ขอพื้นที่เล็กๆ เพื่อระบายกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับชีวิตให้บรรเทาอาการอึดอัดใจ บางปัญหาไม่สามารถพูดหรือระบายกับใครได้ อาจจะเกริ่นยาวไปนิดหนึ่งนะค่ะ...
เรากับสามีคบกันและรู้จักกันไม่นานเนื่องจากตอนนั้นเราทั้งคู่มีบาดแผลในเรื่องของความรักมาจึงทำให้เราเริ่มต้นคุยกันและคบกันไม่ยากหลังจากที่รู้จักกันประมาณ 6 เดือนเราก็ตัดสินใจวางแผนแต่งงานกันค่ะ
จริงๆ แล้วตอนนั้นเราเองก็ยังไม่อยากแต่งเท่าไหร่ แต่ฝ่ายชายอยากแต่งงานมาก ซึ่งเราเองเคยผิดหวังกับผู้ชายคนนึงโดยที่คบกันมานาน 5-6 ปี แต่เค้าไม่เคยคิดจริงจังเรื่องแต่งงานเลย พอเรามาเจอคนนี้ คนที่เราคิดว่าใช่ พร้อมจะดูแลเรา
และอีกอย่างเราเองเริ่มมีความรู้สึกว่าบางครั้งระยะเวลาในการคบกันมันไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คนสองคนรักกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง....
หลังจากนั้นเราก็เริ่มเตรียมงานต่างๆ ออกแบบการ์ด ลิสต์รายชื่อแขก ต่างๆ นานาๆ ระหว่างนั้นเราก็ยังคบกันดี มีทะเลาะกันบ้างประปราย แต่ก็เคลียร์กันได้ทุกครั้ง จนกระทั่งอีกประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนจะถึงวันงานเรากะเค้าก็มีเรื่องทะเลาะกันรุนแรง จนเราเองอยากจะยกเลิกงานแต่งไปให้รู้แล้วรู้รอด ในใจคิดว่าไม่ต้องตง ต้องแต่งมันแล้ว ขนาดยังไม่แต่งงานยังขนาดนี้ อยู่ด้วยกันจริงๆ จะขนาดไหน..
ตอนนั้นเราเองก็สับสนปนเปพอควร ทั้งกลัวพ่อแม่ขายหน้า การ์ดก็แจกญาติสนิท มิตรสหายไปหมด และช่วงก่อนงานแต่งประมาณ 2-3 วัน ก็มีจุดให้เราต้องไปต่อเพราะเราพบว่าเราตั้งครรภ์ ได้ประมาณ 1 เดือน...
เราขอเล่าข้ามๆ ไปบ้างนะค่ะ เนื่องจากเนื้อหาอาจจะยาวเกินไป เราจะเริ่มเข้าเรื่องปัญหาของเราสักที ...
หลังจากผ่านงานแต่งไปแล้ว เรากับเค้าก็แยกมาอยู่กันสองคน โดยตอนนั้นแฟนเราก็ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ งานเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง เราเองเล็งเห็นแล้วเลยคิดว่าควรให้เค้าทำงานเป็นหลักแหล่งดีกว่า เนื่องจากเรากำลังจะมีลูกเล็กๆ เงินทองต้องใช้อีกมากในวันข้างหน้า..
ส่วนเราเองทำงานประจำเป็น Sales รายได้ถ้ารวมค่าคอมก็ถือว่าพอไหวอยู่...เราก็ยังคบกันมาเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตุเห็นคือแฟนเราค่อนข้างอารมณ์ร้าย ใจร้อน เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น
ตอนนั้นเราเริ่มท้องอ่อนๆ และเค้าก็ได้งานประจำซึ่งไม่ไกลจากที่พัก ส่วนเราก็ขับรถไป-กลับ ทำงานเอง หาข้าวกินเองหรือนอนคนเดียวบ้างเวลาที่แฟนเรางานเยอะๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นเฟสบุ๊คของเค้าล็อกอินค้างไว้ เป็นช่วงใกล้วันวาเลนไทน์ เราเห็นข้อความนึงที่เค้าส่งให้ ผู้หญิงคนหนึ่งน่าจะเป็นแฟนเก่า แต่เนื้อหานั้นทำให้เราแอบน้ำตาซึม คือเหมือนจะเค้าจะยังรักและเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ในใจตลอดไป เราเองปกติไม่ค่อยได้เช็คมือถือหรือเฟสบุ๊คของแฟน แต่เราเห็นประโยคนี้เราเลยลองเปิดเค้าไปไล่ดูในเฟสบุ๊คของผู้หญิงคนนั้นแล้วพบว่าน่าจะเป็นแฟนเก่า ซึ่งทิ้งเค้าไปแต่งงานก่อนงานแต่งของเราประมาณ สัก 6 เดือนได้มั้ง เพราะตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็มีลูกอายุแก่กว่าลูกเราไม่กี่เดือน...
ตอนนั้นความรู้สึกของเรามันชา วูบวาบไปหมด คิดไปต่างๆ นานา ปนความเสียใจ เราก็ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ คิดเสียว่าอดีตก็คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันสำคัญที่สุด
ระหว่างที่เราท้องนะค่ะ เราเองพยายามทำตัวปกติ ไม่ให้เป็นภาระของใคร ไป-กลับทำงานเองตลอด อาจจะมีบางวันที่ให้เค้ามารับไปส่งบ้าง (ช่วงที่เอารถไปเคลม) ถ้าเค้าติดงานเราก็นั่งแท็กซี่ไปเอง บางวันแพ้ท้อง ขับรถไปพบลูกค้าเราก็เตรียมถุง เตรียมอุปกรณ์โอ้กอ้ากให้พร้อม งานบ้านก็พยายามทำเอง ยกเว้นกับข้าว ที่ส่วนใหญ่ซื้อกินเองเนื่องจากสะดวกกว่า หลายๆ ครั้งเราสองคนก็ทะเลาะกันจุกจิกๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องบางครั้งเรื่องเล็กๆ เค้าก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่
มีอยู่ครั้งหนึ่งเรานัดกันจะไปหาหมอ พอดีวันนั้นเป็นวันศุกร์และรถติดมาก รถเราเคลมอยู่ที่อู่ เจ้านายกับน้องที่ออฟฟิศเลยขับมาส่งให้ แต่รถติดมากเลยไปช้า แฟนเรามาถึงก่อนน่าจะสักครึ่งชั่วโมงเจ้านายเราก็วนหาที่จอดรถเพราะไม่แน่ใจว่าแฟนเรารออยู่จุดไหน เลยจอดรถห่างกันมาก เจ้านายก็ถือกระเป๋าโน้ตบุ๊คมาส่ง พอมาถึงรถแฟนเราๆ ก็ตะคอกเสียงดังมากว่าให้รีบขึ้นรถ เจ้านายกับรุ่นน้องเราตกใจมาก เราได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ แล้วเดินไปขึ้นรถ พอเลี้ยวออกจากห้างเราก็เลยถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้ พี่เค้าอุตสาห์มาส่งให้ เค้าก็เหมือนไม่พอใจแล้วไล่เราลงจากรถเดี๋ยวนั้น เราเลยเปิดประตูขนของลงแล้วเรียกแท็กซี่กลับบ้านเลยไม่ได้ไปตามที่หมอนัด....
เราก็นั่งร้องไห้มาตลอดทางว่าทำไมเราต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ด้วย ในใจตอนนั้นเราคิดว่าเราจะกลับไปเก็บของแล้วย้ายกลับไปอยู่กับแม่ เราทนไม่ไหว แต่พอกลับไปถึงบ้าน เราก็เห็นรถจอดอยู่ เราก็เค้าไปเก็บของเก็บกระเป๋าและอยากจะเคลียร์กับเค้าให้รู้เรื่องว่าเค้ามีปัญหาอะไร ทำไมต้องแสดงอาการแบบนั้น ตอนแรกเค้าก็ไม่อยากคุย ไม่อยากเคลียร์ เค้าก็เข้ามาแสดงท่าทางเหมือนรู้สึกผิดแต่ก็ไม่มีคำขอโทษใดๆ ออกจากปาก เหตุการณ์นั้นเราก็ให้อภัย ปล่อยผ่านไป แต่ทุกครั้งที่มีการทะเลาะกันบางทีเราเองก็ต้องเป็นฝ่ายเข้าหาและพยายามทำใจ เพราะเราเคยใจร้อนกลับไปก็กลายเป็นทะเลาะบ้านแตก จนสุดท้ายถ้าไม่อยากมีปัญหาเราเองต้องอดทนมากๆๆ กับทุกๆ เรื่อง
ตอนนี้สิ่งที่เป็นปัญหาคือเราไม่รู้ว่าเราจะรับมือกับอารมณ์ใจร้อนของแฟนเราไหวไหม บางทีเราเองเหนื่อยๆ มาจากทำงานก็มีหลุดเหวี่ยงวีน กลับไปบ้าง แต่หลังๆ พยายามนิ่งๆ เพราะเกรงใจพ่อกับแม่ (หลังจากคลอดลูกเราย้ายกลับมาอยู่บ้านแม่) แฟนเราก็เข้ามาอยู่ด้วย พ่อกับแม่เราก็เป็นคนง่ายๆ ไม่เรื่องเยอะ ท่านเองก็ไม่อยากจะเข้ามายุ่งเรื่องครอบครัวมากนัก
ทะเลาะกันรุนแรงอีกครั้ง เมื่อ 4-5 เดือนที่แล้วเราก็ทะเลาะกันค่อนข้างแรงเนื่องจากเราไปแอบเจอบัตรเมมเบอร์อาบอบนวด ในกระเป๋าตังค์ โดยที่เดือนนั้นเค้าเองแทบจะไม่ได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านเลย (เราผ่อนบ้าน (บ้านแม่ที่อยู่ปัจจุบันเราเป็นคนผ่อนเอง) ผ่อนรถ ค่าน้ำไฟ ของเล่นของใช้ลูกเกือบทุกอย่าง ทำประกัน เงินออม ฯลฯ) ซึ่งแรกๆ เงินเดือนเค้าให้เราหมดตอนที่ทำงานประจำใหม่ๆ แต่จู่ๆ หลังๆ มาก็เริ่มทะเลาะกันเรื่องเงินๆ ทองๆ เหมือนไม่อยากให้เรา พอเงินเดือนออกทีไรก็ทะเลาะกันตลอด จนเราเบื่อหน่าย เอาเป็นว่าอยากให้ก็ให้ เราก็มีทวงบ้างเวลามันไม่พอจริงๆ ทุกครั้งที่มีการทะเลาะกันเค้าก็จะเก็บข้าวเก็บของ ไม่พูดไม่จาแล้วขับรถออกไป เราเองก็ต้องเป็นฝ่ายตามง้อตลอด เราเองแค่คิดว่าคนเราอยู่ด้วยกันแล้วการเลิกกันนั้นง่ายมาก แต่เราควรหาวิธีที่จะทำอย่างให้เราอยู่กันแบบเป็นครอบครัว รักและเอาใจใส่กัน
พอดีช่วงนี้ลูกเราป่วยค่อนข้างบ่อยเมื่อเดือนที่แล้วแอทมิทโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ ที่น่าโมโหเพราะแฟนเราเอาแค็บหมู+น้ำคลอราเจนอะไรสักอย่าง (ซื้อจาก 7-11) ให้ลูกทาน คืนนั้นลูกอาเจียรตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้า เราสงสารลูกมาก เพลียและงอแงมาก เราเองก็พยายามถามหมอต่อหน้าเค้าเพื่อให้เค้าได้รู้ว่าสิ่งที่เค้าทำไม่ถูกต้อง เด็กก็ต้องทานอาหารระมัดระวัง เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก ชอบเอาอะไรให้ลูกทานแบบไม่คิด เมื่อวานนี้ลูกเรามีอาการอาเจียรอีกตั้งแต่ 10 โมงเช้ายัน 4 โมงเย็น (วันอาทิตย์มีงานแต่งงาน เค้าให้ลูกทานต้มยำ+ลาบ+ข้าวเกรียบ) ในงาน ซึ่งเราก็ต่อว่าไปเค้าก็บอกไม่เป็นอะไรหรอก พอเราพูดเมื่อเช้านี้ก็ทะเลาะกันรุนแรงอีก เค้าไม่พอใจก็ขนเสื้อผ้าเก็บของออกไป โพสในเฟสบุ๊คว่าจะหาทนายมาฟ้องร้องเรื่องเลี้ยงดูลูกของเรา ทุกครั้งที่ทะเลาะกันเค้าพยายามจะเอาลูกไป แต่ที่บ้านเราไม่ให้แน่นอน....
ตอนนี้เราสับสนมาก คิดไปก็ร้องไห้ไป ใจหนึ่งก็อยากจะเลิกไม่อยากจะทน ใจหนึ่งก็เป็นห่วงลูก ไม่รู้จะทำยังไง เลยอยากถามความเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ นะค่ะ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร หรือเราควรจะอดทนต่อไปเพื่อลูกดี เผื่อวันนึงเค้าจะคิดได้หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้บ้างคะ
ตอนนี้เราได้แต่โทษตัวเองทุกอย่างเป็นเพราะตัดสินใจคนที่จะอยู่ร่วมชีวิตเร็วเกินไป เราเลยอยากให้กระทู้นี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับการใช้ชีวิตคู่นะค่ะ
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ค่ะ
เราควรอดทนเพื่อลูกดีไหม...
เรากับสามีคบกันและรู้จักกันไม่นานเนื่องจากตอนนั้นเราทั้งคู่มีบาดแผลในเรื่องของความรักมาจึงทำให้เราเริ่มต้นคุยกันและคบกันไม่ยากหลังจากที่รู้จักกันประมาณ 6 เดือนเราก็ตัดสินใจวางแผนแต่งงานกันค่ะ
จริงๆ แล้วตอนนั้นเราเองก็ยังไม่อยากแต่งเท่าไหร่ แต่ฝ่ายชายอยากแต่งงานมาก ซึ่งเราเองเคยผิดหวังกับผู้ชายคนนึงโดยที่คบกันมานาน 5-6 ปี แต่เค้าไม่เคยคิดจริงจังเรื่องแต่งงานเลย พอเรามาเจอคนนี้ คนที่เราคิดว่าใช่ พร้อมจะดูแลเรา
และอีกอย่างเราเองเริ่มมีความรู้สึกว่าบางครั้งระยะเวลาในการคบกันมันไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คนสองคนรักกันไปได้ตลอดรอดฝั่ง....
หลังจากนั้นเราก็เริ่มเตรียมงานต่างๆ ออกแบบการ์ด ลิสต์รายชื่อแขก ต่างๆ นานาๆ ระหว่างนั้นเราก็ยังคบกันดี มีทะเลาะกันบ้างประปราย แต่ก็เคลียร์กันได้ทุกครั้ง จนกระทั่งอีกประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนจะถึงวันงานเรากะเค้าก็มีเรื่องทะเลาะกันรุนแรง จนเราเองอยากจะยกเลิกงานแต่งไปให้รู้แล้วรู้รอด ในใจคิดว่าไม่ต้องตง ต้องแต่งมันแล้ว ขนาดยังไม่แต่งงานยังขนาดนี้ อยู่ด้วยกันจริงๆ จะขนาดไหน..
ตอนนั้นเราเองก็สับสนปนเปพอควร ทั้งกลัวพ่อแม่ขายหน้า การ์ดก็แจกญาติสนิท มิตรสหายไปหมด และช่วงก่อนงานแต่งประมาณ 2-3 วัน ก็มีจุดให้เราต้องไปต่อเพราะเราพบว่าเราตั้งครรภ์ ได้ประมาณ 1 เดือน...
เราขอเล่าข้ามๆ ไปบ้างนะค่ะ เนื่องจากเนื้อหาอาจจะยาวเกินไป เราจะเริ่มเข้าเรื่องปัญหาของเราสักที ...
หลังจากผ่านงานแต่งไปแล้ว เรากับเค้าก็แยกมาอยู่กันสองคน โดยตอนนั้นแฟนเราก็ทำงานเป็นฟรีแลนซ์ งานเข้าบ้างไม่เข้าบ้าง เราเองเล็งเห็นแล้วเลยคิดว่าควรให้เค้าทำงานเป็นหลักแหล่งดีกว่า เนื่องจากเรากำลังจะมีลูกเล็กๆ เงินทองต้องใช้อีกมากในวันข้างหน้า..
ส่วนเราเองทำงานประจำเป็น Sales รายได้ถ้ารวมค่าคอมก็ถือว่าพอไหวอยู่...เราก็ยังคบกันมาเรื่อยๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสังเกตุเห็นคือแฟนเราค่อนข้างอารมณ์ร้าย ใจร้อน เราทะเลาะกันบ่อยขึ้น
ตอนนั้นเราเริ่มท้องอ่อนๆ และเค้าก็ได้งานประจำซึ่งไม่ไกลจากที่พัก ส่วนเราก็ขับรถไป-กลับ ทำงานเอง หาข้าวกินเองหรือนอนคนเดียวบ้างเวลาที่แฟนเรางานเยอะๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งเราเคยเห็นเฟสบุ๊คของเค้าล็อกอินค้างไว้ เป็นช่วงใกล้วันวาเลนไทน์ เราเห็นข้อความนึงที่เค้าส่งให้ ผู้หญิงคนหนึ่งน่าจะเป็นแฟนเก่า แต่เนื้อหานั้นทำให้เราแอบน้ำตาซึม คือเหมือนจะเค้าจะยังรักและเก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ในใจตลอดไป เราเองปกติไม่ค่อยได้เช็คมือถือหรือเฟสบุ๊คของแฟน แต่เราเห็นประโยคนี้เราเลยลองเปิดเค้าไปไล่ดูในเฟสบุ๊คของผู้หญิงคนนั้นแล้วพบว่าน่าจะเป็นแฟนเก่า ซึ่งทิ้งเค้าไปแต่งงานก่อนงานแต่งของเราประมาณ สัก 6 เดือนได้มั้ง เพราะตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นก็มีลูกอายุแก่กว่าลูกเราไม่กี่เดือน...
ตอนนั้นความรู้สึกของเรามันชา วูบวาบไปหมด คิดไปต่างๆ นานา ปนความเสียใจ เราก็ได้แต่เก็บความรู้สึกไว้ คิดเสียว่าอดีตก็คือเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันสำคัญที่สุด
ระหว่างที่เราท้องนะค่ะ เราเองพยายามทำตัวปกติ ไม่ให้เป็นภาระของใคร ไป-กลับทำงานเองตลอด อาจจะมีบางวันที่ให้เค้ามารับไปส่งบ้าง (ช่วงที่เอารถไปเคลม) ถ้าเค้าติดงานเราก็นั่งแท็กซี่ไปเอง บางวันแพ้ท้อง ขับรถไปพบลูกค้าเราก็เตรียมถุง เตรียมอุปกรณ์โอ้กอ้ากให้พร้อม งานบ้านก็พยายามทำเอง ยกเว้นกับข้าว ที่ส่วนใหญ่ซื้อกินเองเนื่องจากสะดวกกว่า หลายๆ ครั้งเราสองคนก็ทะเลาะกันจุกจิกๆ เรื่องไม่เป็นเรื่องบางครั้งเรื่องเล็กๆ เค้าก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่
มีอยู่ครั้งหนึ่งเรานัดกันจะไปหาหมอ พอดีวันนั้นเป็นวันศุกร์และรถติดมาก รถเราเคลมอยู่ที่อู่ เจ้านายกับน้องที่ออฟฟิศเลยขับมาส่งให้ แต่รถติดมากเลยไปช้า แฟนเรามาถึงก่อนน่าจะสักครึ่งชั่วโมงเจ้านายเราก็วนหาที่จอดรถเพราะไม่แน่ใจว่าแฟนเรารออยู่จุดไหน เลยจอดรถห่างกันมาก เจ้านายก็ถือกระเป๋าโน้ตบุ๊คมาส่ง พอมาถึงรถแฟนเราๆ ก็ตะคอกเสียงดังมากว่าให้รีบขึ้นรถ เจ้านายกับรุ่นน้องเราตกใจมาก เราได้แต่ทำหน้าเจื่อนๆ แล้วเดินไปขึ้นรถ พอเลี้ยวออกจากห้างเราก็เลยถามว่าทำไมต้องทำแบบนี้ พี่เค้าอุตสาห์มาส่งให้ เค้าก็เหมือนไม่พอใจแล้วไล่เราลงจากรถเดี๋ยวนั้น เราเลยเปิดประตูขนของลงแล้วเรียกแท็กซี่กลับบ้านเลยไม่ได้ไปตามที่หมอนัด....
เราก็นั่งร้องไห้มาตลอดทางว่าทำไมเราต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ด้วย ในใจตอนนั้นเราคิดว่าเราจะกลับไปเก็บของแล้วย้ายกลับไปอยู่กับแม่ เราทนไม่ไหว แต่พอกลับไปถึงบ้าน เราก็เห็นรถจอดอยู่ เราก็เค้าไปเก็บของเก็บกระเป๋าและอยากจะเคลียร์กับเค้าให้รู้เรื่องว่าเค้ามีปัญหาอะไร ทำไมต้องแสดงอาการแบบนั้น ตอนแรกเค้าก็ไม่อยากคุย ไม่อยากเคลียร์ เค้าก็เข้ามาแสดงท่าทางเหมือนรู้สึกผิดแต่ก็ไม่มีคำขอโทษใดๆ ออกจากปาก เหตุการณ์นั้นเราก็ให้อภัย ปล่อยผ่านไป แต่ทุกครั้งที่มีการทะเลาะกันบางทีเราเองก็ต้องเป็นฝ่ายเข้าหาและพยายามทำใจ เพราะเราเคยใจร้อนกลับไปก็กลายเป็นทะเลาะบ้านแตก จนสุดท้ายถ้าไม่อยากมีปัญหาเราเองต้องอดทนมากๆๆ กับทุกๆ เรื่อง
ตอนนี้สิ่งที่เป็นปัญหาคือเราไม่รู้ว่าเราจะรับมือกับอารมณ์ใจร้อนของแฟนเราไหวไหม บางทีเราเองเหนื่อยๆ มาจากทำงานก็มีหลุดเหวี่ยงวีน กลับไปบ้าง แต่หลังๆ พยายามนิ่งๆ เพราะเกรงใจพ่อกับแม่ (หลังจากคลอดลูกเราย้ายกลับมาอยู่บ้านแม่) แฟนเราก็เข้ามาอยู่ด้วย พ่อกับแม่เราก็เป็นคนง่ายๆ ไม่เรื่องเยอะ ท่านเองก็ไม่อยากจะเข้ามายุ่งเรื่องครอบครัวมากนัก
ทะเลาะกันรุนแรงอีกครั้ง เมื่อ 4-5 เดือนที่แล้วเราก็ทะเลาะกันค่อนข้างแรงเนื่องจากเราไปแอบเจอบัตรเมมเบอร์อาบอบนวด ในกระเป๋าตังค์ โดยที่เดือนนั้นเค้าเองแทบจะไม่ได้ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในบ้านเลย (เราผ่อนบ้าน (บ้านแม่ที่อยู่ปัจจุบันเราเป็นคนผ่อนเอง) ผ่อนรถ ค่าน้ำไฟ ของเล่นของใช้ลูกเกือบทุกอย่าง ทำประกัน เงินออม ฯลฯ) ซึ่งแรกๆ เงินเดือนเค้าให้เราหมดตอนที่ทำงานประจำใหม่ๆ แต่จู่ๆ หลังๆ มาก็เริ่มทะเลาะกันเรื่องเงินๆ ทองๆ เหมือนไม่อยากให้เรา พอเงินเดือนออกทีไรก็ทะเลาะกันตลอด จนเราเบื่อหน่าย เอาเป็นว่าอยากให้ก็ให้ เราก็มีทวงบ้างเวลามันไม่พอจริงๆ ทุกครั้งที่มีการทะเลาะกันเค้าก็จะเก็บข้าวเก็บของ ไม่พูดไม่จาแล้วขับรถออกไป เราเองก็ต้องเป็นฝ่ายตามง้อตลอด เราเองแค่คิดว่าคนเราอยู่ด้วยกันแล้วการเลิกกันนั้นง่ายมาก แต่เราควรหาวิธีที่จะทำอย่างให้เราอยู่กันแบบเป็นครอบครัว รักและเอาใจใส่กัน
พอดีช่วงนี้ลูกเราป่วยค่อนข้างบ่อยเมื่อเดือนที่แล้วแอทมิทโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษ ที่น่าโมโหเพราะแฟนเราเอาแค็บหมู+น้ำคลอราเจนอะไรสักอย่าง (ซื้อจาก 7-11) ให้ลูกทาน คืนนั้นลูกอาเจียรตั้งแต่เที่ยงคืนยันเช้า เราสงสารลูกมาก เพลียและงอแงมาก เราเองก็พยายามถามหมอต่อหน้าเค้าเพื่อให้เค้าได้รู้ว่าสิ่งที่เค้าทำไม่ถูกต้อง เด็กก็ต้องทานอาหารระมัดระวัง เราทะเลาะกันเรื่องนี้บ่อยมาก ชอบเอาอะไรให้ลูกทานแบบไม่คิด เมื่อวานนี้ลูกเรามีอาการอาเจียรอีกตั้งแต่ 10 โมงเช้ายัน 4 โมงเย็น (วันอาทิตย์มีงานแต่งงาน เค้าให้ลูกทานต้มยำ+ลาบ+ข้าวเกรียบ) ในงาน ซึ่งเราก็ต่อว่าไปเค้าก็บอกไม่เป็นอะไรหรอก พอเราพูดเมื่อเช้านี้ก็ทะเลาะกันรุนแรงอีก เค้าไม่พอใจก็ขนเสื้อผ้าเก็บของออกไป โพสในเฟสบุ๊คว่าจะหาทนายมาฟ้องร้องเรื่องเลี้ยงดูลูกของเรา ทุกครั้งที่ทะเลาะกันเค้าพยายามจะเอาลูกไป แต่ที่บ้านเราไม่ให้แน่นอน....
ตอนนี้เราสับสนมาก คิดไปก็ร้องไห้ไป ใจหนึ่งก็อยากจะเลิกไม่อยากจะทน ใจหนึ่งก็เป็นห่วงลูก ไม่รู้จะทำยังไง เลยอยากถามความเห็นพี่ๆ เพื่อนๆ นะค่ะ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร หรือเราควรจะอดทนต่อไปเพื่อลูกดี เผื่อวันนึงเค้าจะคิดได้หรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้บ้างคะ
ตอนนี้เราได้แต่โทษตัวเองทุกอย่างเป็นเพราะตัดสินใจคนที่จะอยู่ร่วมชีวิตเร็วเกินไป เราเลยอยากให้กระทู้นี้เป็นอุทาหรณ์สำหรับการใช้ชีวิตคู่นะค่ะ
ขอบคุณสำหรับพื้นที่ค่ะ