ย้อนกลับไปในช่วงที่นักเตะญี่ปุ่นได้เริ่มพาเหรดเข้ามาสร้างชื่อในบุนเดสลีก้า ทั้ง อัตสึโตะ อุชิดะ, ชินจิ คากาวะ, ฮิโรชิ คิโยทาเกะ, ทาคาชิ อินุอิ, โกโตคุ ซากาอิ ฯลฯ (อันที่จริงมีนักเตะญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆที่ดังกว่านี้ แต่พอดีเรามีโอกาสได้ดูแต่รุ่นใหม่ๆ ขอยกมาแค่รุ่นใหม่ๆนะคะ) แม้ว่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ มีนักเตะเกาหลีใต้เข้ามาค้าแข้งในบุนเดสลีก้า อันที่จริง ทั้งแข้งเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ก็เขามาเล่นในเยอรมันพร้อมๆกัน แต่หากนับในด้านความต่อเนื่องและความโด่งดัง ดูเหมือนทางฝั่งญี่ปุ่น จะได้เครดิตและภาษีดีกว่า
พูดถึงนักเตะเกาหลีใต้ที่สร้างชื่อเสียงในฟุตบอลยุโรป คุณอาจคิดถึงชื่อของ 'ปาร์ค จี ซอง' มาเป็นอันดับแรก ปาร์คเป็นนักเตะที่ไปสร้างชื่อในลีกดัตช์กับ พีเอสวี ไอด์โฮเฟ่น ก่อนจะมาดังระเบิดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากชื่อต่อมาจากปาร์ค จี ซอง คือ กี ซุง ยอง นักเตะหน้าตาหล่อเหลาที่ปัจจุบันค้าแข้งกับ สวอนซี ซิตี้ในพรีเมียร์ลีก หาก 2 ชื่อนั้น คือ นักเตะเกาหลีใต้ที่คุณคิดว่า โด่งดังพอจะทำให้คุณจดจำได้แล้ว
นั่นอาจถึงเวลาที่คุณควรทำความรู้จักกับ "ซอง ฮึง-มิน" ได้แล้ว

แรกเริ่มเดิมที ตอนที่ซองย้ายมาชิมลางการเล่นฟุตบอลอาชีพในเยอรมันใหม่ๆ เขาเคยถูกยกยอให้เป็น 'เมสซี่กิมจิ' แห่งบุนเดสลีก้า ไม่ใช่ด้วยตำแหน่งการเล่น เพราะซองเล่นหน้าเป้าเร้าใจตัวสไตร์เกอร์แบบเต็มรูปแบบ แต่ซองก็มีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้คนขายข่าว แปะชื่อ “เมสซี่กิมจิ” ให้เขา ด้วยลีลาความพลิ้วในกรอบเขตโทษ การหาช่องยิงฉลาดๆแบบไม่ต้องเน้นลีลาเยอะ เทคนิคการดวลผู้รักษาประตูแบบฆาตกรรมสุดโหด ใดๆเหล่านั้นก็ตาม แต่ทุกคนก็รู้ดี ว่านั่นไม่ได้แปลว่า เขาคือ อัจฉริยะทางฟุตบอลคนใหม่ การแปะชื่อเมสซี่ ให้ก็เป็นเหมือนอีก 1 ใบเบิกทาง ให้คนอยากรู้จักดาวรุ่งเกาหลีใต้คนนี้มากกว่า
แต่นั่นเป็นแค่อดีตเท่านั้น ..
สำหรับแฟนบอลชาวยุโรปหรือชาวเอเชีย หากพูดถึง ทีมห้างขายยา "ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น" หลายคนที่ไม่มีโอกาสได้ดูบอลเยอรมันนัก อาจคิดถึงชื่อของ สเตฟาน คีสลิง หรือ ลาร์ส เบนเดอร์ หรือแม้แต่ เอเมียร์ สปาฮิค เป็นชื่อแรกๆ แต่สำหรับ ประชาชนชาวเกาหลี เพียง 1 เดียวที่พวกเขาคิดถึงคือ "ซอง ฮึง-มิน" ดาวยิงวัย 22 "ลูกชายของชาวเกาหลี" ของพวกเขาเท่านั้น
ในฤดูกาล 2013-14 ปีแรกที่ซองย้ายมายังเลเวอร์คูเซ่น คือฤดูกาลที่ทำให้ชื่อของ ซอง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
เราอาจเรียกว่า นั่นเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดสำหรับ ซองก็ว่าได้
ในเลเวอร์คูเซ่น ไม่มีใครแย่งตำแหน่ง หน้าเป้าเร้าใจไปจาก สเตฟาน คีสลิงไปได้

ซงเข้ามาในฐานะน้องใหม่ ที่ "อะไรก็ได้ครับ" เขาถูกโยกไปเล่นตำแหน่งปีกซ้ายที่มักจะตัดเข้าในมาเล่นเป็นหน้าเป้า ซึ่งแน่นอนว่า นั่นส่งผลกระทบกับ คีสลิงอยู่พอสมควร
นัดหนึ่งในเกมเยือนกับ มึนเช่น กลัดบลัค ซง ซัดประตูที่ 8 ของฤดูกาลนี้ให้กับตัวเอง ส่งผลให้เลเวอร์ฯเอาชนะ กลัดบัคมาได้ด้วยสกอร์ขำๆ 0-1 วันนั้นเขาได้ลงข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในฐานะฮีโร่ชาวเกาหลีใต้ที่เก็บสามแต้มให้ทีมได้อีกครั้ง
ขณะนั้นแม้ใครจะบอกว่า คีสลิงเป็นมืออาชีพพอ ไม่ใส่ใจกับเรื่องการเปรียบเทียบฟอร์มของเขากับนักเตะรุ่นน้อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งภาพบนสนามก็มีคำตอบให้เราได้
ตอนนั้นอยู่ในช่วงกลางฤดูกาล ซองเองก็กำลังฮอตสุดๆ ได้มีการยกสถิติของ กองหน้าทั้ง 2 คนมาเปรียบเทียบกัน
ด้วยวัย 30 ปี คีสลิงกองหน้าตัวกลั่นที่ลงเล่นไปแล้ว 20 นัด ทำประตูให้ทีมทั้งหมด 10 ประตู กับอีก 3 แอสซิท
ขณะที่ซงวัย 21 ปี ลงเล่นไป 17 นัด ทำไปแล้ว 8 ประตูกับอีก 2 แอสซิท
ตอนนั้นเป็นแค่ช่วงกลางฤดูกาลเท่านั้นสำหรับศูนย์หน้าชาวเกาหลีใต้ แต่เขาก็ทำให้แฟนๆประทับใจได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็น ของดีพร้อมใช้ เปิดกระป๋องเทกินได้เลย
จากที่สโมสรเคยถูกโจมตีเรื่องการยอมจ่ายให้ฮัมบูร์กตั้ง 10 ล้านเพื่อนกองหน้าเอเชียดาวรุ่ง
วันนี้ทุกคนเริ่มกลับมานั่งคิดใหม่
จบฤดูกาล 2013-14 ซงลงเล่น 17 เกม ทำไป 10 ประตู
สำหรับฤดูกาลแรก เงินที่เสียไป 10 ล้านยูโร เริ่มจะเห็นแววคุ้มราคาขึ้นมารำไร ...

ย้อนไปเมื่อตอนปี 2008 ของสโมสรฟุตบอลชื่อดังในเกาหลีที่ชื่อ FC Seoul ยุคการคุมทีมของ ซีโนล กุนเนส กุนซือชาวโปรตุเกส ณ ตอนนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก คู่กองหน้าฉายา "มังกรคู่" คีซุงยองและลีชุงยอง แห่ง FC Seoul ด้วยการประสานงานอันเยี่ยมยอด และ การระเบิดประตูของกองหน้าชาวมอนเตเนโกรอีกคนอย่างดียาน มอนจาโนวิค ทำให้ฤดูกาลนั้นพวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับ 2 สร้างชื่อเสียงไปทั่ว
ขณะที่พี่ใหญ่ 2 คนกำลังรุ่งโรจน์ เป็นที่จับตามองไปทั่ว มีสเก๊าจากหลายสโมสรมาดูฟอร์มการเล่นของพวกเขา ตอนนั้น FC Seoul Academy ก็พึ่งปล่อยตัว เด็กในทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปีอย่าง ซอง ฮึง-มิน ไปอยู่กับ Hamburg Academy ในเยอรมัน ตอนนั้นซองพึ่งจะอายุ 16 ปีเท่านั้น
หลังจากร่วมทีมเยาวชนฮัมบูร์กได้สักระยะ ซองก็ได้รับโอกาสให้ขึ้นมาเล่นทีมใหญ่ ด้วยการลงเล่นในเกมปรีซีซั่นของฮัมบูร์ก ซองทำผลงานในช่วงปรีซีซั่นได้อย่างน่าประทับใจ จนสโมสรตัดสินใจผลักดันเขาขึ้นสู่ฮัมบูร์กทีมใหญ่ในปี 2010
ฤดูกาล 2010-11 ซองลงเล่นให้ทีม 13 นัด ทำไป 3 ประตู แต่ในช่วงปรีซีซั่นของฤดูกาล เขาก็โชว์โหดอีกครั้งด้วยการกดไปทั้งสิ้น 18 ประตูจากการลงเล่น 9 นัด ในฤดูกาลต่อมาแม้ซงจะไม่ใช่ตัวจริงขาประจำ แต่เขาก็ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ทำประตูให้ทีมตลอดฤดูกาลในเกมลีก 5 ประตู จากการลงเล่น 27 นัด
ฤดูกาล 2012-13 คือฤดูการแห่งการเฉิดฉายของซงกับฮัมบูร์ก เขาได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้เล่น 11 คนแรก ฤดูกาลนั้น ซองทำประตูให้ฮัมบูร์กไปทั้งสิ้น 12 ประตู กับอีก 2 แอสซิท ติด TOP 10 นักเตะที่ทำประตูเยอะที่สุดในฤดูกาลนั้น
หลายคนกล่าวว่า ซองย้ายมาเพื่อทดแทนการขาดหายไปของ อันเดร เชอร์เล่ ที่ตอนนั้นเลเวอร์ฯตัดสินใจปิดดีลปล่อยเชอร์เล่ไปเชลซีเป็นที่เรียบร้อย ซงเป็นผู้เล่นที่รวดเร็ว คล่องตัว และ สามารถจบสกอร์ได้อย่างเด็ดขาด ตำแหน่งที่เขามาลงเล่นให้กับเลเวอร์ฯจึงเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เชอร์เล่เคยเล่นคือ หน้ากึ่งปีกซ้าย ในระบบ 4-3-3
โดยรวม แม้ซองจะถูกเปรียบเทียบกับคีสลิง ในด้านความสดและอายุที่แปรผกผันกัน (ซง 22 คีสลิง 30) ทำให้ซงดูจะฟอร์มสดกว่า และอาจดูดีมีอนาคตกว่า แต่สิ่งที่ซองยังเทียบคีสลิงไม่ได้คือ ชั้นเชิงการเล่น การเบียดบังบอล ความกล้าได้กล้าเสีย บารมีบนสนาม เทคนิค การยืนพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยประสบการณ์และการพัฒนาในอนาคตทั้งสิ้น
ซอง ฮึง-มิน ย้ายจากฮัมบูร์กด้วยเหตุผลว่า อยากเล่นแชมเปี้ยนลีกส์ ซึ่งเป็นการจากกันด้วยดีกับสโมสร เพราะซองย้ายมายังเลเวอร์ฯด้วยราคาที่สูงถึง 10 ล้านยูโร ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การย้ายทีมของฮัมบูร์ก ตอนที่ซองจะย้ายทีม มีทีมฟุตบอลจากอังกฤษส่งสเก๊าไปดูตัวเขามากมาย ทั้งจาก สเปอร์ส, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, แมนฯซิตี้
สุดท้ายก่อนย้าย มี 3 สโมสรจากอังกฤษยืนดีลเข้ามาคือ ลิเวอร์พูล,แมนฯยู,สเปอร์ส รวมทั้งยังมีข้อเสนอจากดอร์ทมุนด์ด้วย แต่ซองและเอเยนต์ปฏิเสธไปทั้งหมดแล้วเลือก เลเวอร์ฯแทน โดยซงให้เหตุผลว่า เขาคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะย้ายไปเล่นในอังกฤษตอนนี้ เขาอยากอยู่ฝึกฝนในเยอรมันอีกสัก 2-3 ปีก่อน และแม้ดอร์ทมุนด์จะเป็นสโมสรที่ได้ไปเล่นแชมเปี้ยนลีกส์ก็จริง แต่ซงต้องการลงเล่นทุกนัดมากกว่า เขาจึงเลือกเลเวอร์ฯที่สามารถการันตีการลงเล่นเป็นตัวจริงให้ได้ และ ตัวเขาเองยังต้องการเล่นในเวทีใหญ่ๆ เพื่อต้องการจะติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกด้วย
ปัจจุบันใน ฤดูกาล 2014-15 ซองยังทำผลงานได้ยอดเยี่มเหมือนเดิม เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงในหลายๆนัด จากปัญหาของซองในปลายฤดูกาลที่แล้วคือ นัดไหนที่หาย จะหายแล้วหายเลย จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกเกือบทุกนัด บางนัดก็เป็นได้แค่สำรอง ขณะที่ความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ สเตฟาน คีสลิง ก็เป็นไปในทางดีขึ้นมากๆ พวกเขาเข้าขากันได้ดี จากที่เมื่อก่อนมีความสัมพันธ์กันในแบบที่แย่งกันยิงมากกว่า ฤดูกาลนี้ ซองลงเล่นบุนเดสฯไป 10 นัด ยิงไป 4 ประตู ลงเล่นแชมป์เปี้ยนลีก 4 นัด ยิงไป 3 ประตู
ฉายาของเขาในฤดูกาลนี้ ไม่ได้เกิดจากสื่อที่ตั้งให้แต่เป็นเพื่อนร่วมทีมของพวกเขาเอง
ซอง ถูกเรียกว่า "ซงนัลโด้" ภายในห้องแต่งตัวของเลเวอร์คูเซ่น เพราะจังหวะการจบสกอร์ในฤดูกาลนี้ของเขาเด็ดขาดและดุดันแบบโรนัลโด้จริงๆ ยังไม่นับรูปร่างที่ยิ่งนับวันยิ่งบึกบึนเกินหน้าเกินตาพรรคพวก และยังได้ความสูงที่ต่างจากนักเตะเอเชียคนอื่นอีกด้วย
ซองยิ้มกับฉายานี้ เขาสวมเบอร์ 7 และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้คือ ไอดอลของเขา

หากเหตุผลที่เขาย้ายมาเลเวอร์คูเซ่นคือ ความต้องการมาเล่นแชมป์เปี้ยนลีก วันนี้เขาทำสำเร็จแล้วในที่สุด
นัดล่าสุดกับ เซนิต เซนส์ปีเตอร์สเบิร์ก ซอง ฮึง-มิน ร่ายมนตร์ เสก 3 แต้มให้ทีมได้อีกครั้ง
2 ประตูของเขาในเกมนั้น เล่นเอาแฟนบอล "แทบขาดใจ" เลยทีเดียว
ใครได้ดูสดจะเข้าใจ .. ฟีลลิ้งงี้ มาเต็ม

จากวันแรกที่มาถึงเลเวอร์คูเซ่นจนถึงวันนี้ ด้วยวัย 22 ซองยังคงเป็นนักเตะคนเดิม
‘มิสเตอร์ อะไรก็ได้’
"ผมไม่สนว่าจะได้เล่นตรงไหน หน้าเป้า หรือหน้าต่ำ ขอแค่ได้ลงเล่นทุกเกม
ไม่ว่าโค้ชบอกอะไร ผมพร้อมจะทำตาม ผมไม่มีตำแหน่งที่ผมชอบเล่นเป็นพิเศษ
แค่ได้ลงเล่นแค่นั้นก็พอแล้วสำหรับผม"
นี่คือนักเตะเอเชีย สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 22
ผู้ที่เคยได้รับฉายาทั้ง "เมสซี่กิมจิ" และ "ซองนัลโด้"
แต่ในความเป็นจริง ผู้คนจดจำเขาในชื่อดั้งเดิม
ไม่ใช่ 'นิว' นักเตะคนไหน แต่เขาคือ นักเตะจาก จังหวัดชุนชอน ประเทศเกาหลีใต้
'ซอง ฮึง-มิน'

... รู้จัก 'ซงอปป้า' รู้จัก 'Son Heung Min' ซุปตาร์คนใหม่ของบุนเดสลีก้า ...
พูดถึงนักเตะเกาหลีใต้ที่สร้างชื่อเสียงในฟุตบอลยุโรป คุณอาจคิดถึงชื่อของ 'ปาร์ค จี ซอง' มาเป็นอันดับแรก ปาร์คเป็นนักเตะที่ไปสร้างชื่อในลีกดัตช์กับ พีเอสวี ไอด์โฮเฟ่น ก่อนจะมาดังระเบิดกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากชื่อต่อมาจากปาร์ค จี ซอง คือ กี ซุง ยอง นักเตะหน้าตาหล่อเหลาที่ปัจจุบันค้าแข้งกับ สวอนซี ซิตี้ในพรีเมียร์ลีก หาก 2 ชื่อนั้น คือ นักเตะเกาหลีใต้ที่คุณคิดว่า โด่งดังพอจะทำให้คุณจดจำได้แล้ว
แรกเริ่มเดิมที ตอนที่ซองย้ายมาชิมลางการเล่นฟุตบอลอาชีพในเยอรมันใหม่ๆ เขาเคยถูกยกยอให้เป็น 'เมสซี่กิมจิ' แห่งบุนเดสลีก้า ไม่ใช่ด้วยตำแหน่งการเล่น เพราะซองเล่นหน้าเป้าเร้าใจตัวสไตร์เกอร์แบบเต็มรูปแบบ แต่ซองก็มีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้คนขายข่าว แปะชื่อ “เมสซี่กิมจิ” ให้เขา ด้วยลีลาความพลิ้วในกรอบเขตโทษ การหาช่องยิงฉลาดๆแบบไม่ต้องเน้นลีลาเยอะ เทคนิคการดวลผู้รักษาประตูแบบฆาตกรรมสุดโหด ใดๆเหล่านั้นก็ตาม แต่ทุกคนก็รู้ดี ว่านั่นไม่ได้แปลว่า เขาคือ อัจฉริยะทางฟุตบอลคนใหม่ การแปะชื่อเมสซี่ ให้ก็เป็นเหมือนอีก 1 ใบเบิกทาง ให้คนอยากรู้จักดาวรุ่งเกาหลีใต้คนนี้มากกว่า
แต่นั่นเป็นแค่อดีตเท่านั้น ..
สำหรับแฟนบอลชาวยุโรปหรือชาวเอเชีย หากพูดถึง ทีมห้างขายยา "ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น" หลายคนที่ไม่มีโอกาสได้ดูบอลเยอรมันนัก อาจคิดถึงชื่อของ สเตฟาน คีสลิง หรือ ลาร์ส เบนเดอร์ หรือแม้แต่ เอเมียร์ สปาฮิค เป็นชื่อแรกๆ แต่สำหรับ ประชาชนชาวเกาหลี เพียง 1 เดียวที่พวกเขาคิดถึงคือ "ซอง ฮึง-มิน" ดาวยิงวัย 22 "ลูกชายของชาวเกาหลี" ของพวกเขาเท่านั้น
ในฤดูกาล 2013-14 ปีแรกที่ซองย้ายมายังเลเวอร์คูเซ่น คือฤดูกาลที่ทำให้ชื่อของ ซอง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง
เราอาจเรียกว่า นั่นเป็นฤดูกาลแจ้งเกิดสำหรับ ซองก็ว่าได้
ซงเข้ามาในฐานะน้องใหม่ ที่ "อะไรก็ได้ครับ" เขาถูกโยกไปเล่นตำแหน่งปีกซ้ายที่มักจะตัดเข้าในมาเล่นเป็นหน้าเป้า ซึ่งแน่นอนว่า นั่นส่งผลกระทบกับ คีสลิงอยู่พอสมควร
นัดหนึ่งในเกมเยือนกับ มึนเช่น กลัดบลัค ซง ซัดประตูที่ 8 ของฤดูกาลนี้ให้กับตัวเอง ส่งผลให้เลเวอร์ฯเอาชนะ กลัดบัคมาได้ด้วยสกอร์ขำๆ 0-1 วันนั้นเขาได้ลงข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ ในฐานะฮีโร่ชาวเกาหลีใต้ที่เก็บสามแต้มให้ทีมได้อีกครั้ง
ขณะนั้นแม้ใครจะบอกว่า คีสลิงเป็นมืออาชีพพอ ไม่ใส่ใจกับเรื่องการเปรียบเทียบฟอร์มของเขากับนักเตะรุ่นน้อง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งภาพบนสนามก็มีคำตอบให้เราได้
ตอนนั้นอยู่ในช่วงกลางฤดูกาล ซองเองก็กำลังฮอตสุดๆ ได้มีการยกสถิติของ กองหน้าทั้ง 2 คนมาเปรียบเทียบกัน
ด้วยวัย 30 ปี คีสลิงกองหน้าตัวกลั่นที่ลงเล่นไปแล้ว 20 นัด ทำประตูให้ทีมทั้งหมด 10 ประตู กับอีก 3 แอสซิท
ขณะที่ซงวัย 21 ปี ลงเล่นไป 17 นัด ทำไปแล้ว 8 ประตูกับอีก 2 แอสซิท
ตอนนั้นเป็นแค่ช่วงกลางฤดูกาลเท่านั้นสำหรับศูนย์หน้าชาวเกาหลีใต้ แต่เขาก็ทำให้แฟนๆประทับใจได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็น ของดีพร้อมใช้ เปิดกระป๋องเทกินได้เลย
จากที่สโมสรเคยถูกโจมตีเรื่องการยอมจ่ายให้ฮัมบูร์กตั้ง 10 ล้านเพื่อนกองหน้าเอเชียดาวรุ่ง
วันนี้ทุกคนเริ่มกลับมานั่งคิดใหม่
สำหรับฤดูกาลแรก เงินที่เสียไป 10 ล้านยูโร เริ่มจะเห็นแววคุ้มราคาขึ้นมารำไร ...
ย้อนไปเมื่อตอนปี 2008 ของสโมสรฟุตบอลชื่อดังในเกาหลีที่ชื่อ FC Seoul ยุคการคุมทีมของ ซีโนล กุนเนส กุนซือชาวโปรตุเกส ณ ตอนนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก คู่กองหน้าฉายา "มังกรคู่" คีซุงยองและลีชุงยอง แห่ง FC Seoul ด้วยการประสานงานอันเยี่ยมยอด และ การระเบิดประตูของกองหน้าชาวมอนเตเนโกรอีกคนอย่างดียาน มอนจาโนวิค ทำให้ฤดูกาลนั้นพวกเขาจบฤดูกาลด้วยอันดับ 2 สร้างชื่อเสียงไปทั่ว
ขณะที่พี่ใหญ่ 2 คนกำลังรุ่งโรจน์ เป็นที่จับตามองไปทั่ว มีสเก๊าจากหลายสโมสรมาดูฟอร์มการเล่นของพวกเขา ตอนนั้น FC Seoul Academy ก็พึ่งปล่อยตัว เด็กในทีมเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปีอย่าง ซอง ฮึง-มิน ไปอยู่กับ Hamburg Academy ในเยอรมัน ตอนนั้นซองพึ่งจะอายุ 16 ปีเท่านั้น
หลังจากร่วมทีมเยาวชนฮัมบูร์กได้สักระยะ ซองก็ได้รับโอกาสให้ขึ้นมาเล่นทีมใหญ่ ด้วยการลงเล่นในเกมปรีซีซั่นของฮัมบูร์ก ซองทำผลงานในช่วงปรีซีซั่นได้อย่างน่าประทับใจ จนสโมสรตัดสินใจผลักดันเขาขึ้นสู่ฮัมบูร์กทีมใหญ่ในปี 2010
ฤดูกาล 2010-11 ซองลงเล่นให้ทีม 13 นัด ทำไป 3 ประตู แต่ในช่วงปรีซีซั่นของฤดูกาล เขาก็โชว์โหดอีกครั้งด้วยการกดไปทั้งสิ้น 18 ประตูจากการลงเล่น 9 นัด ในฤดูกาลต่อมาแม้ซงจะไม่ใช่ตัวจริงขาประจำ แต่เขาก็ได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ทำประตูให้ทีมตลอดฤดูกาลในเกมลีก 5 ประตู จากการลงเล่น 27 นัด
ฤดูกาล 2012-13 คือฤดูการแห่งการเฉิดฉายของซงกับฮัมบูร์ก เขาได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้เล่น 11 คนแรก ฤดูกาลนั้น ซองทำประตูให้ฮัมบูร์กไปทั้งสิ้น 12 ประตู กับอีก 2 แอสซิท ติด TOP 10 นักเตะที่ทำประตูเยอะที่สุดในฤดูกาลนั้น
หลายคนกล่าวว่า ซองย้ายมาเพื่อทดแทนการขาดหายไปของ อันเดร เชอร์เล่ ที่ตอนนั้นเลเวอร์ฯตัดสินใจปิดดีลปล่อยเชอร์เล่ไปเชลซีเป็นที่เรียบร้อย ซงเป็นผู้เล่นที่รวดเร็ว คล่องตัว และ สามารถจบสกอร์ได้อย่างเด็ดขาด ตำแหน่งที่เขามาลงเล่นให้กับเลเวอร์ฯจึงเป็นตำแหน่งเดียวกับที่เชอร์เล่เคยเล่นคือ หน้ากึ่งปีกซ้าย ในระบบ 4-3-3
โดยรวม แม้ซองจะถูกเปรียบเทียบกับคีสลิง ในด้านความสดและอายุที่แปรผกผันกัน (ซง 22 คีสลิง 30) ทำให้ซงดูจะฟอร์มสดกว่า และอาจดูดีมีอนาคตกว่า แต่สิ่งที่ซองยังเทียบคีสลิงไม่ได้คือ ชั้นเชิงการเล่น การเบียดบังบอล ความกล้าได้กล้าเสีย บารมีบนสนาม เทคนิค การยืนพื้นที่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยประสบการณ์และการพัฒนาในอนาคตทั้งสิ้น
ซอง ฮึง-มิน ย้ายจากฮัมบูร์กด้วยเหตุผลว่า อยากเล่นแชมเปี้ยนลีกส์ ซึ่งเป็นการจากกันด้วยดีกับสโมสร เพราะซองย้ายมายังเลเวอร์ฯด้วยราคาที่สูงถึง 10 ล้านยูโร ซึ่งเป็นราคาที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การย้ายทีมของฮัมบูร์ก ตอนที่ซองจะย้ายทีม มีทีมฟุตบอลจากอังกฤษส่งสเก๊าไปดูตัวเขามากมาย ทั้งจาก สเปอร์ส, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, แมนฯซิตี้
สุดท้ายก่อนย้าย มี 3 สโมสรจากอังกฤษยืนดีลเข้ามาคือ ลิเวอร์พูล,แมนฯยู,สเปอร์ส รวมทั้งยังมีข้อเสนอจากดอร์ทมุนด์ด้วย แต่ซองและเอเยนต์ปฏิเสธไปทั้งหมดแล้วเลือก เลเวอร์ฯแทน โดยซงให้เหตุผลว่า เขาคิดว่ายังเร็วเกินไปที่จะย้ายไปเล่นในอังกฤษตอนนี้ เขาอยากอยู่ฝึกฝนในเยอรมันอีกสัก 2-3 ปีก่อน และแม้ดอร์ทมุนด์จะเป็นสโมสรที่ได้ไปเล่นแชมเปี้ยนลีกส์ก็จริง แต่ซงต้องการลงเล่นทุกนัดมากกว่า เขาจึงเลือกเลเวอร์ฯที่สามารถการันตีการลงเล่นเป็นตัวจริงให้ได้ และ ตัวเขาเองยังต้องการเล่นในเวทีใหญ่ๆ เพื่อต้องการจะติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลกด้วย
ปัจจุบันใน ฤดูกาล 2014-15 ซองยังทำผลงานได้ยอดเยี่มเหมือนเดิม เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงในหลายๆนัด จากปัญหาของซองในปลายฤดูกาลที่แล้วคือ นัดไหนที่หาย จะหายแล้วหายเลย จนต้องถูกเปลี่ยนตัวออกเกือบทุกนัด บางนัดก็เป็นได้แค่สำรอง ขณะที่ความสัมพันธ์กับพี่ใหญ่ สเตฟาน คีสลิง ก็เป็นไปในทางดีขึ้นมากๆ พวกเขาเข้าขากันได้ดี จากที่เมื่อก่อนมีความสัมพันธ์กันในแบบที่แย่งกันยิงมากกว่า ฤดูกาลนี้ ซองลงเล่นบุนเดสฯไป 10 นัด ยิงไป 4 ประตู ลงเล่นแชมป์เปี้ยนลีก 4 นัด ยิงไป 3 ประตู
ฉายาของเขาในฤดูกาลนี้ ไม่ได้เกิดจากสื่อที่ตั้งให้แต่เป็นเพื่อนร่วมทีมของพวกเขาเอง
ซอง ถูกเรียกว่า "ซงนัลโด้" ภายในห้องแต่งตัวของเลเวอร์คูเซ่น เพราะจังหวะการจบสกอร์ในฤดูกาลนี้ของเขาเด็ดขาดและดุดันแบบโรนัลโด้จริงๆ ยังไม่นับรูปร่างที่ยิ่งนับวันยิ่งบึกบึนเกินหน้าเกินตาพรรคพวก และยังได้ความสูงที่ต่างจากนักเตะเอเชียคนอื่นอีกด้วย
นัดล่าสุดกับ เซนิต เซนส์ปีเตอร์สเบิร์ก ซอง ฮึง-มิน ร่ายมนตร์ เสก 3 แต้มให้ทีมได้อีกครั้ง
2 ประตูของเขาในเกมนั้น เล่นเอาแฟนบอล "แทบขาดใจ" เลยทีเดียว
ใครได้ดูสดจะเข้าใจ .. ฟีลลิ้งงี้ มาเต็ม
‘มิสเตอร์ อะไรก็ได้’
"ผมไม่สนว่าจะได้เล่นตรงไหน หน้าเป้า หรือหน้าต่ำ ขอแค่ได้ลงเล่นทุกเกม
ไม่ว่าโค้ชบอกอะไร ผมพร้อมจะทำตาม ผมไม่มีตำแหน่งที่ผมชอบเล่นเป็นพิเศษ
แค่ได้ลงเล่นแค่นั้นก็พอแล้วสำหรับผม"
นี่คือนักเตะเอเชีย สัญชาติเกาหลีใต้ อายุ 22
ผู้ที่เคยได้รับฉายาทั้ง "เมสซี่กิมจิ" และ "ซองนัลโด้"
แต่ในความเป็นจริง ผู้คนจดจำเขาในชื่อดั้งเดิม
ไม่ใช่ 'นิว' นักเตะคนไหน แต่เขาคือ นักเตะจาก จังหวัดชุนชอน ประเทศเกาหลีใต้
'ซอง ฮึง-มิน'