สืบเนื่องด้วยสังคมตอนนี้ ผู้ให้บริการทางด้านการแพทย์และการพยาบาลถูกคุกคามอย่างหนักจากสื่อออนไลน์ซึ่งมีเพียงบุคคลที่อยุ่ในเหตุการณ์เท่านั้นที่ทราบได้ว่าถูกหรือผิด บางเหตุการณ์ผู้รับบริการก็เป็นฝ่ายถูก แต่หลายๆเหตุการณ์ที่ผู้ให้บริการถูกกระทำอย่างไม่สมเหตุสมผล ทำให้เกิดกรณีดราม่าในหลายๆกรณี
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่าผมเป็นบุรุษพยาบาลอยู่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผมเอง ปกติเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่เคยมีเรื่องกับใคร คุณแม่รับราชการได้รับคำชื่นชมในการปฏิบัติงานของลูกชายมาโดยตลอด วันนี้ผมมีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับผมโดยตรงเมื่อไม่นานมานี้เองจะมาเล่าให้ฟัง
ขออนุญาตย้อนเวลาไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2556 ผมได้ปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรนอกเวลา ซึ่งเป็นเวรบ่าย(16.00-24.00น.) ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินว่ามีชายวัยรุ่น เมาสุรารถจักรยานยนต์ล้มเอง ไม่ยอมให้ปฏิบัติกิจกรรมพยาบาลใดใดทั้งสิ้นไม่ยอมให้ให้น้ำเกลือ ไม่ยอมให้ทำแผล เอะอะโวยวาย จะเข้ามานอนที่หอผู้ป่วยเพื่อสังเกตอาการทางระบบประสาทตามคำสั่งของแพทย์ ซึ่งเมื่อเข้ามาถึงที่หอผู้ป่วย ผมซึ่งเป็นหัวหน้าเวรได้เข้าไปประเมินอาการแรกรับพบผู้ป่วยนอนลืมตาได้เอง แขนขาเคลื่อนไหวปกติ มีศีรษะบวมโนบริเวณด้านหลังกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร แต่ผู้ป่วยไม่ยอมพูด ผมได้อธิบายเกี่ยวกับแนวทางการรักษาของแพทย์และแนวทางการดูแลของพยาบาลให้พ่อกับแม่ของผู้ป่วยได้รับทราบตามหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ พร้อมทั้งแจกเอกสารคำแนะนำต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการรักษา และผมก็ได้รายงานแพทย์เวรให้ได้รับทราบถึงอาการเบื้องต้นและเดินออกจากเตียงผู้ป่วยเพื่อมาจัดการกับเอกสาร
ขณะที่กำลังเดินกลับมาจากเตียงผู้ป่วย มารดาได้เดินตามข้าพเจ้ามา พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ในอดีตของผู้ป่วยให้ฟังว่า เคยเมาสุราและรถจักรยานยนต์ล้มเอง มีอาการไตได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงจนต้องผ่าตัดไตทิ้งไป 1 ข้าง เมื่อปีที่แล้ว แต่ผู้ป่วยยังมีพฤติกรรมเช่นเดิมซึ่งก้คือดื่มสุราอย่างหนัก พร้อมทั้งร้องขอให้เอกซเรย์สมอง (CT scan) ซึ่งผมได้อธิบายให้คุณแม่ของผู้ป่วยฟังว่า ทางโรงพยาบาลไม่มีเครื่องเอกซเรย์แบบนั้น มีแต่เครื่องเอกซเรย์ที่ดูได้ในเรื่องของการมีการแตกหักของกระดูกหรือไม่ ซึ่งผมก้ได้รายงานแพทย์ให้ได้รับทราบถึงความต้องการของผู้รับบริการ
แพทย์เวรได้มาตรวจเยี่ยมอาการและผมได้แจ้งอีกครั้งถึงการร้องขอของผู้รับบริการในเรื่องการขอเอกซเรย์ ซึ่งแพทย์ตรวจประเมินอาการและไม่ได้ให้เอกซเรย์กะโหลกศีรษะ และก็หมดเวรของผม ผมกลับบ้านนอนพัก
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อในเวรเช้า (8.00-16.00) ได้ทราบจากพยาบาลเวรดึกว่า ผู้ป่วยที่รถล้มมาเมื่อคืนนี้ ส่งตัวไปเมื่อเช้านี้แล้ว เนื่องจากมีอการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท คืออาการไม่ปลอดภัย จึงต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งผู้ป่วยก็ไม่ได้กลับมารักษาที่โรงพยาบาลของผมอีกเลย จนเมื่อ
จนเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ป่วยคนนี้กลับมาที่ โรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยอาการชักจากการดื่มสุรา แต่ญาติไม่ยินยอมนอนโรงพยาบาล โดยจะขอส่งตัวไปโรงพยาบาลจังหวัด ซึ่งแพทย์เวรก็ประเมินอาการแล้วเห็นว่า โรงพยาบาลสามารถดูแลอาการชักได้ จึงให้นอนโรงพยาบาล ญาติจึงยินยอมที่จะนอนสังเกตอาการ ซึ่งผมมาปฏิบัติงานในเวรบ่ายและได้พบกับผู้ป่วยอีกครั้ง
เมื่อรับเวรเสร็จ วันนี้ผมเป็นสมาชิกทีม ซึ่งก็มีหน้าที่ในการปฏิบัติกิจกรรมพยาบาลตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าเวร โดยผู้ป่วยรายนี้ต้องได้รับยาทางหลอดเลือดดำเท่านั้น ซึ่งในเวลา 22.00 น. ผมมีหน้าที่ไปให้ยากับผู้ป่วยรายนี้ พบว่าน้ำเกลือได้อุดตัน จึงขออนุญาตให้น้ำเกลือใหม่ พบว่าผู้ป่วยเป็นคนเจ้าเนื้อ มองไม่เห็นเส้นเลือด ซึ่งให้ไม่ได้ในครั้งแรก จึงขออนุญาตให้น้ำเกลืออีกครั้ง ผุ้ป่วยไม่ยินยอม เอะอะโวยวาย ด่าว่าโรงพยาบาลเสียๆหายๆ ผมจึงอธิบายให้มารดาได้รับทราบถึงความสำคัญของการยาตัวนี้ และบอกถึงผลเสียหากผู้ป่วยไม่ยินยอมให้สารน้ำ ซึ่งมารดาทำหน้าไม่พอใจ ผมจึงรายงานให้หัวหน้าเวรได้รับทราบ และหัวหน้าเวรได้เข้ามาอธิบายให้มารดาได้รับทราบอีกครั้ง พร้อมทั้ง ขออนุญาตให้มารดาและผู้ป่วยได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานในการที่ผู้ป่วยไม่ยินยอมในการให้น้ำเกลือ แต่มารดาของผู้ป่วยกลับพูดว่า "ที่อื่นเขายังมีความพยายาม เด็กมันก็ดื้อแบบนี้ ทำไมไม่แทงให้ละ" ซึ่งหัวหน้าเวรจึงมอบหมายให้ผม ให้น้ำเกลือคนไข้ ซึ่งมารดาได้ต่อว่าผู้ป่วยว่าทำไมไม่ยอมให้พยาบาลแทงน้ำเกลือ แต่ผู้ป่วยกลับตะหวาดใส่มารดาของตนเองและไม่ยินยอมให้ผมให้น้ำเกลือ สรุปสุดท้าย มารดาจึงบอกกับผมว่าไม่ต้องแทงแล้ว และไม่ให้พยาบาลทำอะไรให้ทั้งสิ้น ตอนนั้นผมก็รู้สึกผิดในใจเหมือนกันว่าทำไมเราให้น้ำเกลือกับผู้ป่วยให้ได้ในครั้งแรก วึ่งผมปรเิมนเหตุการณ์แล้วว่าต้องมีปัญหาแน่ๆ ในเช้าวันรุ่งขึ้นมารดาได้ขอไม่สมัครใจนอนโรงพยาบาลและออกจากโรงพยาบาลไป
ในคืนวันลอยกระทง หน่วยงานของแม่ผมได้จัดงานลอยกระทง ผมจึงไปเป็นเพื่อนแม่เพื่อรอรับแม่กลับบ้าน ตอนแรกผมเห็นมารดาของผู้ป่วยรายนั้นแล้วแต่เขาไม่เห็นผมหรอก ผมก็ไม่ได้อะไรเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ จนเริ่มเบื่อ จึงมานั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของแม่ผม อยู่ดีดีมีผู้ชายวัยกลางคนเมาสุราเดิมดุ่มๆๆๆเข้ามาหาผม(ทราบภายหลังว่าเขาคือพ่อของผู้รับบริการรายนี้) ชี้หน้าพร้อมต่อว่าผมว่าผมเป็นคนทำให้ลูกชายเขาผ่าสมอง บอกว่าจะเอาเรื่องผมอยู่ ซึ่งตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่สิบกว่าคนนั่งอยู่กับผมด้วย ผมตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ผมอายมาก ได้แต่บอกปฏิเสธว่าผมไม่ใช่แพทย์ ผมเป็นพยาบาล ทุกคนมองหน้าผม ผมกลายเป็นจำเลยของสังคม เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น ผู้ชายคนนั้นได้พาพรรคพวกมาดูหน้าผม จนเจ้าหน้าที่ต้องพาผมและแม่กลับบ้าน เพราะเกรงว่าจะมีเรื่อง ระหว่างเดินทางกลับผมถามแม่ว่า แม่เครียดมั้ย แม่ได้ให้กำลังใจผม พูดคุยจนผมสบายใจขึ้น ผมกลับบ้านมา ผมนอนไม่หลับ เพราะไม่เคยถูกผู้รับบริการด่าในที่สาธารณะแบบนี้ และผมก็แคร์ความรู้สึกแม่ กลัวแม่อายเพื่อนร่วมงาน ผมนอนไม่หลับทั้งคืน เช้าวันต่อมา ผมได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หัวหน้าหอผู้ป่วยและผู้อำนวยการได้รับทราบ ผอ.ได้ให้ข้อคิดและให้กำลังใจผม จนผมรู้สึกสบายใจ
ผมเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ทำให้ระบบสุขภาพดำเนินและเป็นไปตามในสิ่งที่ควรจะเป็น ผมได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของผมแล้ว ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะมองผมว่าอย่างไร วันนี้ผมเพียงเข้ามาระบายความอัดอั้นภายในใจให้คุณฟังเพียงเพื่ออยากให้คุณได้รับฟังเท่านั้นเองครับ ขอบคุณที่กรุณาอ่านกระทู้ของผม
สรุป เหตุการณ์นี้ มันสอนให้ผมรู้ว่า เราควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทบทวนถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นในทุกการกระทำเสมอ และอย่าลืมหาจุดบกพร่องของตนเองเสมอเช่นกัน
จากใจผู้ให้บริการถึงผู้รับบริการ (เพียงอยากให้คุณเข้าใจ)
ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนว่าผมเป็นบุรุษพยาบาลอยู่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งในตัวอำเภอ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของผมเอง ปกติเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่เคยมีเรื่องกับใคร คุณแม่รับราชการได้รับคำชื่นชมในการปฏิบัติงานของลูกชายมาโดยตลอด วันนี้ผมมีเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับผมโดยตรงเมื่อไม่นานมานี้เองจะมาเล่าให้ฟัง
ขออนุญาตย้อนเวลาไปเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม 2556 ผมได้ปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรนอกเวลา ซึ่งเป็นเวรบ่าย(16.00-24.00น.) ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินว่ามีชายวัยรุ่น เมาสุรารถจักรยานยนต์ล้มเอง ไม่ยอมให้ปฏิบัติกิจกรรมพยาบาลใดใดทั้งสิ้นไม่ยอมให้ให้น้ำเกลือ ไม่ยอมให้ทำแผล เอะอะโวยวาย จะเข้ามานอนที่หอผู้ป่วยเพื่อสังเกตอาการทางระบบประสาทตามคำสั่งของแพทย์ ซึ่งเมื่อเข้ามาถึงที่หอผู้ป่วย ผมซึ่งเป็นหัวหน้าเวรได้เข้าไปประเมินอาการแรกรับพบผู้ป่วยนอนลืมตาได้เอง แขนขาเคลื่อนไหวปกติ มีศีรษะบวมโนบริเวณด้านหลังกว้างประมาณ 10 เซนติเมตร แต่ผู้ป่วยไม่ยอมพูด ผมได้อธิบายเกี่ยวกับแนวทางการรักษาของแพทย์และแนวทางการดูแลของพยาบาลให้พ่อกับแม่ของผู้ป่วยได้รับทราบตามหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ พร้อมทั้งแจกเอกสารคำแนะนำต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการรักษา และผมก็ได้รายงานแพทย์เวรให้ได้รับทราบถึงอาการเบื้องต้นและเดินออกจากเตียงผู้ป่วยเพื่อมาจัดการกับเอกสาร
ขณะที่กำลังเดินกลับมาจากเตียงผู้ป่วย มารดาได้เดินตามข้าพเจ้ามา พร้อมทั้งเล่าเหตุการณ์ในอดีตของผู้ป่วยให้ฟังว่า เคยเมาสุราและรถจักรยานยนต์ล้มเอง มีอาการไตได้รับการกระแทกอย่างรุนแรงจนต้องผ่าตัดไตทิ้งไป 1 ข้าง เมื่อปีที่แล้ว แต่ผู้ป่วยยังมีพฤติกรรมเช่นเดิมซึ่งก้คือดื่มสุราอย่างหนัก พร้อมทั้งร้องขอให้เอกซเรย์สมอง (CT scan) ซึ่งผมได้อธิบายให้คุณแม่ของผู้ป่วยฟังว่า ทางโรงพยาบาลไม่มีเครื่องเอกซเรย์แบบนั้น มีแต่เครื่องเอกซเรย์ที่ดูได้ในเรื่องของการมีการแตกหักของกระดูกหรือไม่ ซึ่งผมก้ได้รายงานแพทย์ให้ได้รับทราบถึงความต้องการของผู้รับบริการ
แพทย์เวรได้มาตรวจเยี่ยมอาการและผมได้แจ้งอีกครั้งถึงการร้องขอของผู้รับบริการในเรื่องการขอเอกซเรย์ ซึ่งแพทย์ตรวจประเมินอาการและไม่ได้ให้เอกซเรย์กะโหลกศีรษะ และก็หมดเวรของผม ผมกลับบ้านนอนพัก
เช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็กลับมาปฏิบัติหน้าที่ต่อในเวรเช้า (8.00-16.00) ได้ทราบจากพยาบาลเวรดึกว่า ผู้ป่วยที่รถล้มมาเมื่อคืนนี้ ส่งตัวไปเมื่อเช้านี้แล้ว เนื่องจากมีอการเปลี่ยนแปลงทางระบบประสาท คืออาการไม่ปลอดภัย จึงต้องส่งตัวเข้าโรงพยาบาลประจำจังหวัด ซึ่งผู้ป่วยก็ไม่ได้กลับมารักษาที่โรงพยาบาลของผมอีกเลย จนเมื่อ
จนเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผู้ป่วยคนนี้กลับมาที่ โรงพยาบาลอีกครั้ง ด้วยอาการชักจากการดื่มสุรา แต่ญาติไม่ยินยอมนอนโรงพยาบาล โดยจะขอส่งตัวไปโรงพยาบาลจังหวัด ซึ่งแพทย์เวรก็ประเมินอาการแล้วเห็นว่า โรงพยาบาลสามารถดูแลอาการชักได้ จึงให้นอนโรงพยาบาล ญาติจึงยินยอมที่จะนอนสังเกตอาการ ซึ่งผมมาปฏิบัติงานในเวรบ่ายและได้พบกับผู้ป่วยอีกครั้ง
เมื่อรับเวรเสร็จ วันนี้ผมเป็นสมาชิกทีม ซึ่งก็มีหน้าที่ในการปฏิบัติกิจกรรมพยาบาลตามที่ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าเวร โดยผู้ป่วยรายนี้ต้องได้รับยาทางหลอดเลือดดำเท่านั้น ซึ่งในเวลา 22.00 น. ผมมีหน้าที่ไปให้ยากับผู้ป่วยรายนี้ พบว่าน้ำเกลือได้อุดตัน จึงขออนุญาตให้น้ำเกลือใหม่ พบว่าผู้ป่วยเป็นคนเจ้าเนื้อ มองไม่เห็นเส้นเลือด ซึ่งให้ไม่ได้ในครั้งแรก จึงขออนุญาตให้น้ำเกลืออีกครั้ง ผุ้ป่วยไม่ยินยอม เอะอะโวยวาย ด่าว่าโรงพยาบาลเสียๆหายๆ ผมจึงอธิบายให้มารดาได้รับทราบถึงความสำคัญของการยาตัวนี้ และบอกถึงผลเสียหากผู้ป่วยไม่ยินยอมให้สารน้ำ ซึ่งมารดาทำหน้าไม่พอใจ ผมจึงรายงานให้หัวหน้าเวรได้รับทราบ และหัวหน้าเวรได้เข้ามาอธิบายให้มารดาได้รับทราบอีกครั้ง พร้อมทั้ง ขออนุญาตให้มารดาและผู้ป่วยได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐานในการที่ผู้ป่วยไม่ยินยอมในการให้น้ำเกลือ แต่มารดาของผู้ป่วยกลับพูดว่า "ที่อื่นเขายังมีความพยายาม เด็กมันก็ดื้อแบบนี้ ทำไมไม่แทงให้ละ" ซึ่งหัวหน้าเวรจึงมอบหมายให้ผม ให้น้ำเกลือคนไข้ ซึ่งมารดาได้ต่อว่าผู้ป่วยว่าทำไมไม่ยอมให้พยาบาลแทงน้ำเกลือ แต่ผู้ป่วยกลับตะหวาดใส่มารดาของตนเองและไม่ยินยอมให้ผมให้น้ำเกลือ สรุปสุดท้าย มารดาจึงบอกกับผมว่าไม่ต้องแทงแล้ว และไม่ให้พยาบาลทำอะไรให้ทั้งสิ้น ตอนนั้นผมก็รู้สึกผิดในใจเหมือนกันว่าทำไมเราให้น้ำเกลือกับผู้ป่วยให้ได้ในครั้งแรก วึ่งผมปรเิมนเหตุการณ์แล้วว่าต้องมีปัญหาแน่ๆ ในเช้าวันรุ่งขึ้นมารดาได้ขอไม่สมัครใจนอนโรงพยาบาลและออกจากโรงพยาบาลไป
ในคืนวันลอยกระทง หน่วยงานของแม่ผมได้จัดงานลอยกระทง ผมจึงไปเป็นเพื่อนแม่เพื่อรอรับแม่กลับบ้าน ตอนแรกผมเห็นมารดาของผู้ป่วยรายนั้นแล้วแต่เขาไม่เห็นผมหรอก ผมก็ไม่ได้อะไรเดินดูอะไรไปเรื่อยๆ จนเริ่มเบื่อ จึงมานั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของแม่ผม อยู่ดีดีมีผู้ชายวัยกลางคนเมาสุราเดิมดุ่มๆๆๆเข้ามาหาผม(ทราบภายหลังว่าเขาคือพ่อของผู้รับบริการรายนี้) ชี้หน้าพร้อมต่อว่าผมว่าผมเป็นคนทำให้ลูกชายเขาผ่าสมอง บอกว่าจะเอาเรื่องผมอยู่ ซึ่งตอนนั้นมีเจ้าหน้าที่สิบกว่าคนนั่งอยู่กับผมด้วย ผมตกใจ ทำอะไรไม่ถูก ผมอายมาก ได้แต่บอกปฏิเสธว่าผมไม่ใช่แพทย์ ผมเป็นพยาบาล ทุกคนมองหน้าผม ผมกลายเป็นจำเลยของสังคม เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น ผู้ชายคนนั้นได้พาพรรคพวกมาดูหน้าผม จนเจ้าหน้าที่ต้องพาผมและแม่กลับบ้าน เพราะเกรงว่าจะมีเรื่อง ระหว่างเดินทางกลับผมถามแม่ว่า แม่เครียดมั้ย แม่ได้ให้กำลังใจผม พูดคุยจนผมสบายใจขึ้น ผมกลับบ้านมา ผมนอนไม่หลับ เพราะไม่เคยถูกผู้รับบริการด่าในที่สาธารณะแบบนี้ และผมก็แคร์ความรู้สึกแม่ กลัวแม่อายเพื่อนร่วมงาน ผมนอนไม่หลับทั้งคืน เช้าวันต่อมา ผมได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้หัวหน้าหอผู้ป่วยและผู้อำนวยการได้รับทราบ ผอ.ได้ให้ข้อคิดและให้กำลังใจผม จนผมรู้สึกสบายใจ
ผมเป็นเพียงฟันเฟืองตัวหนึ่งที่ทำให้ระบบสุขภาพดำเนินและเป็นไปตามในสิ่งที่ควรจะเป็น ผมได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของผมแล้ว ผมไม่รู้ว่าพวกคุณจะมองผมว่าอย่างไร วันนี้ผมเพียงเข้ามาระบายความอัดอั้นภายในใจให้คุณฟังเพียงเพื่ออยากให้คุณได้รับฟังเท่านั้นเองครับ ขอบคุณที่กรุณาอ่านกระทู้ของผม
สรุป เหตุการณ์นี้ มันสอนให้ผมรู้ว่า เราควรทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ทบทวนถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นในทุกการกระทำเสมอ และอย่าลืมหาจุดบกพร่องของตนเองเสมอเช่นกัน