รายงานเศรษฐกิจโลก (WEO) ฉบับเดือนต.ค. 2025 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คงอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยไว้ที่ 2% และ 1.6% ในปีหน้า ซึ่งคาดการณ์นี้ยังสอดคล้องกับตัวเลขในรายงานฉบับปรับปรุงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา และคาดการณ์ที่เพิ่งออกมาในเดือนต.ค. ของธนาคารโลกอีกด้วย
https://www.facebook.com/share/p/1BdNWS9hCP/?mibextid=wwXIfr
รายงานฉบับล่าสุดนี้ประกาศออกมาท่ามกลางการประชุมสำคัญระหว่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกในงานประชุม IMF-World Bank Annual Meeting 2025 ณ กรุงวอชิงตันดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา
กองทุนฯ ยังเตือนในรายงานว่า ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะที่ "ผันผวนและไร้ทิศทาง" เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายใหม่ในสหรัฐฯ และการปรับตัวของประเทศอื่น ๆ ให้เข้ากับระเบียบโลกใหม่
ความไม่แน่นอนนี้มีมาจากมาตรการกีดกันทางการค้า โดยสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการภาษีใหม่หลายชุดที่ทำให้อัตราภาษีเพิ่มสูงขึ้นถึงใน "ระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบศตวรรษ" แม้ว่าอัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้จะลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนเมษายน แต่ก็ยังอยู่ในช่วง 10-20% สำหรับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ และยังห่างไกลจากจากระดับเดิมปี 2024
รายงานระว่า การเติบโตที่ยืดหยุ่นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงต้นปี 2025 เป็นเพียง "การบรรเทาชั่วคราว" ที่เกิดจากการเร่งตุนสินค้าและส่งออกของภาคธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้น แต่สัญญาณล่าสุดบ่งชี้ว่า ผลกระทบเชิงลบจากมาตรการเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว ส่งผลให้การเติบโตของสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงเหลือ 2.0% ในปี 2025
สำหรับเงินเฟ้อ แม้ว่าผลกระทบของการขึ้นภาษีต่อราคาสินค้าในปัจจุบันยังไม่ชัดเจน เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ใช้ส่วนต่างกำไรหลังโควิด-19 เป็นกันชนเพื่อดูดซับต้นทุน แต่ไอเอ็มเอฟพบสัญญาณที่น่ากังวล โดยเงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน และคาดว่าเงินเฟ้อจะเริ่มสูงขึ้นในครึ่งหลังของปี 2025 เมื่อผลกระทบของภาษีถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
นอกจากนี้ นโยบายการคลังในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งยังคง หละหลวมเกินไป ซึ่งทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่คาดว่าหนี้สาธารณะจะพุ่งขึ้นจาก 122% ในปี 2024 เป็น 143% ในปี 2030
ความเสี่ยงในระยะกลางนั้นมาจากแรงกดดันจากการ "แยกห่วงโซ่การผลิตทางเทคโนโลยี" (technological decoupling) และ การจำกัดการไหลเวียนของแรงงานข้ามพรมแดน ซึ่งรวมถึงการไหลเข้าของแรงงานต่างชาติที่ลดลงอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพและจำกัดการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญยังรวมถึงการที่ตลาดอาจประเมินมูลค่าเทคโนโลยีใหม่ (เช่นปัญญาประดิษฐ์) สูงเกินจริง หากความคาดหวังด้านผลผลิตไม่เป็นไปตามที่คาด อาจนำไปสู่การปรับฐานของตลาดหุ้นเทคโนโลยีอย่างรุนแรง ซึ่งเทียบได้กับ วิกฤตดอทคอมในปี 2000–01
ท้ายที่สุด กองทุนฯ เรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้าง"ความมั่นใจ ความแน่นอน และความยั่งยืน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขจัดความไม่แน่นอนทางการค้า ด้วยการกำหนดและเคารพแผนงานที่ชัดเจน โปร่งใส และยั่งยืน พร้อมทั้งรักษาวินัยทางการคลังเพื่อลดภาระหนี้ และย้ำถึงความสำคัญของการ ธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง เพื่อให้สามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาได้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เศรษฐกิจโลกกำลังประสบกับปัญหาการเติบโตที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงและเงินเฟ้อที่อาจฝังรากลึก
IMF คง 'จีดีพีไทย' ที่ 2% แม้ยังห่วง 'หนี้โลก' และ เตือน ’ฟองสบู่เอไอ‘
https://www.facebook.com/share/p/1BdNWS9hCP/?mibextid=wwXIfr
รายงานฉบับล่าสุดนี้ประกาศออกมาท่ามกลางการประชุมสำคัญระหว่างกองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารโลกในงานประชุม IMF-World Bank Annual Meeting 2025 ณ กรุงวอชิงตันดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา
กองทุนฯ ยังเตือนในรายงานว่า ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะที่ "ผันผวนและไร้ทิศทาง" เนื่องจากปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการจัดลำดับความสำคัญของนโยบายใหม่ในสหรัฐฯ และการปรับตัวของประเทศอื่น ๆ ให้เข้ากับระเบียบโลกใหม่
ความไม่แน่นอนนี้มีมาจากมาตรการกีดกันทางการค้า โดยสหรัฐฯ ได้ออกมาตรการภาษีใหม่หลายชุดที่ทำให้อัตราภาษีเพิ่มสูงขึ้นถึงใน "ระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในรอบศตวรรษ" แม้ว่าอัตราภาษีที่มีผลบังคับใช้จะลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนเมษายน แต่ก็ยังอยู่ในช่วง 10-20% สำหรับประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่ และยังห่างไกลจากจากระดับเดิมปี 2024
รายงานระว่า การเติบโตที่ยืดหยุ่นของกิจกรรมทางเศรษฐกิจช่วงต้นปี 2025 เป็นเพียง "การบรรเทาชั่วคราว" ที่เกิดจากการเร่งตุนสินค้าและส่งออกของภาคธุรกิจ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่สูงขึ้น แต่สัญญาณล่าสุดบ่งชี้ว่า ผลกระทบเชิงลบจากมาตรการเหล่านี้เริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว ส่งผลให้การเติบโตของสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงเหลือ 2.0% ในปี 2025
สำหรับเงินเฟ้อ แม้ว่าผลกระทบของการขึ้นภาษีต่อราคาสินค้าในปัจจุบันยังไม่ชัดเจน เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ใช้ส่วนต่างกำไรหลังโควิด-19 เป็นกันชนเพื่อดูดซับต้นทุน แต่ไอเอ็มเอฟพบสัญญาณที่น่ากังวล โดยเงินเฟ้อพื้นฐานในสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน และคาดว่าเงินเฟ้อจะเริ่มสูงขึ้นในครึ่งหลังของปี 2025 เมื่อผลกระทบของภาษีถูกส่งผ่านไปยังผู้บริโภค
นอกจากนี้ นโยบายการคลังในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่งยังคง หละหลวมเกินไป ซึ่งทำให้หนี้สาธารณะต่อ GDP มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ที่คาดว่าหนี้สาธารณะจะพุ่งขึ้นจาก 122% ในปี 2024 เป็น 143% ในปี 2030
ความเสี่ยงในระยะกลางนั้นมาจากแรงกดดันจากการ "แยกห่วงโซ่การผลิตทางเทคโนโลยี" (technological decoupling) และ การจำกัดการไหลเวียนของแรงงานข้ามพรมแดน ซึ่งรวมถึงการไหลเข้าของแรงงานต่างชาติที่ลดลงอย่างรวดเร็วในสหรัฐฯ ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพและจำกัดการเติบโตในระยะยาว
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญยังรวมถึงการที่ตลาดอาจประเมินมูลค่าเทคโนโลยีใหม่ (เช่นปัญญาประดิษฐ์) สูงเกินจริง หากความคาดหวังด้านผลผลิตไม่เป็นไปตามที่คาด อาจนำไปสู่การปรับฐานของตลาดหุ้นเทคโนโลยีอย่างรุนแรง ซึ่งเทียบได้กับ วิกฤตดอทคอมในปี 2000–01
ท้ายที่สุด กองทุนฯ เรียกร้องให้ผู้กำหนดนโยบายต้องเร่งดำเนินการเพื่อสร้าง"ความมั่นใจ ความแน่นอน และความยั่งยืน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขจัดความไม่แน่นอนทางการค้า ด้วยการกำหนดและเคารพแผนงานที่ชัดเจน โปร่งใส และยั่งยืน พร้อมทั้งรักษาวินัยทางการคลังเพื่อลดภาระหนี้ และย้ำถึงความสำคัญของการ ธำรงไว้ซึ่งความเป็นอิสระและความน่าเชื่อถือของธนาคารกลาง เพื่อให้สามารถรักษาเสถียรภาพด้านราคาได้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เศรษฐกิจโลกกำลังประสบกับปัญหาการเติบโตที่ชะลอตัวอย่างรุนแรงและเงินเฟ้อที่อาจฝังรากลึก