สวัสดีค่ะ...กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่โพสขึ้นมา หลังจากติดตามซุ่มอ่านเรื่องราวของคนอื่นมานานพอสมควร หากผิดที่ผิดทางหรือใช้ภาษาหรือวาจาไม่สุภาพ ขออภัยด้วยนะคะ !!!
เริ่มเลยนะคะ >> ปัญหาของเราเป็นปัญหาครอบครัวที่แก้ไม่ตกและไม่รู้จะแก้ยังไง ไม่ใช่เรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่เรากำลังเผชิญอยู่ เรื่องราวของเรากับว่าที่อดีตสามีเกิดขึ้นมามากกว่าสิบปี เรารู้จักกับเค้าตอนเราอยู่ ม.3 เราอายุ 14 ปี ( ปัจจุบันอายุ 29 ปี ) ตอนนั้นว่าที่อดีตสามี เราขอเรียกชื่อสมมติว่า "ที" ทีเค้าอายุห่างกับเรา 6 ปี บ้านแม่ทีที่อยู่ ตจว. อยู่ติดกับบ้านเพื่อนสนิทเรา ปกติทีจะอยู่กรุงเทพฯ จะกลับไปบ้านแม่เฉพาะช่วงปิดเทอม บังเอิญเราไปทำรายงานบ้านเพื่อนแล้วทีก็เดินมาทักเพื่อนเรา นั่นจึงทำให้เราเจอกับที หลังจากนั้นทีก็ขอเบอร์บ้านเราจากเพื่อนสนิทเรา จนเปิดเทอมทีก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯ ก็คุยกันมาเรื่อยๆ ส่งจดหมายหากันบ้าง เราหยอดตู้หาทีบ้าง ปิดเทอมก็เจอกันบ้าง คุยกันแบบเด็กๆ เพราะที่บ้านเราค่อนข้างจะหวงเราและส่งเสริมด้านการเรียนตลอด ชีวิตวัยเด็กของเราค่อนข้างจะอยู่แต่กับการเรียนมาตลอด เลิกเรียนก็เรียนพิเศษเลิก 2 ทุ่ม พ่อไปรอรับ เสาร์-อาทิตย์ ปิดเทอมก็เรียนพิเศษ เพราะพ่อแม่เราเป็นครูก็ส่งเสริมเรื่องเรียนมากกว่าคนอื่นๆ >>> เราก็คุยกับทีมาเรื่อยๆจนเราต้องสอบเอนฯเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ่อแม่เราให้เลือกเรียนมหาวิทยาลัย จ.ใกล้บ้าน แต่เราเป็นคนรั้น ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะเชื่อพ่อแม่เราทุกอย่าง !!! ด้วยความที่อยากอยู่ใกล้ที เราจึงเลือกลงคณะที่เราคะแนนถึงและอยู่ในกรุงเทพฯ ผลเอนฯออกมาปรากฎว่าเราก็ติดมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้นๆของประเทศ พ่อแม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าเชื่อในการตัดสินใจของเราเสมอเพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจเลย แล้วเรื่องราววุ่นวายของเราก็เริ่มต้น เราก็ใช้ชีวิตนิสิตปกติ ระหว่างนั้นเราก็คบกับทีมาเรื่อยๆ ทีเค้าก็ดูแลเราดีมาตลอด ด้วยความที่เค้าอายุมากกว่าเรา เราก็เชื่อฟังเค้ามาตลอด ตอนเราเรียน ป.ตรี เค้ากำลังเรียนต่อ ป.โทและทำงานไปด้วย เค้ามารับเรากินข้าวแทบทุกวัน ดูแลเราดีมากๆ เราไม่เคยไปไหนมาไหนเองเลย เราจะอยู่แค่กลุ่มเพื่อนสนิทและทีเท่านั้น ทีเคยบอกเราว่า "ห้ามไปไหนคนเดียวโดยไม่มีเค้าหรือเพื่อนไป" เค้าเป็นคนที่ขี้หึงและหวงเรามาก ตอนนั้นเราก็รู้สึกดีนะ บางครั้งเราก็ไปค้างคอนโดทีบ้าง (เค้าแยกออกจากที่บ้านเค้ามาอยู่คอนโดใกล้ๆที่เรียนเค้า) บางครั้งเค้าก็แอบเอาเงินใส่กระเป๋าไว้ให้เรา จนเรารู้สึกว่าเราโชคดีมากๆที่มีทีเป็นแฟน ซึ่งเป็นอันรู้กันในกลุ่มเพื่อนว่าเรามีแฟนและแฟนหวงมาก เอาแค่ว่าเพื่อนผู้ชายหรือทอมอย่าได้เข้าใกล้ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยมันไม่จบแค่นั้น ทีหึงเรามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดว่าเบอร์เพื่อนผู้ชายในมือถือเรา ทีแอบลบหมด จนบางทีเราต้องเมมเบอร์เพื่อนผู้ชายเป็นชื่อผู้หญิง มีครั้งนึงเรากำลังนั่งเล่นเกมส์ที่คอนโดที เพื่อนผู้ชายเราโทรมาเพื่อจะขอยืมเลคเชอร์ ทีเห็นเป็นเบอร์ผู้หญิงก็ให้เรารับสายปกติ แต่เสียงในมือถือดันเล็ดลอดออกมา เท่านั้นแหละทีโมโหจับมือถือเราเขวี้ยงลงพื้นเลยค่ะ แล้วก็ทะเลาะกัน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทีเริ่มใช้กำลังกับเรา แต่ไม่ได้รุนแรงมากนัก แค่แขนเขียวเนื่องจากแรงกระชากลากถู หลังจากวันนั้นเราก็ยังคบกันมาเรื่อยๆแต่ก็ทะเลาะกันบ่อย จนเพื่อนๆรำคาญและเริ่มไม่แฮปปี้กับพี่แกแล้ว แต่เราก็ไม่ได้มีใครก็เลยคบกันมาเรื่อย ระหองระแหงกันตามประสา (เรื่องหึงหวงนี่สุดยอด เราหน้าตาหมวยๆขาวๆแต่ก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย ) จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต >> เราท้อง !!!! แต่เรายังเรียนไม่จบ เรากำลังเรียน ปี4 เราไม่รู้จะทำยังไง เราไม่ได้บอกใครสักคนแม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุด มีแค่เรากับทีที่รู้ ทีเลือกที่จะเก็บลูกไว้ แต่เราไม่อยากเก็บไว้เพราะพ่อแม่เราต้องผิดหวังมากๆ และพ่อแม่เราก็ไม่ได้ชอบทีเลย ที่บ้านทีค้าขายจึงออกแนวพูดจาโผงผางและไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ ส่วนที่บ้านเราเป็นข้าราชการก็ค่อนข้างจะไม่ค่อยโอเคกันสักเท่าไหร่ หลังจากนั้นเราก็เริ่มย้ายมาอยู่คอนโดที เพราะกลัวเพื่อนรู้ เวลาไปเรียนก็ใส่เสื้อแขนยาวคลุมและใส่กระโปรงพลีท เราเป็นคนผอมจึงมองไม่ค่อยเห็นท้อง เราอยุ่แบบนั้นเรื่อยมาจนคลอด ทีถึงโทรบอกเพื่อนสนิทเราและเล่าทุกอย่างให้ฟัง แล้วทีก็บอกแม่ทีว่าเราคลอดลูกแล้ว ที่ต้องบอกแม่เพราะจำเป็นต้องแจ้งชื่อลูกเข้าทะเบียนบ้าน ทุกคนช็อคมากเพราะไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่แม่ทีก็มารับลูกเราไปเลี้ยงให้ที่ ตจว. โดยให้เราเรียนต่อให้จบก่อนค่อยให้เราบอกพ่อแม่เรา ระหว่างนั้นให้เราส่งเสียค่านมค่าใช้จ่ายต่างๆเดือนละ 5,000 บาท ( ตอนนั้นเรายังเรียนอยู่ได้ค่าขนมแค่อาทิตย์ละ 2,500 ) ทีกับเราก็ช่วยกัน ช่วงหลังคลอดเราก็มีเนื้อมีหนังมากขึ้น สวยขึ้น จากที่เคยผอมเป็นไม้เสียบผี ทีก็ยิ่งหึงรุนแรงขึ้นและหยาบคายมากขึ้นๆ จนเราเริ่มรับไม่ไหว เราก็เริ่มปรึกษาเพื่อนว่าควรทำยังไงดี เราก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว สรุปคือเราต้องอดทนทั้งๆที่อยากเลิก แล้วเราก็เรียนจบ ก็ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอสอบเข้าทำงาน เราจึงตัดสินใจบอกแม่เรื่องลูก ซึ่งตอนนั้นลูกเราอายุได้เกือบ 3 เดือนแล้ว แม่เราช็อคมาก ด้วยความที่ยังไงลูกเราก็คือหลาน แม่ก็อยากเปิดเผย จึงจะให้เราแต่งงาน แต่เราไม่ได้อยากแต่งเลย เพราะเรารู้ว่าแต่งงานแล้วจะเป็นยังไง ท่าจะไปกันไม่รอด (เพิ่งคิดได้เมื่อสายเสียแล้ว) พ่อแม่เราก็เชิญผู้ใหญ่ฝั่งทีมาคุย ข้อสรุปคือ ทางนั้นบอกว่ารอให้ทีบวชก่อน แล้วเงินทองสินสอดก็ไม่พร้อม แม่เราไม่โอเค และแม่เรารอไม่ได้ถึงขนาดจะให้ใครก็ได้มาแต่งหลอกๆกับเราแล้วแกล้งเลิกกับเรา ระหว่างนั้นให้เรากลับมาอยู่กรุงเทพฯสัก 2-3 ปี จนคนอื่นลืมว่าเราแต่งงานเมื่อไหร่ ท้องเมื่อไหร่ ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป เพื่อจะได้เปิดเผยหลานให้สังคมรับรู้ เพราะถ้าช้าลูกเราก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆมันจะยาก ( ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร !!! ) สุดท้ายแม่เราก็จัดงานแต่งเอง โดยที่ค่าใช้จ่ายบ้านเราออกเองทั้งหมด ส่วนสินสอดทองหมั้นก็เป็นของที่บ้านเราทั้งหมด ซึ่งเราถือเงินและของหมั้นไปให้ฝ่ายชายถือมาตอนแห่ขันหมาก ( พ่อแม่เราค่อนข้างมีหน้าตาทางสังคมก็ต้องสมมาพาควร ) แต่เราทุเรศตัวเองมากๆ แต่งงานยังไม่มีแม้แต่สินสอดทองหมั้น แม้แต่ทองสักสลึงก็ยังไม่มีให้ ทั้งๆที่ครอบครัวทีฐานะดีกว่าบ้านเรา แต่งกมากๆไม่อยากเสียสักบาท
~เดี๋ยวมาต่อนะคะ ขับรถกลับบ้านก่อน~
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา...ทุ่มเททุกอย่าง ทั้งเสียเงิน เสียใจ เสียเวลา สิ่งที่ได้กลับมาคือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือ "ลูก"
เริ่มเลยนะคะ >> ปัญหาของเราเป็นปัญหาครอบครัวที่แก้ไม่ตกและไม่รู้จะแก้ยังไง ไม่ใช่เรื่องที่ผ่านมาแล้วแต่เรากำลังเผชิญอยู่ เรื่องราวของเรากับว่าที่อดีตสามีเกิดขึ้นมามากกว่าสิบปี เรารู้จักกับเค้าตอนเราอยู่ ม.3 เราอายุ 14 ปี ( ปัจจุบันอายุ 29 ปี ) ตอนนั้นว่าที่อดีตสามี เราขอเรียกชื่อสมมติว่า "ที" ทีเค้าอายุห่างกับเรา 6 ปี บ้านแม่ทีที่อยู่ ตจว. อยู่ติดกับบ้านเพื่อนสนิทเรา ปกติทีจะอยู่กรุงเทพฯ จะกลับไปบ้านแม่เฉพาะช่วงปิดเทอม บังเอิญเราไปทำรายงานบ้านเพื่อนแล้วทีก็เดินมาทักเพื่อนเรา นั่นจึงทำให้เราเจอกับที หลังจากนั้นทีก็ขอเบอร์บ้านเราจากเพื่อนสนิทเรา จนเปิดเทอมทีก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯ ก็คุยกันมาเรื่อยๆ ส่งจดหมายหากันบ้าง เราหยอดตู้หาทีบ้าง ปิดเทอมก็เจอกันบ้าง คุยกันแบบเด็กๆ เพราะที่บ้านเราค่อนข้างจะหวงเราและส่งเสริมด้านการเรียนตลอด ชีวิตวัยเด็กของเราค่อนข้างจะอยู่แต่กับการเรียนมาตลอด เลิกเรียนก็เรียนพิเศษเลิก 2 ทุ่ม พ่อไปรอรับ เสาร์-อาทิตย์ ปิดเทอมก็เรียนพิเศษ เพราะพ่อแม่เราเป็นครูก็ส่งเสริมเรื่องเรียนมากกว่าคนอื่นๆ >>> เราก็คุยกับทีมาเรื่อยๆจนเราต้องสอบเอนฯเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย พ่อแม่เราให้เลือกเรียนมหาวิทยาลัย จ.ใกล้บ้าน แต่เราเป็นคนรั้น ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะเชื่อพ่อแม่เราทุกอย่าง !!! ด้วยความที่อยากอยู่ใกล้ที เราจึงเลือกลงคณะที่เราคะแนนถึงและอยู่ในกรุงเทพฯ ผลเอนฯออกมาปรากฎว่าเราก็ติดมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับต้นๆของประเทศ พ่อแม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไร เค้าเชื่อในการตัดสินใจของเราเสมอเพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจเลย แล้วเรื่องราววุ่นวายของเราก็เริ่มต้น เราก็ใช้ชีวิตนิสิตปกติ ระหว่างนั้นเราก็คบกับทีมาเรื่อยๆ ทีเค้าก็ดูแลเราดีมาตลอด ด้วยความที่เค้าอายุมากกว่าเรา เราก็เชื่อฟังเค้ามาตลอด ตอนเราเรียน ป.ตรี เค้ากำลังเรียนต่อ ป.โทและทำงานไปด้วย เค้ามารับเรากินข้าวแทบทุกวัน ดูแลเราดีมากๆ เราไม่เคยไปไหนมาไหนเองเลย เราจะอยู่แค่กลุ่มเพื่อนสนิทและทีเท่านั้น ทีเคยบอกเราว่า "ห้ามไปไหนคนเดียวโดยไม่มีเค้าหรือเพื่อนไป" เค้าเป็นคนที่ขี้หึงและหวงเรามาก ตอนนั้นเราก็รู้สึกดีนะ บางครั้งเราก็ไปค้างคอนโดทีบ้าง (เค้าแยกออกจากที่บ้านเค้ามาอยู่คอนโดใกล้ๆที่เรียนเค้า) บางครั้งเค้าก็แอบเอาเงินใส่กระเป๋าไว้ให้เรา จนเรารู้สึกว่าเราโชคดีมากๆที่มีทีเป็นแฟน ซึ่งเป็นอันรู้กันในกลุ่มเพื่อนว่าเรามีแฟนและแฟนหวงมาก เอาแค่ว่าเพื่อนผู้ชายหรือทอมอย่าได้เข้าใกล้ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อยมันไม่จบแค่นั้น ทีหึงเรามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขนาดว่าเบอร์เพื่อนผู้ชายในมือถือเรา ทีแอบลบหมด จนบางทีเราต้องเมมเบอร์เพื่อนผู้ชายเป็นชื่อผู้หญิง มีครั้งนึงเรากำลังนั่งเล่นเกมส์ที่คอนโดที เพื่อนผู้ชายเราโทรมาเพื่อจะขอยืมเลคเชอร์ ทีเห็นเป็นเบอร์ผู้หญิงก็ให้เรารับสายปกติ แต่เสียงในมือถือดันเล็ดลอดออกมา เท่านั้นแหละทีโมโหจับมือถือเราเขวี้ยงลงพื้นเลยค่ะ แล้วก็ทะเลาะกัน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ทีเริ่มใช้กำลังกับเรา แต่ไม่ได้รุนแรงมากนัก แค่แขนเขียวเนื่องจากแรงกระชากลากถู หลังจากวันนั้นเราก็ยังคบกันมาเรื่อยๆแต่ก็ทะเลาะกันบ่อย จนเพื่อนๆรำคาญและเริ่มไม่แฮปปี้กับพี่แกแล้ว แต่เราก็ไม่ได้มีใครก็เลยคบกันมาเรื่อย ระหองระแหงกันตามประสา (เรื่องหึงหวงนี่สุดยอด เราหน้าตาหมวยๆขาวๆแต่ก็ไม่ได้สวยอะไรมากมาย ) จนกระทั่งมาถึงจุดเปลี่ยนของชีวิต >> เราท้อง !!!! แต่เรายังเรียนไม่จบ เรากำลังเรียน ปี4 เราไม่รู้จะทำยังไง เราไม่ได้บอกใครสักคนแม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุด มีแค่เรากับทีที่รู้ ทีเลือกที่จะเก็บลูกไว้ แต่เราไม่อยากเก็บไว้เพราะพ่อแม่เราต้องผิดหวังมากๆ และพ่อแม่เราก็ไม่ได้ชอบทีเลย ที่บ้านทีค้าขายจึงออกแนวพูดจาโผงผางและไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไหร่ ส่วนที่บ้านเราเป็นข้าราชการก็ค่อนข้างจะไม่ค่อยโอเคกันสักเท่าไหร่ หลังจากนั้นเราก็เริ่มย้ายมาอยู่คอนโดที เพราะกลัวเพื่อนรู้ เวลาไปเรียนก็ใส่เสื้อแขนยาวคลุมและใส่กระโปรงพลีท เราเป็นคนผอมจึงมองไม่ค่อยเห็นท้อง เราอยุ่แบบนั้นเรื่อยมาจนคลอด ทีถึงโทรบอกเพื่อนสนิทเราและเล่าทุกอย่างให้ฟัง แล้วทีก็บอกแม่ทีว่าเราคลอดลูกแล้ว ที่ต้องบอกแม่เพราะจำเป็นต้องแจ้งชื่อลูกเข้าทะเบียนบ้าน ทุกคนช็อคมากเพราะไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่แม่ทีก็มารับลูกเราไปเลี้ยงให้ที่ ตจว. โดยให้เราเรียนต่อให้จบก่อนค่อยให้เราบอกพ่อแม่เรา ระหว่างนั้นให้เราส่งเสียค่านมค่าใช้จ่ายต่างๆเดือนละ 5,000 บาท ( ตอนนั้นเรายังเรียนอยู่ได้ค่าขนมแค่อาทิตย์ละ 2,500 ) ทีกับเราก็ช่วยกัน ช่วงหลังคลอดเราก็มีเนื้อมีหนังมากขึ้น สวยขึ้น จากที่เคยผอมเป็นไม้เสียบผี ทีก็ยิ่งหึงรุนแรงขึ้นและหยาบคายมากขึ้นๆ จนเราเริ่มรับไม่ไหว เราก็เริ่มปรึกษาเพื่อนว่าควรทำยังไงดี เราก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว สรุปคือเราต้องอดทนทั้งๆที่อยากเลิก แล้วเราก็เรียนจบ ก็ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านเพื่อรอสอบเข้าทำงาน เราจึงตัดสินใจบอกแม่เรื่องลูก ซึ่งตอนนั้นลูกเราอายุได้เกือบ 3 เดือนแล้ว แม่เราช็อคมาก ด้วยความที่ยังไงลูกเราก็คือหลาน แม่ก็อยากเปิดเผย จึงจะให้เราแต่งงาน แต่เราไม่ได้อยากแต่งเลย เพราะเรารู้ว่าแต่งงานแล้วจะเป็นยังไง ท่าจะไปกันไม่รอด (เพิ่งคิดได้เมื่อสายเสียแล้ว) พ่อแม่เราก็เชิญผู้ใหญ่ฝั่งทีมาคุย ข้อสรุปคือ ทางนั้นบอกว่ารอให้ทีบวชก่อน แล้วเงินทองสินสอดก็ไม่พร้อม แม่เราไม่โอเค และแม่เรารอไม่ได้ถึงขนาดจะให้ใครก็ได้มาแต่งหลอกๆกับเราแล้วแกล้งเลิกกับเรา ระหว่างนั้นให้เรากลับมาอยู่กรุงเทพฯสัก 2-3 ปี จนคนอื่นลืมว่าเราแต่งงานเมื่อไหร่ ท้องเมื่อไหร่ ใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป เพื่อจะได้เปิดเผยหลานให้สังคมรับรู้ เพราะถ้าช้าลูกเราก็เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆมันจะยาก ( ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร !!! ) สุดท้ายแม่เราก็จัดงานแต่งเอง โดยที่ค่าใช้จ่ายบ้านเราออกเองทั้งหมด ส่วนสินสอดทองหมั้นก็เป็นของที่บ้านเราทั้งหมด ซึ่งเราถือเงินและของหมั้นไปให้ฝ่ายชายถือมาตอนแห่ขันหมาก ( พ่อแม่เราค่อนข้างมีหน้าตาทางสังคมก็ต้องสมมาพาควร ) แต่เราทุเรศตัวเองมากๆ แต่งงานยังไม่มีแม้แต่สินสอดทองหมั้น แม้แต่ทองสักสลึงก็ยังไม่มีให้ ทั้งๆที่ครอบครัวทีฐานะดีกว่าบ้านเรา แต่งกมากๆไม่อยากเสียสักบาท
~เดี๋ยวมาต่อนะคะ ขับรถกลับบ้านก่อน~