ชอบอ่านวิธีคิด วิธีทำคนรวย แล้วลองนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันในสิ่งที่ทำได้ เผื่อจะรวยบ้าง
ในสถานการณ์ที่ต้องยอมตัดใจขายสินทรัพย์ คุณธนินท์ตัดสินใจรักษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการเกษตร ไว้
เนื่องจากตระหนักว่ามนุษย์สามารถเลื่อนการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์หรือเสื้อผ้าได้ แต่เรื่องปากท้องต้องกินทุกวัน
https://www.facebook.com/share/p/17G2vqMXsx/?mibextid=wwXIfr
“
ธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไรที่คิดไม่ถึง มันเกิดขึ้นตลอดเวลา”
นี่คือคำพูดของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ย้ำว่า ในโลกธุรกิจ ทุกวันเต็มไปด้วยความเสี่ยง
และคุณธนินท์ ก็เคยเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ ตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง ไปจนถึงวิกฤติโควิด
ซึ่งไม่เพียงฟันฝ่าเอาตัวรอดมาได้ แต่ยังสั่งสมประสบการณ์ จนเป็นตำราและบทเรียนที่ทำให้เครือ CP ก้าวสู่ระดับโลก
และนี่คือตำราฝ่าวิกฤติฉบับ คุณธนินท์ เจียรวนนท์
ที่ลงทุนแมนคิดว่าน่าศึกษาวิธีคิด..
บทเรียนที่ 1 การบริหารความเสี่ยงและการรับมือวิกฤติ
คุณธนินท์เชื่อว่า การทำธุรกิจย่อมมี “ความเสี่ยง” อยู่เสมอ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าไม่เสี่ยง
แต่หากการลงทุนใดมีความเสี่ยงถึงขั้นทำให้ บริษัทแม่ล้มละลายได้ ต่อให้มีกำไรดีเพียงใดก็ไม่ควรลงทุน
วิกฤติที่หนักที่สุด ในชีวิตของคุณธนินท์คือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
ซึ่งเป็นวิกฤติที่เกิดจากนโยบายที่ผิดพลาด ทำให้สถานการณ์ที่ควรจะเบากลับกลายเป็นหนักเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในเวลานั้นประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน ระดับแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
คุณธนินท์ยอมรับว่าความผิดพลาดส่วนตัวคือ การคาดไม่ถึงว่าค่าเงินบาท จะพุ่งสูงอย่างรวดเร็วจาก 25 บาท ไปถึง 55 บาท
แต่เมื่อเจอวิกฤติ คุณธนินท์ยอมรับว่า ไม่สามารถรักษาธุรกิจไว้ได้ทั้งหมด และจำเป็นต้องขาย "ของดี" เพื่อนำเงินมารักษาสภาพคล่องไว้ เพราะ "ของไม่ดี" ให้ฟรีเขาก็ไม่เอา
แต่อีกมุม ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เช่น คนที่ทำธุรกิจส่งออก ซึ่งได้ประโยชน์จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว
หรือก็คือ ในทุกวิกฤติ จะมีทั้งคนที่ร่ำรวย และคนที่ล้มละลาย หรือยากจนลง
บทเรียนที่ 2 ดาบสองคมที่ชื่อว่า เทคโนโลยี
ในบรรดาความไม่แน่นอนทั้งหลาย เทคโนโลยีคือสิ่งที่คุณ ธนินท์ มองว่าน่ากลัวที่สุด เพราะมันพัฒนาเร็วแบบไม่หยุดยั้ง และเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นใหม่บ้าง
ตัวอย่างคือ ธุรกิจที่เคยเป็นพระเอกและทำกำไรให้กับ CP อย่างเคเบิลใต้มหาสมุทร ซึ่งได้เงินตราต่างประเทศ (USD) จากการให้เช่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต
CP ร่วมทุนกับ Nynex (บริษัทโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น) ลงทุนเคเบิลใต้มหาสมุทรเชื่อมโยงไทยตรงไปถึงยุโรป ญี่ปุ่น และอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เคเบิลใต้มหาสมุทรที่ลงทุนไปมหาศาลนั้น กลับล้มละลาย เนื่องจากเมื่อลงทุนเสร็จ ก็มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเร็วขึ้นถึง 3 เท่า โดยใช้การลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่งผลให้หุ้น True ร่วงจาก 130 บาท เหลือเพียง 2 บาท
คุณธนินท์ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในชีวิต ที่ไม่ได้ขายหุ้น True บางส่วน เช่น 10-20% ในราคา 80 บาท เพื่อรักษาธุรกิจหลักไว้ งั้นคงไม่ต้องขายทั้งแม็คโคร โลตัส และดาวเทียม..
บทเรียนคือ หากจะลงทุนด้านเทคโนโลยี ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า มีใครกำลังศึกษาหรือคิดค้นสิ่งใหม่ ซึ่งอาจเข้ามาแทนที่ของเดิมที่ใช้การลงทุนมหาศาลได้
“เพราะเหนือฟ้า ยังมีฟ้า”
บทเรียนที่ 3 การเลือกธุรกิจหลัก
ในสถานการณ์ที่ต้องยอมตัดใจขายสินทรัพย์ คุณธนินท์ตัดสินใจรักษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการเกษตร ไว้
เนื่องจากตระหนักว่ามนุษย์สามารถเลื่อนการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์หรือเสื้อผ้าได้ แต่เรื่องปากท้องต้องกินทุกวัน
ธุรกิจที่ CP รักษาไว้ ได้แก่ อาหาร, ค้าปลีก (7-Eleven) และเจริญโภคภัณฑ์ (เกษตร)
ซึ่งคนภายนอกมักไม่เข้าใจและคิดว่า CP ทำเพียงอาหารสัตว์ แต่แท้จริงแล้ว CP ทำอาหารคน โดยอาหารสัตว์เป็นเพียงขั้นตอนกลางที่ใช้เทคโนโลยีสูงมาก
อาหารสัตว์ต้องถูกออกแบบสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญหรือดอกเตอร์ และต้องผ่านการวิเคราะห์ในห้องแล็บที่ทันสมัยไม่แพ้โรงพยาบาล
CP มุ่งมั่นในมาตรฐานอาหาร โดยต้องเลี้ยงสัตว์อย่างสบายและไม่ทรมาน และมีการวิจัยเรื่องสำคัญ เช่น การผลิตหมูที่มีน้ำมันโอเมก้า 3 ที่ต้องเลี้ยงในที่สะอาดที่สุด และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเลย
บทเรียนที่ 4 วิกฤติโควิด-19 ที่คาดไม่ถึง
คุณธนินท์ คิดไม่ถึงว่าวิกฤติโควิด จะลากยาวไปนานถึง 3 ปีกว่า โดยคาดไว้ว่าวิกฤติจะยาวนานสูงสุดเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น
ความยืดเยื้อของวิกฤติ ทำให้เกิดผลกระทบที่คาดไม่ถึงตามมา เช่น กัปตันเครื่องบินและพนักงานต้อนรับ ต้องไปหางานอื่น
แม้ว่าวิกฤติจะผ่านไปและมีการเปิดประเทศ แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือความไม่พร้อมของระบบต่าง ๆ เช่น ท่าเรือและสนามบินของแต่ละประเทศไม่พร้อม รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรในการทำงาน
เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติต้มยำกุ้งนั้นยังพอรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดวิกฤติ แต่โควิดไม่รู้ล่วงหน้า และอยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้น
บทเรียนคือ การทำธุรกิจนั้นมีวิกฤติอยู่เรื่อย ๆ และสิ่งที่เราคิดไม่ถึงนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
วิกฤติที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ เป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำถึงความอันตรายของการลงทุนในไฮเทคหรือการทำธุรกิจใด ๆ ที่เราต้องประเมินความเสี่ยงอยู่เสมอ
บทเรียนที่ 5 การสร้างคน
โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากองค์กรขนาดใหญ่ตามไม่ทันก็จะยิ่งเจ็บตัวมาก CP จึงต้องเปลี่ยนนโยบาย โดยให้คนหน้างาน (ผู้ปฏิบัติงาน, ผู้จัดการร้าน) มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง
ส่วนผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่สนับสนุน เปรียบเสมือนฮ่องเต้ให้อำนาจแม่ทัพที่สนามรบ
คุณธนินท์เน้นย้ำว่า “ปัญญา” คือสิ่งที่สำคัญกว่า “ปริญญา” เพราะปริญญาสามารถเรียนได้ แต่ปัญญาต้องมาจากการลงมือปฏิบัติจริง
วิธีทดสอบคนเก่งคือการมอบหมายงานยาก ๆ หรือโปรเจกต์ใหม่ ๆ ไม่ใช่ให้ทำงานเดิมซ้ำ ๆ จนพรสวรรค์หายไป
สำหรับสมาชิกครอบครัวที่เข้ามาทำงานในเครือ ต้องไม่ทำงานที่สำเร็จอยู่แล้ว แต่ต้องไป “กู้วิกฤติ” หรือสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อเรียนรู้จริง
และที่สำคัญ คุณ ธนินท์ ชี้ว่า “ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องเสียหาย” ถ้าไม่ได้ตั้งใจผิด เราต้องเรียนรู้จากมัน แล้วแก้ไขในวันรุ่งขึ้น
อีกทั้งปัจจุบัน เทคโนโลยีมีบทบาทต่อแรงงานสูง เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น IoT, กล้องอัจฉริยะ, AI เป็นเครื่องทุ่นแรง เพื่อให้คนทำงานได้ 10-20 เท่า เช่น ช่วยผู้จัดการหนึ่งคน สามารถดูแลสาขาของร้านค้าได้ถึง 10-20 แห่ง
คุณธนินท์ คาดการณ์ว่าในอนาคต หุ่นยนต์จะเพิ่มงาน ไม่ใช่ลดงาน โดยมนุษย์จะไปทำหน้าที่สร้างเครื่องจักร ดูแลโรงงาน และบริหารจัดการแทน
และชั่วโมงการทำงานจะลดลงเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ และสุดท้ายอาจเหลือ 2-3 วันต่อสัปดาห์ โดยที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้
บทบาทของมนุษย์ ยังคงสำคัญที่สุด เพราะมนุษย์เป็นคนคิด สร้าง และบริหารจัดการเครื่องจักรและหุ่นยนต์ รวมถึงเป็นผู้บริโภคสิ่งที่สร้างขึ้นมา
แต่การศึกษา ต้องปรับหลักสูตรให้สร้างคนที่มีความรู้ที่โลกยุค 4.0 ต้องการ ไม่ใช่สร้างคนที่มีความรู้ล้าสมัย
และหากไทยขาดแคลนคนเก่งในยุค 4.0 ควร นำเข้าคนเก่งจากทั่วโลกมาเป็นคนไทย เพื่อมาสร้างธุรกิจ สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งคนไทยเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติเพราะมีอัธยาศัยดี
คุณธนินท์ย้ำว่า ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปกี่ .0 ก็ตาม คนยังมีความสำคัญมากขึ้นเสมอ แต่หากคนไม่เก่งพอ จะถูกโลกและเทคโนโลยีทอดทิ้ง
บทเรียนที่ 6 กลยุทธ์ระดับโลกของ CP
CP ใช้มืออาชีพและคนเก่งจากทั่วโลก โดยถือว่าพวกเขาคือ คนในครอบครัวของ CP เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจไปยังกว่า 100 ประเทศได้
เมื่อ CP ไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา จะต้องนำเทคโนโลยีที่สูงไปใช้ เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นได้รับประโยชน์ และรู้สึกว่า CP มาช่วยประเทศของเขา
โดย CP มีค่านิยม 6 ข้อ
1. ประชาชนและประเทศนั้นต้องได้ประโยชน์ก่อน แล้วบริษัทจึงจะได้ประโยชน์
2. ต้องมีนวัตกรรม
3. ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง
4. ต้องมีความรวดเร็ว และมีคุณภาพ
5. ต้องสามารถทำเรื่องยาก ให้เป็นเรื่องง่าย
6. ความกตัญญู ต้องซื่อสัตย์ สุจริต และกตัญญูต่อประเทศชาติ
ซึ่งถ้าให้ลงทุนแมนสรุปแนวคิดของคุณ ธนินท์ 3 ข้อสั้น ๆ ก็คงเป็น
1. กล้าเสี่ยงแต่ต้องไม่บ้าเสี่ยงจนล้มละลาย
2. รู้จักยอมรับความล้มเหลว ความผิดพลาด ยอมเสียแขนขา รักษาชีวิต เพื่อที่จะได้มีลมหายใจเอาคืนในวันข้างหน้า
3. สร้างคนให้เก่ง ควบคู่ไปกับการรักษาศักยภาพคนเก่งในองค์กร
ทั้งหมดนี้เอง คือหัวใจที่ผลักดันให้เครือ CP ก้าวข้ามผ่านวิกฤติ และขึ้นมาเป็นธุรกิจระดับประเทศ ระดับโลกได้..
บทความนี้สรุปจากการสัมภาษณ์คุณคุณธนินท์ เจียรวนนท์ หัวข้อ “ถอดคมคิด เปิดตำราฝ่าวิกฤติ ฉบับเครือซีพี” จากหอการค้าไทย ในช่อง ThaiChamber Official
สรุปวิธีคิด สู้วิกฤติ ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี /โดย ลงทุนแมน
ในสถานการณ์ที่ต้องยอมตัดใจขายสินทรัพย์ คุณธนินท์ตัดสินใจรักษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการเกษตร ไว้
เนื่องจากตระหนักว่ามนุษย์สามารถเลื่อนการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์หรือเสื้อผ้าได้ แต่เรื่องปากท้องต้องกินทุกวัน
https://www.facebook.com/share/p/17G2vqMXsx/?mibextid=wwXIfr
“ธุรกิจที่ไม่มีความเสี่ยง เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไรที่คิดไม่ถึง มันเกิดขึ้นตลอดเวลา”
นี่คือคำพูดของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ย้ำว่า ในโลกธุรกิจ ทุกวันเต็มไปด้วยความเสี่ยง
และคุณธนินท์ ก็เคยเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่ ตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้ง ไปจนถึงวิกฤติโควิด
ซึ่งไม่เพียงฟันฝ่าเอาตัวรอดมาได้ แต่ยังสั่งสมประสบการณ์ จนเป็นตำราและบทเรียนที่ทำให้เครือ CP ก้าวสู่ระดับโลก
และนี่คือตำราฝ่าวิกฤติฉบับ คุณธนินท์ เจียรวนนท์
ที่ลงทุนแมนคิดว่าน่าศึกษาวิธีคิด..
บทเรียนที่ 1 การบริหารความเสี่ยงและการรับมือวิกฤติ
คุณธนินท์เชื่อว่า การทำธุรกิจย่อมมี “ความเสี่ยง” อยู่เสมอ และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าไม่เสี่ยง
แต่หากการลงทุนใดมีความเสี่ยงถึงขั้นทำให้ บริษัทแม่ล้มละลายได้ ต่อให้มีกำไรดีเพียงใดก็ไม่ควรลงทุน
วิกฤติที่หนักที่สุด ในชีวิตของคุณธนินท์คือ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”
ซึ่งเป็นวิกฤติที่เกิดจากนโยบายที่ผิดพลาด ทำให้สถานการณ์ที่ควรจะเบากลับกลายเป็นหนักเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในเวลานั้นประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน ระดับแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
คุณธนินท์ยอมรับว่าความผิดพลาดส่วนตัวคือ การคาดไม่ถึงว่าค่าเงินบาท จะพุ่งสูงอย่างรวดเร็วจาก 25 บาท ไปถึง 55 บาท
แต่เมื่อเจอวิกฤติ คุณธนินท์ยอมรับว่า ไม่สามารถรักษาธุรกิจไว้ได้ทั้งหมด และจำเป็นต้องขาย "ของดี" เพื่อนำเงินมารักษาสภาพคล่องไว้ เพราะ "ของไม่ดี" ให้ฟรีเขาก็ไม่เอา
แต่อีกมุม ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เช่น คนที่ทำธุรกิจส่งออก ซึ่งได้ประโยชน์จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัว
หรือก็คือ ในทุกวิกฤติ จะมีทั้งคนที่ร่ำรวย และคนที่ล้มละลาย หรือยากจนลง
บทเรียนที่ 2 ดาบสองคมที่ชื่อว่า เทคโนโลยี
ในบรรดาความไม่แน่นอนทั้งหลาย เทคโนโลยีคือสิ่งที่คุณ ธนินท์ มองว่าน่ากลัวที่สุด เพราะมันพัฒนาเร็วแบบไม่หยุดยั้ง และเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดอะไรขึ้นใหม่บ้าง
ตัวอย่างคือ ธุรกิจที่เคยเป็นพระเอกและทำกำไรให้กับ CP อย่างเคเบิลใต้มหาสมุทร ซึ่งได้เงินตราต่างประเทศ (USD) จากการให้เช่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต
CP ร่วมทุนกับ Nynex (บริษัทโทรศัพท์ที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น) ลงทุนเคเบิลใต้มหาสมุทรเชื่อมโยงไทยตรงไปถึงยุโรป ญี่ปุ่น และอเมริกา
อย่างไรก็ตาม เคเบิลใต้มหาสมุทรที่ลงทุนไปมหาศาลนั้น กลับล้มละลาย เนื่องจากเมื่อลงทุนเสร็จ ก็มีเทคโนโลยีใหม่เข้ามาเร็วขึ้นถึง 3 เท่า โดยใช้การลงทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่งผลให้หุ้น True ร่วงจาก 130 บาท เหลือเพียง 2 บาท
คุณธนินท์ยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในชีวิต ที่ไม่ได้ขายหุ้น True บางส่วน เช่น 10-20% ในราคา 80 บาท เพื่อรักษาธุรกิจหลักไว้ งั้นคงไม่ต้องขายทั้งแม็คโคร โลตัส และดาวเทียม..
บทเรียนคือ หากจะลงทุนด้านเทคโนโลยี ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่า มีใครกำลังศึกษาหรือคิดค้นสิ่งใหม่ ซึ่งอาจเข้ามาแทนที่ของเดิมที่ใช้การลงทุนมหาศาลได้
“เพราะเหนือฟ้า ยังมีฟ้า”
บทเรียนที่ 3 การเลือกธุรกิจหลัก
ในสถานการณ์ที่ต้องยอมตัดใจขายสินทรัพย์ คุณธนินท์ตัดสินใจรักษาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาหารและการเกษตร ไว้
เนื่องจากตระหนักว่ามนุษย์สามารถเลื่อนการซื้อสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น รถยนต์หรือเสื้อผ้าได้ แต่เรื่องปากท้องต้องกินทุกวัน
ธุรกิจที่ CP รักษาไว้ ได้แก่ อาหาร, ค้าปลีก (7-Eleven) และเจริญโภคภัณฑ์ (เกษตร)
ซึ่งคนภายนอกมักไม่เข้าใจและคิดว่า CP ทำเพียงอาหารสัตว์ แต่แท้จริงแล้ว CP ทำอาหารคน โดยอาหารสัตว์เป็นเพียงขั้นตอนกลางที่ใช้เทคโนโลยีสูงมาก
อาหารสัตว์ต้องถูกออกแบบสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญหรือดอกเตอร์ และต้องผ่านการวิเคราะห์ในห้องแล็บที่ทันสมัยไม่แพ้โรงพยาบาล
CP มุ่งมั่นในมาตรฐานอาหาร โดยต้องเลี้ยงสัตว์อย่างสบายและไม่ทรมาน และมีการวิจัยเรื่องสำคัญ เช่น การผลิตหมูที่มีน้ำมันโอเมก้า 3 ที่ต้องเลี้ยงในที่สะอาดที่สุด และไม่ใช้ยาปฏิชีวนะเลย
บทเรียนที่ 4 วิกฤติโควิด-19 ที่คาดไม่ถึง
คุณธนินท์ คิดไม่ถึงว่าวิกฤติโควิด จะลากยาวไปนานถึง 3 ปีกว่า โดยคาดไว้ว่าวิกฤติจะยาวนานสูงสุดเพียงแค่ปีเดียวเท่านั้น
ความยืดเยื้อของวิกฤติ ทำให้เกิดผลกระทบที่คาดไม่ถึงตามมา เช่น กัปตันเครื่องบินและพนักงานต้อนรับ ต้องไปหางานอื่น
แม้ว่าวิกฤติจะผ่านไปและมีการเปิดประเทศ แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงคือความไม่พร้อมของระบบต่าง ๆ เช่น ท่าเรือและสนามบินของแต่ละประเทศไม่พร้อม รวมถึงการขาดแคลนบุคลากรในการทำงาน
เมื่อเปรียบเทียบกับวิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติต้มยำกุ้งนั้นยังพอรู้ล่วงหน้าว่ามันจะเกิดวิกฤติ แต่โควิดไม่รู้ล่วงหน้า และอยู่ ๆ มันก็เกิดขึ้น
บทเรียนคือ การทำธุรกิจนั้นมีวิกฤติอยู่เรื่อย ๆ และสิ่งที่เราคิดไม่ถึงนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
วิกฤติที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ เป็นตัวอย่างที่ตอกย้ำถึงความอันตรายของการลงทุนในไฮเทคหรือการทำธุรกิจใด ๆ ที่เราต้องประเมินความเสี่ยงอยู่เสมอ
บทเรียนที่ 5 การสร้างคน
โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากองค์กรขนาดใหญ่ตามไม่ทันก็จะยิ่งเจ็บตัวมาก CP จึงต้องเปลี่ยนนโยบาย โดยให้คนหน้างาน (ผู้ปฏิบัติงาน, ผู้จัดการร้าน) มีอำนาจตัดสินใจอย่างแท้จริง
ส่วนผู้บริหารระดับสูง มีหน้าที่สนับสนุน เปรียบเสมือนฮ่องเต้ให้อำนาจแม่ทัพที่สนามรบ
คุณธนินท์เน้นย้ำว่า “ปัญญา” คือสิ่งที่สำคัญกว่า “ปริญญา” เพราะปริญญาสามารถเรียนได้ แต่ปัญญาต้องมาจากการลงมือปฏิบัติจริง
วิธีทดสอบคนเก่งคือการมอบหมายงานยาก ๆ หรือโปรเจกต์ใหม่ ๆ ไม่ใช่ให้ทำงานเดิมซ้ำ ๆ จนพรสวรรค์หายไป
สำหรับสมาชิกครอบครัวที่เข้ามาทำงานในเครือ ต้องไม่ทำงานที่สำเร็จอยู่แล้ว แต่ต้องไป “กู้วิกฤติ” หรือสร้างธุรกิจใหม่ เพื่อเรียนรู้จริง
และที่สำคัญ คุณ ธนินท์ ชี้ว่า “ความผิดพลาดไม่ใช่เรื่องเสียหาย” ถ้าไม่ได้ตั้งใจผิด เราต้องเรียนรู้จากมัน แล้วแก้ไขในวันรุ่งขึ้น
อีกทั้งปัจจุบัน เทคโนโลยีมีบทบาทต่อแรงงานสูง เนื่องจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน จึงจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น IoT, กล้องอัจฉริยะ, AI เป็นเครื่องทุ่นแรง เพื่อให้คนทำงานได้ 10-20 เท่า เช่น ช่วยผู้จัดการหนึ่งคน สามารถดูแลสาขาของร้านค้าได้ถึง 10-20 แห่ง
คุณธนินท์ คาดการณ์ว่าในอนาคต หุ่นยนต์จะเพิ่มงาน ไม่ใช่ลดงาน โดยมนุษย์จะไปทำหน้าที่สร้างเครื่องจักร ดูแลโรงงาน และบริหารจัดการแทน
และชั่วโมงการทำงานจะลดลงเหลือ 4 วันต่อสัปดาห์ และสุดท้ายอาจเหลือ 2-3 วันต่อสัปดาห์ โดยที่สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้
บทบาทของมนุษย์ ยังคงสำคัญที่สุด เพราะมนุษย์เป็นคนคิด สร้าง และบริหารจัดการเครื่องจักรและหุ่นยนต์ รวมถึงเป็นผู้บริโภคสิ่งที่สร้างขึ้นมา
แต่การศึกษา ต้องปรับหลักสูตรให้สร้างคนที่มีความรู้ที่โลกยุค 4.0 ต้องการ ไม่ใช่สร้างคนที่มีความรู้ล้าสมัย
และหากไทยขาดแคลนคนเก่งในยุค 4.0 ควร นำเข้าคนเก่งจากทั่วโลกมาเป็นคนไทย เพื่อมาสร้างธุรกิจ สร้างอาชีพ และรายได้ให้กับประเทศ ซึ่งคนไทยเป็นที่ชื่นชอบของชาวต่างชาติเพราะมีอัธยาศัยดี
คุณธนินท์ย้ำว่า ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปกี่ .0 ก็ตาม คนยังมีความสำคัญมากขึ้นเสมอ แต่หากคนไม่เก่งพอ จะถูกโลกและเทคโนโลยีทอดทิ้ง
บทเรียนที่ 6 กลยุทธ์ระดับโลกของ CP
CP ใช้มืออาชีพและคนเก่งจากทั่วโลก โดยถือว่าพวกเขาคือ คนในครอบครัวของ CP เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจไปยังกว่า 100 ประเทศได้
เมื่อ CP ไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา จะต้องนำเทคโนโลยีที่สูงไปใช้ เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นได้รับประโยชน์ และรู้สึกว่า CP มาช่วยประเทศของเขา
โดย CP มีค่านิยม 6 ข้อ
1. ประชาชนและประเทศนั้นต้องได้ประโยชน์ก่อน แล้วบริษัทจึงจะได้ประโยชน์
2. ต้องมีนวัตกรรม
3. ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง
4. ต้องมีความรวดเร็ว และมีคุณภาพ
5. ต้องสามารถทำเรื่องยาก ให้เป็นเรื่องง่าย
6. ความกตัญญู ต้องซื่อสัตย์ สุจริต และกตัญญูต่อประเทศชาติ
ซึ่งถ้าให้ลงทุนแมนสรุปแนวคิดของคุณ ธนินท์ 3 ข้อสั้น ๆ ก็คงเป็น
1. กล้าเสี่ยงแต่ต้องไม่บ้าเสี่ยงจนล้มละลาย
2. รู้จักยอมรับความล้มเหลว ความผิดพลาด ยอมเสียแขนขา รักษาชีวิต เพื่อที่จะได้มีลมหายใจเอาคืนในวันข้างหน้า
3. สร้างคนให้เก่ง ควบคู่ไปกับการรักษาศักยภาพคนเก่งในองค์กร
ทั้งหมดนี้เอง คือหัวใจที่ผลักดันให้เครือ CP ก้าวข้ามผ่านวิกฤติ และขึ้นมาเป็นธุรกิจระดับประเทศ ระดับโลกได้..
บทความนี้สรุปจากการสัมภาษณ์คุณคุณธนินท์ เจียรวนนท์ หัวข้อ “ถอดคมคิด เปิดตำราฝ่าวิกฤติ ฉบับเครือซีพี” จากหอการค้าไทย ในช่อง ThaiChamber Official