INTERSTELLAR แรงโน้มถ่วง เวลา ศาสนา วิทยาศาสตร์

(มีสปอย)

หลังจากที่ได้ชมภาพบนตร์เรื่อง INTERSTELLAR  ในโรงIMAX (เท่านั้น)  เมื่อวานนี้  ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาในเรื่องของกาลเวลา และแรงโน้มถ่วงที่มีนัยยะทางศาสนา

ในศาสนาพุทธ สอนว่า เวลาบนสวรรค์และโลกไม่ตรงกัน โดยกล่าวว่าเวลาบนโลกนันเดินเร็วกว่าบนสวรรค์ และไม่ใช่เพียงกล่าวขึ้นมาลอย ๆ แต่เมื่อวิเคราะห์แล้วจะเห็นว่ามีอัตราส่วนที่คงที่  โดยถ้าเราอ้างอิงจากในเรื่องของแรงโน้มถ่วงที่มีผลต่อเวลา เทียบกับช้อมูลที่บันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ในส่วนของอภิธรรมปิฎก  พบว่า มีนัยยะที่น่าสนใจ  โดยสรุปจาก พระไตรปิฎก เล่มที่ 35 หัวข้อ อุปปาทกัมมอายุปมาณวาร [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้  ว่าด้วยกำหนดอายุของเทวดา ข้อที่ 1006 ตัวเลขที่เราได้มา คือ สวรรค์ (มิติ) แต่ละชั้น (แต่ละมิติ)  นั้น เวลาเดินทางช้ากว่าโลกมนุษย์นับเป็นสองเท่าเพิ่มขึ้นในแต่ละชั้น โดย 50 ปีบนโลกมนุษย์ เป็นเวลาเพียง 1 วันของสวรรค์ชั้นนั้น (อาจเรียกได้ว่ามิติในหัวข้อนี้)


เมื่อจำแนกเป็นตัวเลขโดยละเอียด ของสวรรค์ 6 ชั้น ใน 1 วันสวรรค์ของ สวรรค์แต่ละชั้น มีระยะเวลาเมื่อเทียบกับระยะเวลาในโลกมนุษย์ไม่เท่ากันดังนี้

  1. 1 วันของสวรรค์ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์
  2. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 100 ปีโลกมนุษย์
  3. 1 วันของสวรรค์ชั้น ยามา เท่ากับ 200 ปีโลกมนุษย์
  4. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดุสิต เท่ากับ 400 ปีโลกมนุษย์
  5. 1 วันของสวรรค์ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 800 ปีโลกมนุษย์
  6. 1 วันของสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 1,600 ปีโลกมนุษย์

และอายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ ถ้าจะเทียบกับเวลาในมนุษย์จะได้ดังนี้

  1. ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์ (500 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 50ปีมนุษย์ )
  2. ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์ (1,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 100ปีมนุษย์ )
  3. ชั้นยามา เท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์ (2,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 200ปีมนุษย์ )
  4. ชั้น ดุสิต เท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์ (4,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 400ปีมนุษย์ )
  5. ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์ (8,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 800ปีมนุษย์ )
  6. ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์ (16,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 1,600ปีมนุษย์ )


ในภาพยนตร์ เมื่อคูเปอร์กลับมาพบกับเมิร์ฟในตอนจบ  เมิร์ฟแก่ลง เพราะเวลาบนโลกผ่านไปหลายปี แต่คูเปอร์กลับแก่ลงเพียงเล็กน้อย  ประเด็นนี้ทำให้นึกถึงเรื่อง ๆ หนึ้งในพระไตรปิฎกทันที คำถามที่เกิดหลังจากนำเรื่องต่อไปนี้มาเทียบเคียงคือ  ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องของเทพนิยายแล้วล่ะก็


เรากำลังเจอกับอะไร ?



อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
๔. เรื่องนางปติปูชิกา [๓๖]              


               ข้อความเบื้องต้น              
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภหญิงชื่อปติปูชิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ปุปฺผานิ เหว" เป็นต้น.
               เรื่องตั้งขึ้นในดาวดึงสเทวโลก.


               เทพธิดาจุติแล้วเกิดในกรุงสาวัตถี    
          
               ได้ยินมาว่า เทพบุตรองค์ชื่อว่ามาลาภารี ซึ่งอยู่ในดาวดึงสเทวโลกนั้น วันหนึ่ง ได้เข้าไปที่สวนนันทวันพร้อมกับนางเทพธิดาประมาณหนึ่งพันองค์ ในตอนนั้นเอง เทพธิดา ๕๐๐ เหาะขึ้นไปต้นไม้ มำดอกไม้ให้ตกลงมาเพื่อเล่น. เทพธิดา ๕๐๐ เก็บเอาดอกไม้ที่เทพธิดาเหล่านั้นให้ตกแล้ว ได้เอาประดับเทพบุตร. บรรดาเทพธิดาเหล่านั้น เทพธิดาองค์หนึ่งได้จุติบนกิ่งไม้. สรีระของเธอหายวับไป เหมือนเปลวประทีป ทันใดนั้นเอง นางได้มาปฏิสนธิในครอบครัวหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี


               ในเวลาที่นางเกิดแล้ว นางเป็นหญิงที่ระลึกชาติได้  ระลึกได้ว่าว่า "เราเป็นภรรยาของมาลาภารีเทพบุตร"  เมื่อนางเติบโตขึ้น นางทำบุญต่าง ๆ เช่นการบูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น ก็อธิษฐานเพื่อให้ได้กลับไปในที่ของสามีนางบนสวรรค์เหมือนเดิม. เวชาผ่านไปเมื่อนางมีอายุ ๑๖ ปี  นางได้แต่งงานกับชายคนหนึ่ง แต่แม้ว่านางจะแต่งงานแล้วก็ตาม  ในเวลาที่นางทำบุญชนิดต่าง ๆ เช่น ถวายสลากภัต ปักขิกภัต และวัสสาวาสิกภัตเป็นต้นแล้ว นางย่อมกล่าวว่า "ส่วนแห่งบุญนี้ จงเป็นปัจจัยเพื่อประโยชน์แก่อันบังเกิดในสำนักสามีของเรา."



               จุติจากมนุษยโลกแล้วไปเกิดในสวรรค์อีก          
    
               ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายทราบว่า "นางคนนี้ พอลุกขึ้นมาได้ก็อยากจะได้แต่สามี  เท่านั้น" จึงขนานนามของนางว่า "ปติปูชิกา."

               นางปติปูชิกานั้น ย่อมปฏิบัติโรงฉัน เข้าไปตั้งน้ำฉัน ปูอาสนะอยู่เสมอ  ถึงกับคนอื่น ๆ ต้องการถวายสลากภัต (ถวายอาหารแบบจับฉลาก) เป็นต้น ก็นำมาให้นางนั้นเองจัดแจง "แม่ ท่านจงจัดแจงภัตเหล่านี้ แก่ภิกษุสงฆ์." ฝ่ายนาง  เมื่อเดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้นนางจึง ได้กุศลธรรม ๕๖ ทุกย่างเท้า. ในเวลาต่อมา นางตั้งครรภ์แล้ว. ในเวลาต่อมน นางเองมีลูกถึง 4 คน

               ในวันหนึ่ง นางถวายทาน ทำการบูชา ฟังธรรม รักษาสิกขาบท เมื่อใกล้สิ้นวันนั้นเอง นางได้ตายลงด้วยโรคบางอย่าง แล้วได้กลับไปเกิดพบกับสามีเดิมของตนที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์



               อายุของมนุษย์ประมาณ ๑๐๐ ปี              
               ฝ่ายนางเทพธิดาอื่น ๆ ในเวลานั้น ก็ยังคงมัวเล่น เอาดอกไม้มาประดับกันอยู่นั่นเ. เทพบุตรเห็นนางนั้น กล่าวว่า "เธอหายหน้าไปตั้งแต่เช้า, เธอไปไหนมา?"
               เทพธิดา. ดิฉันจุติค่ะ ท่าน.
               เทพบุตร. เธอพูดอะไร?
               เทพธิดา. เป็นเรื่องจริงค่ะท่าน
               เทพบุตร. เธอเกิดแล้วในที่ไหน?
               เทพธิดา. เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกรุงสาวัตถี.
               เทพบุตร. เธอดำรงอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้นจนอายุเท่าไร?
               เทพธิดา. ข้าแต่นาย ดิฉันออกจากท้องมารดา โดยกาลอันล่วงไป ๑๐ เดือน ในเวลาอายุ ๑๖ ปี ไปสู่ตระกูลสามี คลอดบุตร ๔ คน ทำบุญมีทานเป็นต้น ปรารถนาถึงท่าน มาบังเกิดแล้วในสำนักของท่านตามเดิม.
               เทพบุตร. อายุของมนุษย์มีประมาณเท่าไร?
               เทพธิดา. ประมาณ ๑๐๐ ปี.
               เทพบุตร. เท่านั้นเองหรือ?
               เทพธิดา. ค่ะ ท่าน
               เทพบุตร. พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณเท่านี้เกิดแล้ว เป็นผู้ประมาทเหมือนหลับ ทำเวลาให้ผ่านล่วงไปเปล่าๆหรือ? หรือทำบุญมีทานเป็นต้น?
               เทพธิดา. พูดอะไร ท่าน, พวกมนุษย์ประมาทกันอยู่เสมอ  ทำตัวเหมือนมีอายุเป็นล้าน ๆ ปี ประหนึ่งว่าไม่แก่ไม่ตาย.
               ความสังเวชเป็นอันมาก ได้เกิดขึ้นแก่มาลาภารีเทพบุตรว่า "ทราบว่า พวกมนุษย์ถือเอาอายุประมาณ ๑๐๐ ปีเกิดแล้ว ประมาท นอนหลับอยู่, เมื่อไรหนอ? จึงจักพ้นจากทุกข์ได้."



               ๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่า ๑ วันในสวรรค์ชัเนดาวดึงส์
              
               ก็ ๑๐๐ ปีของพวกเรา เป็นคืนหนึ่งวันหนึ่งของพวกเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์, ๓๐ ราตรีโดยราตรีนั้น เป็นเดือนหนึ่ง, กำหนดด้วย ๑๒ เดือนโดยเดือนนั้น เป็นปีหนึ่ง, ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ โดยปีนั้น เป็นประมาณอายุของเทพเจ้าชั้นดาวดึงส์, ๑,๐๐๐ ปีทิพย์นั้น โดยการนับในมนุษย์เป็น ๓๖ ล้านปี.

               เพราะฉะนั้น แม้วันเดียวของเทพบุตรนั้น ก็ยังไม่ล่วงไป ได้เป็นกาลเช่นครู่เดียวเท่านั้น. ขึ้นชื่อว่าความประมาทของสัตว์ผู้มีอายุน้อยอย่างนี้ ไม่ควรอย่างยิ่งเลย

               ในวันรุ่งขึ้น พวกภิกษุเข้าไปสู่บ้าน เห็นโรงฉันยังไม่ได้จัด อาสนะยังไม่ได้ปู น้ำฉันยังไม่ได้ตั้งไว้ จึงกล่าวว่า "นางปติปูชิกาไปไหน?"

               ชาวบ้านกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจะเห็นนาง ณ ที่ไหน? วันวานนี้ เมื่อพระผู้เป็นเจ้าฉันแล้วกลับไป, นางตายในตอนเย็น.

               ภิกษุปุถุชนฟังคำนั้นแล้ว ระลึกถึงอุปการะของนางนั่น ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาไว้ได้, ธรรมสังเวชได้เกิดแก่พระขีณาสพ(พระอรหันต์). ภิกษุเหล่านั้นทำภัตกิจ(ฉันอาหาร)แล้ว ไปวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสิกาชื่อปติปูชิกา ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้ว ทำบุญมีประการต่างๆ ปรารถนาถึงสามีเท่านั้น, บัดนี้ นางตายแล้วไปเกิด ณ ที่ไหน?"


               พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางเกิดในสำนักสามีของตนนั่นแหละ.

               ภิกษุ. ในสำนักสามี ไม่มี พระเจ้าข้า.

               พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นางไม่ได้ปรารถนาสามีบนโลกมนุษย์ของนาง แต่, มาลาภารีเทพบุตร ในดาวดึงสพิภพ เป็นสามีของนาง, นางเคลื่อนจากที่ประดับดอกไม้ของสามีนั้นแล้ว ไปบังเกิดในสำนักสามีนั้นนั่นแลอีก.

               ภิกษุ. ได้ยินว่า อย่างนั้นหรือ? พระเจ้าข้า.

               พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย.

               ภิกษุ น่าสังเวช ! ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อย (จริง) พระเจ้าข้า เช้าตรู่ นางอังคาสพวกข้าพระองค์ ตอนเย็น ตายด้วยโรคที่เกิดขึ้น.

               พระศาสดา. อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าชีวิตของสัตว์ทั้งหลายน้อยเหลือเกิน,   และยิ่งกว่านั้น  มัจจุราช ผู้ที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตสิ้นสุด  จะทำให้ผู้ที่ยังไม่มีความพอด้วยกิเลสตัณหา ยคงวิ่งตามกิเลสอยู่นั่นแหละ ให้ตายไป ทั้งที่ยังไม่สมใจกิเลสเลย  มัจจุราชคือความตายนั่นแหละ  ย่อมพาคนที่ยังไม่อยากตาย ยังคร่ำครวญ  ยังเพ้อฝัน  ไปสู่เงื้อมมือของตน (คือตาย)


               ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
               ๔.     ปุปฺผานิ เหว ปจินนฺตํ    พฺยาสตฺตมนสํ นรํ
                   อติตฺตํเยว กาเมสุ                    อนฺตโก กุรุเต วสํ ฯ

                   มัจจุราช ผู้ทำซึ่งที่สุด จะทำให้คนที่ยังคงไม่อิ่มในกาม ไม่พอด้วยตัณหา
                   มัวแต่เล่นเก็บดอกไม้คือสิ่งน่ารื่นรมใจต่าง ๆ อยู่อย่างเพลิดเพลินนั่นแหละ

               ให้ไปสู่เงื้อมมือของตน.  

               จบ


อรรถกถาเรื่องอื่น ๆ จากพระไตรปิฎก อ่านต่อได้จากที่นี่
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=14&p=4




คำถาม ?

ถ้าใครก็ตาม ที่ได้เล่าเรื่องนี้ให้คนบนโลกฟัง  ใครคนนั้น ได้พูดความจริง

หากเรื่องเวลา มิติ ภพ อวกาศ สวรรค์ นรก ชีวิต ความตาย การเกิดใหม่ นิพพาน เหล่านี้ สอดคล้องกันประดุจบทกลอน

ระหว่างชีวิตสั้น ๆ บนดาวดวงนี้  นับจากนาทีนี้ ที่ไม่ว่าเวลาจะยืดหรือหดตามแรงโน้มถ่วงก็ตาม  แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเวลาบนโลกของเราแต่ละคน  หดสั้นลงทุก ๆ นาโนวินาที


ชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่นี้  เราจะต้องทำอะไร?


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่