[เม๊าหนัง] [อ่านเพลินๆ] [สปอลย์แม๊ก] Interstellar

ปกติเขียนรีวิวในเฟสอะคับ นี่ครั้งแรกที่ออกมาพันทิป ผิดหรือถูกยังงัยก็ช่วยกันเม้นมาได้ครับ

**********
ว่าด้วยเรื่องความไฝ่รู้ของมนุษย์

อันที่จริงเรื่องนี้ผมก็ไม่สามารถพูดอะไรได้มากเพราะเนื้อเรื่องส่วนใหญ่อิงกับทฤษฎีแบบวิทยาศาสตร์จ๋า แต่ก่อนอื่นผมขอนำเสนอคำศัพท์+ทฤษฏีที่เกี่ยวข้องซักหน่อย ซึ่งคิดว่าน่าจะจำเป็นก่อนจะพูดถึงเนื้อเรื่อง เช่น (1) Murphy’s law กฏของเมอร์ฟี่ที่ว่าด้วยเรื่องข้อผิดพลาดที่สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ (และมันจะเกิดแน่ๆ) หากสิ่งเหล่านั้นมีโอกาสผิดพลาดได้ เช่น ถ้ายานอวกาศมีความเป็นไปได้ที่จะระเบิดตอนส่งตัวออกไป มันก็จะระเบิดแน่ๆ (2) เรื่องทฤษฎีสัมพันธภาพ relativity ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และเวลาของไอน์สไตน์โดยสรุปได้ย่อๆว่า แรงโน้มถ่วงมีความสัมพันธกับเวลาและระยะทาง มีการแปรผันต่อกันและกัน (3) ทฤษฎี gravitational singularity ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของหลุมดำที่มวลสารจะมีค่าเป็น infinity มีแรงดึงดูดมหาศาล ดังนั้นกฎวิทยาศาสตร์ง่อยๆบนโลกไม่สามารถใช้ได้ ณ. ที่นี้ (4) Event horizon ระยะรัศมีของแรงดึงดูด (มหาศาล) ของซิงกูลาริตี้ เรียกได้ว่าถ้าเข้าไปอยู่ในโซนนี้ แทบไม่มีความเป็นไปได้เลยที่จะหลุดออกมา (เนื่องจากแรงโน้มถ่วง เวลาและสถานที่เกี่ยวข้องกันตามที่ไอสไตน์บอก นี่คือเหตุผลว่าทำไมใจกลางหลุมดำ – singularity หรือดาวในโซน event horizon จึงมีพื้นที่และเวลามั่วไปหมด เพราะมันมีแรงโน้มถ่วงไม่เหมือนโลกหรือหาค่าไม่ได้ พอใครตกลงไปในดาวเหล่านั้นก็เลยใช้จำนวนชั่วโมง (เวลา) ต่างกับโลกไปโดยบริยาย รวมไปถึงทฤษฏีสุดป๊อปคือ (5) quantum mechanics หรือกลศาสตร์ควอนตั้ม ซึ่งเป็นทฤษฏีฟิสิกส์ยุคใหม่ล่าสุดที่สามารถอธิบายถึงเรื่องการโยงใยกันเชิงควอนตั้ม (Quantum Entanglement) โดยเชื่อว่าเราสามารถเชื่อมโยงถึงกันและกันในเครือข่ายดวงดาวซึ่งสามารถข้ามมิติเรื่องเวลาและตำแหน่งพื้นที่ได้ จริงๆยังมีอีกเยอะมากที่โนแลนพูดถึง เช่น wormhole หรือเรื่องมิติที่ 5 แต่ที่หลักๆก็มีประมาณนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า จะดูหนังโนแลน คนง่อยๆดูไม่ได้นะครับ เป็นการสกรีนว่าคนดูหนังเค้าต้องมีความรู้ ต้องคิด และที่สำคัญต้องมีจินตนาการล้ำเลิศอีกด้วย (ล้ำไปถึงมิติที่ 5 เลยขร่ะ)

วิทยาศาสตร์กับความรู้สึก

ยอมรับอีกทีว่า โนแลนเค้าไปไกลจริงๆ ไกลกว่าที่คนธรรมดาจะคิดถึงซึ่งก็เป็นข้อดีนะครับ เพราะหนังส่วนใหญ่ของเค้าก็เหนือจินตนาการอยู่แล้ว โนแลนจับเอาประเด็นการถกเถียงทางด้านฟิสิกส์สมัยใหม่เรื่อง quantum และ relativity ว่ามันจะสามารถเอามาชนกันได้อย่างไร และถ้าชนกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องพื้นที่ เวลาและแรงโน้มถ่วงเลยถูกจับมาผูกเป็นประเด็นที่ดีมากๆ คือสามารถเล่นเนื้อเรื่องได้ถึง 3 แง่มุม ทั้งเรื่องแรงโน้มถ่วงที่เอามาเปิดประเด็น เวลาคือเรื่องเวลาที่แตกต่างกันในแต่ละดวงดาวที่ก่อให้เกิดดราม่า และพื้นทื่คือการเดินทางไปแต่ละดวงดาวต่างๆและการโยงใยซึ่งกันและกัน แต่อย่างไรก็ดี หนังของโนแลนจะแทรกความรู้สึกของมนุษย์ไว้ด้วยเสมอ ไอเดียที่ผมคิดว่าเฉียบสุดๆคือ ความรักสามารถเดินทางข้ามเวลาได้พอฟังประโยคนี้แล้ว โห ประเด็นนี้สามารถนำเอามาสร้างอีกเรื่องได้อย่างสบายๆ ผมอยากจะตีความว่า ความรักทำให้คนเราท่องไปในกาลเวลาได้ เช่นการคิดถึงใครซักคนในอดีต มันเหมือนการวาร์ปตัวเองไปในช่วงเวลาในอดีตที่ต้องการ (mentally) และก็อาจจะเป็นเช่นเดียวกันกับอนาคต ถ้าความรักไม่อยู่เหนือกาลเวลาจริงๆ หรือเป็น instant เมื่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งจบ ความรัก/ความผูกพันธ์ก็ควรจะจบไปด้วย มันไม่ควรอยู่ค้างมาถึงปัจจุบันหรืออนาคต จริงไหม? อีกประเด็นหนึ่งที่หนัง Si-Fi ชอบใช้คือ การใช้วิทยาศาตร์เพื่อรับใช้มวลมนุษย์ หรือพูดง่ายๆคือ วิทยาศาสตร์เกิดขึ้นมาเพื่อทำให้โลกมนุษย์ดีขึ้น โนแลนก็แอบเถียงเล็กน้อยว่า วิทยาศาสตร์ก้าวหน้าไปไกล ออกไปนอกโลกเพื่อไปหาที่อยู่ใหม่ให้กับชาวมนุษย์ก็จริง แต่ยังไง มนุษย์ก็ยังไม่พ้นเรื่องความรู้สึก และสามารถตีกันได้อยู่ดีแม้กระทั่งนอกโลก การหลอกให้มนุษย์รู้ว่ามีความหวังทั้งๆที่ไม่มีนั้น มันเป็นสิ่งสมควรหรือไม่ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ต้องถกเถียงกันต่อไป

ราคาของความใฝ่รู้

เถียงไม่ได้เลยว่า ตลอดเวลาตั้งแต่บรรพกาล มนุษย์มีสันดานใฝ่รู้มาตลอด ตั้งแต่สมัยกรีกซึ่งก็พยายามจะหาตำตอบทางสังคมที่เป็นนามธรรมว่า ความดีคืออะไร ความรักคืออะไร (โสกราตีส) ต่อมาในยุควิทยาศาสตร์ ก็สนองความอยากรู้ด้วยการทำการทดลองมากมายจนได้เป็นกฎ สูตรและทฤษฏีต่างๆ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่สงสัยอยู่ตรงหน้า ต่อมาก็มีมนุษย์ขี้สงสัยชื่อ ไอสไตน์ ที่พยายามตอบคำถามซึ่งไปไกลกว่าเรื่องบนโลกด้วยซ้ำ จนสามารถขบคิดทฤษฏีที่สามารถใช้ได้กับดวงดาวที่อยู่โคตรไกลตัวเหลือเกิน นอกจากนี้มนุษย์ยังทำการผ่าสัตว์ หรือแม้กระทั่งมนุษย์ด้วยกันเองเพื่อสนองตอบต่อความใคร่รู้ต่อกลไกของสิ่งมีชีวิต การเดินทางท่องอวกาศใครจะรู้ว่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้วด้วยแรงขับจากความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ หากแต่ว่า ความใฝ่รู้นี้มีมูลค่าหรือมีราคาต้องจ่าย ความรู้ที่นักวิทยาศาสตร์หรือในเรื่องคือ นักสำรวจ ต้องแลกมาคืออะไร มูลค่าของมันอาจไม่ใช่ทรัพย์สินแต่มันคือ เวลา เวลาคือทรัพยาการที่มีค่ามากที่สุดและไม่อาจหาทดแทนได้ ในตอนสุดท้าย คูเปอร์ได้กลับมาเจอลูกสาวจริง แต่การค้นพบมิติที่ 5 ที่อ้างว่าสามารถช่วยมนุษย์ได้ ก็ไม่สามารถทำให้เขาได้เวลาที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้ (เจอกันลูกสาวก็แก่หง่อมจะตายแล้ว) แม้แต่ตัวเขาเอง ก็ยังขอร้องตัวเองให้หยุดใฝ่รู้โดยส่งรหัสแบบไบนารี (ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องใช้อันนี้ในไซไฟทุกเรื่อง) เพื่อจะใช้เวลาอยู่กับลูกสาวให้คุ้มค่า แต่โนแลนก็เสนอว่า การออกไปหาความรู้ ออกไปสำรวจก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งและเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่ดี (คูปเปอร์ก็ขับยานออกไปในที่สุด) ซึ่งสันดานนี้คงจะไม่ได้หายไปได้ง่ายๆ โนแลน honor นักสำรวจมากเพราะคนเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นทัพหน้าในการหาความรู้ใหม่ๆ ซึ่งพวกเขาต้องเสียสละเวลา และอาจรวมไปถึงชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำในระหว่างทางที่จะเสริฟความรู้ใหม่ๆให้กับโลกใบนี้

สรุป ถ้าอยากเข้าใจเรื่องนี้มากๆก็คงต้องศึกษาเรื่องฟิสิกส์ซักหน่อยจะได้ตามทัน โดยรวมแล้วเรื่องนี้ก็ทำออกมาในสไตล์โนแลน คือ การใช้เรื่องราวที่มีความเป็นไปได้ (และที่ถกเถียงกันอยู่) มารวมกับจินตนาการที่สุดติ่ง บวกกับภาพสวยๆ ในอวกาศซึ่งดูแล้วก็เคว้งคว้าง วังเวงดี คิดไม่ออกเลยว่า คนที่ต้องรอการกลับมาของใครบางคนเป็นสิบๆปีโดยที่ไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร มันจะทรมานมากแค่ไหน คนอย่างเราๆ เนี่ย แค่รอชั่วโมงนึงก็แทบบ้าแล้วมั้ง

ขอบคุณครับที่อ่าน

ถ้าสนใจอ่านเพิ่มก็ไปอ่านต่อได้ที่
http://writer.dek-d.com/Exorcist/story/viewlongc.php
http://en.wikipedia.org/wiki/Theory_of_relativity
http://en.wikipedia.org/wiki/Gravitational_singularity
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่