืออารมณ์ขันในหนังนี่มันสำคัญมากนะครับ แม้แต่หนังซีเรียสๆก็เหอะ ก็ควรจะมีอารมณ์ขันที่มาแบบถูกที่ถูกเวลา เพื่อให้คนดูได้ผ่อนคลายบ้าง เราก็เห็นว่า โนแลน พยายามจะใส่มุกตลกเข้ามาบ้างในหนัง แต่มันก็เป็นมุกตลกที่แห้งแล้งเหมือนน้ำหนึ่งหยดกลางทะเลทราย
Interstellar ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอะไรดีนะครับ ในแง่หนึ่งก็เป็นหนังที่มีความทะเยอทะยานสูงมาก และก็พอให้ความบันเทิงได้บ้าง ตัวหนังพยายามที่พาเราจะก้าวข้ามขีดจำกัดของหนังแนวไซไฟที่ผานมาอยู่ในหลายๆจุด เพียงแต่ว่าโดยรวมแล้วมันก็พาเราไปไม่ถึงไหน ยังคงติดอยู่แถวๆหน้าปากซอยอยู่
3 ดาวครับ
ติดตามชมตัวอย่างและโปสเตอร์หนังใหม่ และพูดคุยกันเรื่องหนังเพิ่มเติมได้ที่ facebook fan page นี้นะครับ ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/moviepolice