ผมไม่ได้เขียนเองนะครับเป็นบทจากพี่คนหนึ่งในเฟสบุ๊กเขียนเข้าใจง่ายดีเลยเอามาฝากครับผม
ตอนแรก
ก่อนที่เราจะไปทำความเข้าใจว่าการที่ FED ยกเลิก QE จะส่งผลกระทบในด้านใดบ้าง ผมอยากให้เพื่อนผู้อ่านทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานระบบเศรษฐกิจปัจจุบันว่ามีลักษณะใด เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจในส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้น และบทความนี้ผมไม่ได้หวงห้ามในการเผยแพร่แต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากมีส่วนไหนผิดพลาดประการใดก็น้อมรับคำแนะนำ เพราะความรู้ต่างๆเหล่านี้ที่ผมได้มาจากการศึกษา การอ่าน และนำมาย่อยเขียนให้เป็นบทความซึ่งในบางครั้งนิยามของระบบเศรษฐกิจของเราต่างกันจึงทำให้เราอาจมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแนวความคิดผมต้องถูกต้องที่สุดเสมอไป
บทนำ
ในช่วงปี พ.ศ. 2551 เป็นช่วงวิกฤติที่ตกต่ำที่สุดของวิกฤติเศรษกิจสหรัฐอเมริกาเนื่องจากปัญหาวิกฤติ sub-prime ส่งเอฟเฟคต่อเนื่องมาถึงปัญหาหนี้สินในภาคยุโรป จึงทำทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ก็เลยออกมาตรการ QE (Quantitative Easing) ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น ต่อเนื่องตั้งแต่ QE1,QE2,QE3 เรื่อยมา (ครั้งที่ 1 ปลายปี 2551 ถึง มีนาคม 2553,ครั้งที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ถึง มิถุนายน 2554, QE3 เรียกว่า QE infinity โดยนำเม็ดเงินที่ได้มาอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เสีย ภาคการผลิต โครงสร้างระบบเศรษฐกิจในภาคเอกชน เป็นจำนวนมากถึง 10.5 หมื่นล้านดอลล่า/เดือน ซึ่งผลโดยตรงของการประกาศ QE คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐแต่มันก็ส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจโลกเช่นกัน แล้ว QE คืออะไรยังไง
ถึงตรงนี้ถ้าหากยังไม่เข้าใจทำไมต้องใช้เงินจาก QE ผมจะเล่าให้ฟังครับ
โดยปกติเงินที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ถูกค้ำประกันด้วยทองคำโดยมีรัฐบาลในประเทศนั้นๆเป็นผู้รับรองและแน่นอน;jkมันมีกฎของมันอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศ A มีทองคำ 1 ตัน สามารถผลิตกระดาษที่เรียกว่าเงินได้ในมูลค่า 1000 หน่วย จำนวนเงินที่มากกว่านั้นเราจะเรียกมันว่าเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อนี้เป็นตัวชี้วัดถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ#อ้างอิงตำราระบบเศรษฐกิจเดิม# (แล้วทำไมรัฐบาลต้องผลิตกระดาษที่เรียกว่าเงินเฟ้อด้วยล่ะในเมื่อมันคือตัวร้ายของระบบเศรษฐกิจอ้างอิงจากตำราของระบบเศรษกิจเดิม)
ปัญหาใหญ่ของโลกทุนนิยมก็คือมันจะเอื้อให้กับผู้ที่มีเงินทุนมากกว่าเป็นผู้ชนะในการทำธุรกิจอยู่เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น บริษัท CP1 มีธุรกิจหลายอย่างและวันหนึ่งพวกเขาได้กำไรมหาศาลในแต่ละวัน ถึงแม้จะหักลบกลบหนี้กับต้นทุน/ค่าจ้างแรงงานแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงเหลือสิ่งที่เรียกว่ากำไร แน่นอนว่าเมื่อได้กำไรพวกเศรษฐีเหล่านั้นก็จะนำกระดาษที่เรียกว่าเงินไปเก็บไว้ที่ธนาคาร แต่ทว่าสัดส่วนการใช้จ่ายของพวกเขากลับแตกต่างกับรายได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาได้เงินวันละ 100 แต่เขาใช้เงินเพียงวันล่ะ 10 และส่วนที่เหลืออีก 90 เก็บไว้ที่ธนาคาร ถามว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆกระดาษจำนวน 1000 หน่วย(บาท) ที่หมุนเวียนนอกธนาคารก็จะหมดไป เพราะเงินไปกระจุกอยู่ที่บัญชีของนายทุน และสิ่งนี้เองคือสุดเริ่มต้นของปัญหาเงินฝืด, เมื่อเงินฝืดรัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร แน่นอนพวกเขาต้องผลิตกระดาษที่เราเรียกว่าเงินเพิ่มเติมเอาเข้ามาในระบบเพื่อเสริมสภาพคล่อง(เราเรียกว่าเงินเฟ้อ) โดยนำดุลการค้าระหว่างประเทศที่เป็นบวกมาในอนาคตมาค้ำประกันการผลิตเงินเฟ้อนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยอาจเป็นการให้ผ่านการกู้ยืมเงินโดยธนาคารอย่างง่ายๆ ฯลฯ
แต่ในท้ายที่สุดแล้ววงจรของเงินมันก็จะไหลกลับเข้าไปสู่กระเป๋าของนายทุนเช่นเดิม และปัญหานี้คือปัญหาโลกแตกของการเงินในระบบทุนนิยม ถามว่านายทุนผิดไหม, ไม่ผิดครับ เพราะโครงสร้างมันเป็นแบบนี้
###จุดที่น่าสนใจ : จากเดิมที่มีทอง 1 ตันผลิตเงินได้เพียง 1000 หน่วย ก็ไปเอากำไรในอนาคตมาขอใช้สิทธิ์ผลิตเงินเพื่อแก้ไขปัญหาสภาวะเงินฝืด เงินส่วนนี้เรียกว่าเงินเฟ้อ และเงินเฟ้อนี้มีชื่อเล่นว่าแบงก์กงเต้ก
แน่นอนว่าปัญหาเงินเฟ้อมากๆนี้ไม่ดีแน่แล้วมันกระทบกับเศรษฐกิจโลกได้อย่างไร ในเมื่อเป็นการผลิตแบงก์กงเต้กเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศเท่านั้น, มันก็จริงครับแต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงประเทศ A ประเทศเดียว,ทุกวันนี้มีการทำธุรกิจร่วมกัน แลกเปลี่ยนกันมากมาย มันมีการเดินทางเข้าออกของเงินตราต่างประเทศตลอดเวลา แล้วไอ้แบงก์กงเต๊กที่ถูกต้องตามกฎหมายนี่ล่ะที่น่ากลัว เพราะถ้าหากไอ้แบงก์กงเต๊กของประเทศอื่นหลุดเข้ามาอยู่ในประเทศของตนมากๆ พอช่วงปลายปีที่ต้องทำบัญชีระหว่างประเทศกันเพื่อเอามูลค่าเงินตราต่างประเทศที่ได้มาไปแลกเป็นทองคำกับธนาคารชาติเจ้าของสกุลเงินนั้น มันจะกลายเป็นว่าทองลมน่ะสิ เพราะไอ้กระดาษพวกนี้มันเป็นส่วนเกินที่มากกว่าทองคำที่ประเทศนั้นมีอยู่ใครๆก็กลัวกันทั้งนั้นล่ะนะ
คือโลกมันก็เป็นแบบนี้เรื่อยมา เรื่อยมา พอระบบมันบวมก็จะมีการออกระบบการเงินใหม่เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินเรื่อยๆ อย่างน้อยก็เพื่อดึงเม็ดเงินจากกระเป๋านายทุนออกมาช่วยให้เกิดการหมุนเวียนบ้าง เช่น ระบบเครดิต (พวก VISA,MASTER CARD นี่ล่ะครับ ตามตำราจะเรียกว่าเป็นระบบการเงิน GEN2) ยุคหนึ่งมีการชักชวน/สนับสนุนให้นายทุนใหญ่นำเงินออกมาหมุนเวียนผ่านระบบธุรกิจการขายเครดิตหรือที่เราเรียกมันว่าบัตรเครดิตนี่ล่ะครับเป็นการใช้เงินผ่านวงเงินของนายทุน เพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการใช้จ่ายแต่เราก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เขาไปและแน่นอนว่าวงเงินมันก็หมุนเวียนไปหาธุรกิจของนายทุนหน้าเดิมๆอยู่ดี ,และมันก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่แล้วสุดท้ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยมันก็ไหลเข้าไซโลเก็บเงินของนายทุนรายใหญ่อยู่ดี จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่งที่ระบบการเงินนี้มันก็บวมอีกจนไส้จะทะลัก ประเทศ A ก็เลยประกาศว่าถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นระบบสกุลเงินคู่ขนานดีกว่ามั๊ย โดยใช้น้ำมันเป็นตัวค้ำประกัน
ระบบแบงก์กงเต๊กชุดใหม่นี้ หลังจากทดสอบระบบการเงินคู่ขนานนี้ที่ประเทศ J ว่ามันโอเคนะก็มีการประกาศผลิตเงินจากมาตรการ QE ครั้งที่แรกในช่วงปลายปี 2551 ถึง มีนาคม 2553 และนี่คือจุดเริ่มต้นของการประกาศ QE ซึ่งเป็นระบบการเงินใน GEN3 หลังจากนั้นพอประเทศ A ขาดดุลการเงิน ก็ประกาศเอา ประกาศเอา จนสหภาพ E ในยุโรปก็มองว่าเฮ้ยไม่ไหวแล้วนะ แบบนี้มันเอาเปรียบกันเกินไป งั้นข้าก็ประกาศบ้างดีกว่า ฮ่าๆๆ ส่วนประเทศ RและC ไม่สนใจระบบการเงินแบบนี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บทองคำเข้าคลังของตัวเองอย่างเดียว
จริงๆแล้วข้อเสียของการใช้แบงก์กงเต้กมีมากมาย นักวิชากการที่คัดค้านผ่านบทความเท่าที่ผมอ่านดู เช่น บทความของนาย Ruchir Shana หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มหภาคของ Morgan Stanley เขาระบุว่าเม็ดเงินจากมาตรการ QE จะก่อทำให้เงินทะลักเข้าสู่วงจรสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงอาหารและน้ำมัน และเมื่อสินค้าปรับตัวขึ้น กำลังซื้อย่อมลดลง มันจะกระทบต่อวงจรเศรษฐกิจแน่นอน หรือแม้แต่บทความของนาย Peter Fisher หัวหน้าฝ่ายการลงทุนในตราสารหนี้ของกองทุน BlackRock ลงใน Financial Times มาตรการ QE จะนำไปสู่กับดักสภาพคล่อง (liquidity trap)หมายความว่าธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์แบงก์กงเต้กเข้าไปเท่าไหร่ประชาชนก็จะเก็บเงินกองเอาไว้เฉยๆในปริมาณที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้นำเอาไว้ใช้ทำประโยชน์แต่อย่างใด และสุดท้ายมันก็ไหลไปสู่นายทุนอยู่ดี
เอวังของระบบการเงินเรื่องของ QE ก็มีบริบทตามนี้ครับ
----------------------------------------------------------
อย่างที่เราทราบกันว่า QE คือมหกรรมการประกาศตัวเลขการผลิตแบงก์กงเต๊กระดับประเทศ แล้วอยู่ๆ FED ก็ยกเลิกการใช้แบงก์กงเต๊กนี้ขึ้นมา ซึ่งมันก็สามารถวิเคราะห์ได้เพียงแค่สองทางคือ
1. ประเทศ A มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น (ยากนะ)
2. ประเทศ A ซุกปัญหาไว้ใต้พรมและกำลังกระโดดหนี ก่อนที่จะนำเสนอระบบการเงินใหม่ใน GEN4 (GEN1=ทองคำ GEN2=เครดิตสินเชื่อ GEN3=QE)
ตอนนี้เราปรับความเข้าใจตรงกันแล้วนะครับเรื่อง QE งั้นเราไปต่อกันในส่วนของการปรับลด QE จะกระทบต่ออะไรบ้าง ผมจะมาต่อในบทความส่วนที่ 2 ครับ
---------------------------------------------------------
ความรู้เพิ่มเติม
**ระบบการเงินของประเทศในกลุ่มผู้ควบคุมระบบการเงิน
- America ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,GEN3,GEN4
- China ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,BRICS และพยายามผลักดันให้หยวนเป็นสกุลหลักแทน USD
- Russia ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,BRICS และเน้นเก็บทองคำให้มากที่สุด
- EU ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,GEN3,GEN4
** ซึ่งระบบการเงินใน GEN4 นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างระบุตรงกันว่า GEN4 น่าจะเป็นรูปแบบการสร้างความเชื่อกับตัวเลขดิจิตัลให้มีมูลค่า เช่น ระบบ E-CURRENCY และใช้องก์กรการเงินค้ำประกัน #ที่ผ่านมามีการ
ลองยาผ่านหลายๆบริษัทและ LIBERTY RESERV ก็เป็นหนึ่งในนั้น# แต่ผมจะยังไม่ขอพูดถึงมัน แน่นอนว่าระบบการเงินใน GEN4นี้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอเมริกาจะทำอะไร
** ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการแหล่งน้ำมันนอกประเทศเพิ่มเติม , เพื่อเอามาอุดหนุน QE และการยกเลิก QE เป็นไปได้ว่านำน้ำมันที่ตนเองครอบครองมาประกาศใช้หมดแล้ว
** ในวงการนักวิเคราะห์การลงทุนมองว่าสาเหตุหลักในการบุกอิรักของสหรัฐอเมริกาหรือที่เรียกว่าสงครามอ่าวรอบ 2 สาเหตุมาจาก อิรักประกาศใช้สกุลเงินดีนาร์ทองคำในการซื้อขายน้ำมันแทนสกุลเงินสหรัฐ
** จีนและรัสเซียต่างพยายามเข้าไปมีอิทธิพลในยุโรปแทนที่สหรัฐอเมริกาผ่านหลายๆโครงการ เช่น ซื้อขายน้ำมัน,แก๊สธรรมชาติ ด้วยสกุลเงิน EUR เท่านั้น
------------------------------------------------------------------------------------------
เครดิต
https://www.facebook.com/AkeDumnoenkasame
บทความเรื่องผลกระทบการยกเลิก QE
ตอนแรก
ก่อนที่เราจะไปทำความเข้าใจว่าการที่ FED ยกเลิก QE จะส่งผลกระทบในด้านใดบ้าง ผมอยากให้เพื่อนผู้อ่านทำความเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานระบบเศรษฐกิจปัจจุบันว่ามีลักษณะใด เพื่อง่ายต่อการทำความเข้าใจในส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้น และบทความนี้ผมไม่ได้หวงห้ามในการเผยแพร่แต่อย่างใด ซึ่งถ้าหากมีส่วนไหนผิดพลาดประการใดก็น้อมรับคำแนะนำ เพราะความรู้ต่างๆเหล่านี้ที่ผมได้มาจากการศึกษา การอ่าน และนำมาย่อยเขียนให้เป็นบทความซึ่งในบางครั้งนิยามของระบบเศรษฐกิจของเราต่างกันจึงทำให้เราอาจมีความเห็นที่แตกต่าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแนวความคิดผมต้องถูกต้องที่สุดเสมอไป
บทนำ
ในช่วงปี พ.ศ. 2551 เป็นช่วงวิกฤติที่ตกต่ำที่สุดของวิกฤติเศรษกิจสหรัฐอเมริกาเนื่องจากปัญหาวิกฤติ sub-prime ส่งเอฟเฟคต่อเนื่องมาถึงปัญหาหนี้สินในภาคยุโรป จึงทำทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ก็เลยออกมาตรการ QE (Quantitative Easing) ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น ต่อเนื่องตั้งแต่ QE1,QE2,QE3 เรื่อยมา (ครั้งที่ 1 ปลายปี 2551 ถึง มีนาคม 2553,ครั้งที่ 2 พฤศจิกายน 2553 ถึง มิถุนายน 2554, QE3 เรียกว่า QE infinity โดยนำเม็ดเงินที่ได้มาอัดฉีดเข้าสู่ระบบเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้เสีย ภาคการผลิต โครงสร้างระบบเศรษฐกิจในภาคเอกชน เป็นจำนวนมากถึง 10.5 หมื่นล้านดอลล่า/เดือน ซึ่งผลโดยตรงของการประกาศ QE คือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐแต่มันก็ส่งผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจโลกเช่นกัน แล้ว QE คืออะไรยังไง
ถึงตรงนี้ถ้าหากยังไม่เข้าใจทำไมต้องใช้เงินจาก QE ผมจะเล่าให้ฟังครับ
โดยปกติเงินที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ถูกค้ำประกันด้วยทองคำโดยมีรัฐบาลในประเทศนั้นๆเป็นผู้รับรองและแน่นอน;jkมันมีกฎของมันอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ประเทศ A มีทองคำ 1 ตัน สามารถผลิตกระดาษที่เรียกว่าเงินได้ในมูลค่า 1000 หน่วย จำนวนเงินที่มากกว่านั้นเราจะเรียกมันว่าเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อนี้เป็นตัวชี้วัดถึงความล้มเหลวทางเศรษฐกิจ#อ้างอิงตำราระบบเศรษฐกิจเดิม# (แล้วทำไมรัฐบาลต้องผลิตกระดาษที่เรียกว่าเงินเฟ้อด้วยล่ะในเมื่อมันคือตัวร้ายของระบบเศรษฐกิจอ้างอิงจากตำราของระบบเศรษกิจเดิม)
ปัญหาใหญ่ของโลกทุนนิยมก็คือมันจะเอื้อให้กับผู้ที่มีเงินทุนมากกว่าเป็นผู้ชนะในการทำธุรกิจอยู่เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น บริษัท CP1 มีธุรกิจหลายอย่างและวันหนึ่งพวกเขาได้กำไรมหาศาลในแต่ละวัน ถึงแม้จะหักลบกลบหนี้กับต้นทุน/ค่าจ้างแรงงานแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังคงเหลือสิ่งที่เรียกว่ากำไร แน่นอนว่าเมื่อได้กำไรพวกเศรษฐีเหล่านั้นก็จะนำกระดาษที่เรียกว่าเงินไปเก็บไว้ที่ธนาคาร แต่ทว่าสัดส่วนการใช้จ่ายของพวกเขากลับแตกต่างกับรายได้อย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาได้เงินวันละ 100 แต่เขาใช้เงินเพียงวันล่ะ 10 และส่วนที่เหลืออีก 90 เก็บไว้ที่ธนาคาร ถามว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆกระดาษจำนวน 1000 หน่วย(บาท) ที่หมุนเวียนนอกธนาคารก็จะหมดไป เพราะเงินไปกระจุกอยู่ที่บัญชีของนายทุน และสิ่งนี้เองคือสุดเริ่มต้นของปัญหาเงินฝืด, เมื่อเงินฝืดรัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร แน่นอนพวกเขาต้องผลิตกระดาษที่เราเรียกว่าเงินเพิ่มเติมเอาเข้ามาในระบบเพื่อเสริมสภาพคล่อง(เราเรียกว่าเงินเฟ้อ) โดยนำดุลการค้าระหว่างประเทศที่เป็นบวกมาในอนาคตมาค้ำประกันการผลิตเงินเฟ้อนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า โดยอาจเป็นการให้ผ่านการกู้ยืมเงินโดยธนาคารอย่างง่ายๆ ฯลฯ
แต่ในท้ายที่สุดแล้ววงจรของเงินมันก็จะไหลกลับเข้าไปสู่กระเป๋าของนายทุนเช่นเดิม และปัญหานี้คือปัญหาโลกแตกของการเงินในระบบทุนนิยม ถามว่านายทุนผิดไหม, ไม่ผิดครับ เพราะโครงสร้างมันเป็นแบบนี้
###จุดที่น่าสนใจ : จากเดิมที่มีทอง 1 ตันผลิตเงินได้เพียง 1000 หน่วย ก็ไปเอากำไรในอนาคตมาขอใช้สิทธิ์ผลิตเงินเพื่อแก้ไขปัญหาสภาวะเงินฝืด เงินส่วนนี้เรียกว่าเงินเฟ้อ และเงินเฟ้อนี้มีชื่อเล่นว่าแบงก์กงเต้ก
แน่นอนว่าปัญหาเงินเฟ้อมากๆนี้ไม่ดีแน่แล้วมันกระทบกับเศรษฐกิจโลกได้อย่างไร ในเมื่อเป็นการผลิตแบงก์กงเต้กเพื่อใช้จ่ายภายในประเทศเท่านั้น, มันก็จริงครับแต่โลกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงประเทศ A ประเทศเดียว,ทุกวันนี้มีการทำธุรกิจร่วมกัน แลกเปลี่ยนกันมากมาย มันมีการเดินทางเข้าออกของเงินตราต่างประเทศตลอดเวลา แล้วไอ้แบงก์กงเต๊กที่ถูกต้องตามกฎหมายนี่ล่ะที่น่ากลัว เพราะถ้าหากไอ้แบงก์กงเต๊กของประเทศอื่นหลุดเข้ามาอยู่ในประเทศของตนมากๆ พอช่วงปลายปีที่ต้องทำบัญชีระหว่างประเทศกันเพื่อเอามูลค่าเงินตราต่างประเทศที่ได้มาไปแลกเป็นทองคำกับธนาคารชาติเจ้าของสกุลเงินนั้น มันจะกลายเป็นว่าทองลมน่ะสิ เพราะไอ้กระดาษพวกนี้มันเป็นส่วนเกินที่มากกว่าทองคำที่ประเทศนั้นมีอยู่ใครๆก็กลัวกันทั้งนั้นล่ะนะ
คือโลกมันก็เป็นแบบนี้เรื่อยมา เรื่อยมา พอระบบมันบวมก็จะมีการออกระบบการเงินใหม่เพื่อแก้ปัญหาสภาพคล่องทางการเงินเรื่อยๆ อย่างน้อยก็เพื่อดึงเม็ดเงินจากกระเป๋านายทุนออกมาช่วยให้เกิดการหมุนเวียนบ้าง เช่น ระบบเครดิต (พวก VISA,MASTER CARD นี่ล่ะครับ ตามตำราจะเรียกว่าเป็นระบบการเงิน GEN2) ยุคหนึ่งมีการชักชวน/สนับสนุนให้นายทุนใหญ่นำเงินออกมาหมุนเวียนผ่านระบบธุรกิจการขายเครดิตหรือที่เราเรียกมันว่าบัตรเครดิตนี่ล่ะครับเป็นการใช้เงินผ่านวงเงินของนายทุน เพื่อให้เกิดสภาพคล่องในการใช้จ่ายแต่เราก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้เขาไปและแน่นอนว่าวงเงินมันก็หมุนเวียนไปหาธุรกิจของนายทุนหน้าเดิมๆอยู่ดี ,และมันก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน แต่แล้วสุดท้ายเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยมันก็ไหลเข้าไซโลเก็บเงินของนายทุนรายใหญ่อยู่ดี จนกระทั่งถึงจุดๆหนึ่งที่ระบบการเงินนี้มันก็บวมอีกจนไส้จะทะลัก ประเทศ A ก็เลยประกาศว่าถ้าอย่างนั้นเปลี่ยนเป็นระบบสกุลเงินคู่ขนานดีกว่ามั๊ย โดยใช้น้ำมันเป็นตัวค้ำประกัน
ระบบแบงก์กงเต๊กชุดใหม่นี้ หลังจากทดสอบระบบการเงินคู่ขนานนี้ที่ประเทศ J ว่ามันโอเคนะก็มีการประกาศผลิตเงินจากมาตรการ QE ครั้งที่แรกในช่วงปลายปี 2551 ถึง มีนาคม 2553 และนี่คือจุดเริ่มต้นของการประกาศ QE ซึ่งเป็นระบบการเงินใน GEN3 หลังจากนั้นพอประเทศ A ขาดดุลการเงิน ก็ประกาศเอา ประกาศเอา จนสหภาพ E ในยุโรปก็มองว่าเฮ้ยไม่ไหวแล้วนะ แบบนี้มันเอาเปรียบกันเกินไป งั้นข้าก็ประกาศบ้างดีกว่า ฮ่าๆๆ ส่วนประเทศ RและC ไม่สนใจระบบการเงินแบบนี้ก็ตั้งหน้าตั้งตาเก็บทองคำเข้าคลังของตัวเองอย่างเดียว
จริงๆแล้วข้อเสียของการใช้แบงก์กงเต้กมีมากมาย นักวิชากการที่คัดค้านผ่านบทความเท่าที่ผมอ่านดู เช่น บทความของนาย Ruchir Shana หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์มหภาคของ Morgan Stanley เขาระบุว่าเม็ดเงินจากมาตรการ QE จะก่อทำให้เงินทะลักเข้าสู่วงจรสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงอาหารและน้ำมัน และเมื่อสินค้าปรับตัวขึ้น กำลังซื้อย่อมลดลง มันจะกระทบต่อวงจรเศรษฐกิจแน่นอน หรือแม้แต่บทความของนาย Peter Fisher หัวหน้าฝ่ายการลงทุนในตราสารหนี้ของกองทุน BlackRock ลงใน Financial Times มาตรการ QE จะนำไปสู่กับดักสภาพคล่อง (liquidity trap)หมายความว่าธนาคารกลางสหรัฐพิมพ์แบงก์กงเต้กเข้าไปเท่าไหร่ประชาชนก็จะเก็บเงินกองเอาไว้เฉยๆในปริมาณที่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ได้นำเอาไว้ใช้ทำประโยชน์แต่อย่างใด และสุดท้ายมันก็ไหลไปสู่นายทุนอยู่ดี
เอวังของระบบการเงินเรื่องของ QE ก็มีบริบทตามนี้ครับ
----------------------------------------------------------
อย่างที่เราทราบกันว่า QE คือมหกรรมการประกาศตัวเลขการผลิตแบงก์กงเต๊กระดับประเทศ แล้วอยู่ๆ FED ก็ยกเลิกการใช้แบงก์กงเต๊กนี้ขึ้นมา ซึ่งมันก็สามารถวิเคราะห์ได้เพียงแค่สองทางคือ
1. ประเทศ A มีเศรษฐกิจที่ดีขึ้น (ยากนะ)
2. ประเทศ A ซุกปัญหาไว้ใต้พรมและกำลังกระโดดหนี ก่อนที่จะนำเสนอระบบการเงินใหม่ใน GEN4 (GEN1=ทองคำ GEN2=เครดิตสินเชื่อ GEN3=QE)
ตอนนี้เราปรับความเข้าใจตรงกันแล้วนะครับเรื่อง QE งั้นเราไปต่อกันในส่วนของการปรับลด QE จะกระทบต่ออะไรบ้าง ผมจะมาต่อในบทความส่วนที่ 2 ครับ
---------------------------------------------------------
ความรู้เพิ่มเติม
**ระบบการเงินของประเทศในกลุ่มผู้ควบคุมระบบการเงิน
- America ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,GEN3,GEN4
- China ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,BRICS และพยายามผลักดันให้หยวนเป็นสกุลหลักแทน USD
- Russia ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,BRICS และเน้นเก็บทองคำให้มากที่สุด
- EU ใช้ระบบการเงิน GEN1,GEN2,GEN3,GEN4
** ซึ่งระบบการเงินใน GEN4 นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างระบุตรงกันว่า GEN4 น่าจะเป็นรูปแบบการสร้างความเชื่อกับตัวเลขดิจิตัลให้มีมูลค่า เช่น ระบบ E-CURRENCY และใช้องก์กรการเงินค้ำประกัน #ที่ผ่านมามีการ
ลองยาผ่านหลายๆบริษัทและ LIBERTY RESERV ก็เป็นหนึ่งในนั้น# แต่ผมจะยังไม่ขอพูดถึงมัน แน่นอนว่าระบบการเงินใน GEN4นี้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าอเมริกาจะทำอะไร
** ทำไมสหรัฐอเมริกาต้องการแหล่งน้ำมันนอกประเทศเพิ่มเติม , เพื่อเอามาอุดหนุน QE และการยกเลิก QE เป็นไปได้ว่านำน้ำมันที่ตนเองครอบครองมาประกาศใช้หมดแล้ว
** ในวงการนักวิเคราะห์การลงทุนมองว่าสาเหตุหลักในการบุกอิรักของสหรัฐอเมริกาหรือที่เรียกว่าสงครามอ่าวรอบ 2 สาเหตุมาจาก อิรักประกาศใช้สกุลเงินดีนาร์ทองคำในการซื้อขายน้ำมันแทนสกุลเงินสหรัฐ
** จีนและรัสเซียต่างพยายามเข้าไปมีอิทธิพลในยุโรปแทนที่สหรัฐอเมริกาผ่านหลายๆโครงการ เช่น ซื้อขายน้ำมัน,แก๊สธรรมชาติ ด้วยสกุลเงิน EUR เท่านั้น
------------------------------------------------------------------------------------------
เครดิต https://www.facebook.com/AkeDumnoenkasame