สองสามวันก่อนผมเปิดช่องหนังhdแล้วเจอหนังเรื่องหนึ่ง. ที่ออกฉายในปี1994หรือ20ปีที่แล้วพอดิบพอดี. นั่นคือเรื่องstargate ทะลุคนทะลุจักรวาล ซึ่งในเวลาต่อมาก็กลายมาเป็นซีรี่ย์ที่ทำมาอีกหลายต่อหลายครั้ง.
บางคนอาจจะเคยดูนะ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดู หนังจะมีรายละเอียดและเทคนิคที่ค่อนข้างคล้ายกับ the fifth element ของผู้กำกับ ลูส เบซง. นั่นคือเทคนิคที่ใช้คอมทำค่อนข้างเป็นcgง่ายๆแต่ใช่คอสตูมและของจริงข่วยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เลยออกมาค่อนข้างสวยสมจริง
ส่วนตัวผมชอบไซไฟแฟนตาซีแนวนี้มากๆ แบะพยายามตามหาหนังแบบนี้ทุกเรื่อง บางเรื่องทำให้เราเชื่อมากกว่าหนังในปัจจุบันเสียอีก ทั้งภาพ เทคนิค วิธีการและความทุ่มเทที่เขาทำ
และก่อนจะดูผมก็ลองไปเช็คคะแนนในIMDBดู......ปรากฎว่า. ได้42คะแนน (ถือเป็นปกติของหนังแนวนี้อยู่แล้ว ที่จะได้คะแนนไม่เกินช่องเหลืองเลย. แต่ขนาดtransformers ผมยังชอบได้เลย แค่นี้ผมรับได้)จึงเผื่อใจเอาไว้สำหรับหนังเรื่องดี
แต่พอดูจริงๆแล้ว มันกลับเจ๋งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งเทคนิคคลาสสิคหลายๆอย่างที่ปัจจุบันนี้เขาไม่ใช้กันแล้ว แต่ผมก็ยังว่ามันเจ๋งมากๆแบบว่า"สมัยนั้นทำได้ไงวะ". ที่ผมชอบที่สุดคือตอนที่ทำให้หน้ากากเทพราห์กลายเป็นหน้าคน ซึ่งปกติในหนังเรื่องอื่นๆจะใช้อะไรที่ทำง่ายๆช่วย อย่างตอนอินเดียน่า โจนส์1...ที่ตัวร้ายละลายตายในตอนเปิด หีบ ศักดิ์สิทธิ์. ตัวนั้นจะใช้ไขเทียนปั้นแล้วละลาย.
แต่สำหรับสตาร์เกจ มันค่อนข้างประนีตและทำยากมากๆ ซึ่งเทคนิคที่ให้ความสมจริงกับตาคนดูด้วยของจริงแบบนี้ไม่ค่อยถูกใช้กันแล้วในหนังฮอลีวูด เพราะพวกเขาไปให้ความสำคัญกับงานcgและงานภาพ ที่ค่อนข้างสะดวกสบายและล้ำยุคกว่า
เช่น clash of the titan. ที่ทำใหม่เมื่อปี2010. ซึ่งเมื่อเทียบกับงานปี1981แล้ว จะเห็นได้ชัดว่า ในท้องเรื่องเดียวกัน ซีจีทำอะไรได้บ้าง แต่คุณก็จะเห็คความคลาสสิคจากงานปี1981ที่ภาพสวยงามและเต็มไปด้วยความทุ่มเทในฉาก stop motion ต่างๆซึ่งติดตาตรึงใจผมมายันทุกๆวันนี้.
แต่นอกจากcgแล้ว หนังยุคนี้ยังมีอย่างอื่นที่ต่างไปจากแต่ก่อน. เพราะการเล่าเรื่องที่ดูเป็นepicและความคลาสสิคที่หาได้ง่ายในหนังสมัยก่อนหลายๆเรื่อง จางหายไปกับยุคสมัยเสียแล้ว โดยมันดูจะยากที่จะกู้กลับมา. ขนาดไซไฟอินดีสทัยก่อนอย่าง starship troopers ,judge dreddกะtotal recallยังสนุกกว่าเวอร์ภาคต่อและรีเมคในปัจจุบันเลย
ออกนอกเรื่องซะนาน มาที่สตาร์เกจกันต่อดีกว่า. นอกจากเทคนิคพิเศษที่หาชมยากแล้ว ยังมีอีกอย่างสองอย่างที่เรามักไม่ได้เห็นในปัจจุบัน. นั่นคือ
การใช้ฉากใหญ่ที่ทำด้วยคน บนสถานที่จริง ในฉากของเหมืองในอีกฟากของจักรวาล. และเจ้าสัตว์ต่างดาวตัวใหญ่ๆ ซึ่ง หนังส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้เขาก็มักจะใช้กรีนสกรีนแล้วใช้cgเช่นกัน อย่างthe hobbit เป็นต้น. เทคนิคนี้เราเห็นทุกครั้งก็อึ้ง ถึงมันจะดูหลอกในบางครั้ง แต่สิ่งที่เห็นนั้นฟ้องว่ามันเป็นเรื่องจริง ของจริง เหมือนใน 2001:a space odyssey ซึ่งใช้จานอวกาศโมเดล ไม่ใช่cg. ถึงจะทำจากไม้ก็เถอะ หรือแม้แต่ฉากและการแต่งหน้าต่างๆในplanet of the apes 2001จาก พี่ทิม ซึ่งมันทำให้เราดูแล้ว ถึงกับอึ้งไปอีกรอบ. แต่ก็ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวนี้จะไม่มีนะ อย่าง the impossible ที่เซตฉากสึนามิและโรงแรมมาถล่มจริงๆนี่ก็. กลายเป็นอีก1ปรากฎการณ์ของช่วงนั้นเลย
และการผูกเรื่องด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าความเชื่อต่างๆทั้ง อียิปต์ และเอเลี่ยน ซึ่งน่าจะมีที่มาจากทฤษฎีที่ว่า ปิรามิดมีเอเลี่ยนช่วยสร้าง. ก็ทำได้อย่างที่เรารู้สึกว่า"เฮ๊ยเจ๋ง คิดเนื้อเรื่องไปๆมาๆแนวนี้ไดิไง ชอบๆ. แบบ เป็นความรู้สึกเดียวกะที่ดู the terminal. ทวิภพ และหนังอื่นๆอีกมากมาย
คำบ่นๆจากหนังเรื่องเดียวทืไปต้อยไปกล่าวถึงหนังแบบ เฮ๊ยเจ๋งของผมก็ไปและหลายเรื่อง คุณล่ะ มีเฮ๊ยเจ๋งแบบนี้มะ^^
มีหนังเก่าที่คุณเพิ่งดูแล้วรู้สึกว่า เฮ๊ยเจ๋งดีบ้างครับ
บางคนอาจจะเคยดูนะ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดู หนังจะมีรายละเอียดและเทคนิคที่ค่อนข้างคล้ายกับ the fifth element ของผู้กำกับ ลูส เบซง. นั่นคือเทคนิคที่ใช้คอมทำค่อนข้างเป็นcgง่ายๆแต่ใช่คอสตูมและของจริงข่วยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เลยออกมาค่อนข้างสวยสมจริง
ส่วนตัวผมชอบไซไฟแฟนตาซีแนวนี้มากๆ แบะพยายามตามหาหนังแบบนี้ทุกเรื่อง บางเรื่องทำให้เราเชื่อมากกว่าหนังในปัจจุบันเสียอีก ทั้งภาพ เทคนิค วิธีการและความทุ่มเทที่เขาทำ
และก่อนจะดูผมก็ลองไปเช็คคะแนนในIMDBดู......ปรากฎว่า. ได้42คะแนน (ถือเป็นปกติของหนังแนวนี้อยู่แล้ว ที่จะได้คะแนนไม่เกินช่องเหลืองเลย. แต่ขนาดtransformers ผมยังชอบได้เลย แค่นี้ผมรับได้)จึงเผื่อใจเอาไว้สำหรับหนังเรื่องดี
แต่พอดูจริงๆแล้ว มันกลับเจ๋งอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งเทคนิคคลาสสิคหลายๆอย่างที่ปัจจุบันนี้เขาไม่ใช้กันแล้ว แต่ผมก็ยังว่ามันเจ๋งมากๆแบบว่า"สมัยนั้นทำได้ไงวะ". ที่ผมชอบที่สุดคือตอนที่ทำให้หน้ากากเทพราห์กลายเป็นหน้าคน ซึ่งปกติในหนังเรื่องอื่นๆจะใช้อะไรที่ทำง่ายๆช่วย อย่างตอนอินเดียน่า โจนส์1...ที่ตัวร้ายละลายตายในตอนเปิด หีบ ศักดิ์สิทธิ์. ตัวนั้นจะใช้ไขเทียนปั้นแล้วละลาย.
แต่สำหรับสตาร์เกจ มันค่อนข้างประนีตและทำยากมากๆ ซึ่งเทคนิคที่ให้ความสมจริงกับตาคนดูด้วยของจริงแบบนี้ไม่ค่อยถูกใช้กันแล้วในหนังฮอลีวูด เพราะพวกเขาไปให้ความสำคัญกับงานcgและงานภาพ ที่ค่อนข้างสะดวกสบายและล้ำยุคกว่า
เช่น clash of the titan. ที่ทำใหม่เมื่อปี2010. ซึ่งเมื่อเทียบกับงานปี1981แล้ว จะเห็นได้ชัดว่า ในท้องเรื่องเดียวกัน ซีจีทำอะไรได้บ้าง แต่คุณก็จะเห็คความคลาสสิคจากงานปี1981ที่ภาพสวยงามและเต็มไปด้วยความทุ่มเทในฉาก stop motion ต่างๆซึ่งติดตาตรึงใจผมมายันทุกๆวันนี้.
แต่นอกจากcgแล้ว หนังยุคนี้ยังมีอย่างอื่นที่ต่างไปจากแต่ก่อน. เพราะการเล่าเรื่องที่ดูเป็นepicและความคลาสสิคที่หาได้ง่ายในหนังสมัยก่อนหลายๆเรื่อง จางหายไปกับยุคสมัยเสียแล้ว โดยมันดูจะยากที่จะกู้กลับมา. ขนาดไซไฟอินดีสทัยก่อนอย่าง starship troopers ,judge dreddกะtotal recallยังสนุกกว่าเวอร์ภาคต่อและรีเมคในปัจจุบันเลย
ออกนอกเรื่องซะนาน มาที่สตาร์เกจกันต่อดีกว่า. นอกจากเทคนิคพิเศษที่หาชมยากแล้ว ยังมีอีกอย่างสองอย่างที่เรามักไม่ได้เห็นในปัจจุบัน. นั่นคือ
การใช้ฉากใหญ่ที่ทำด้วยคน บนสถานที่จริง ในฉากของเหมืองในอีกฟากของจักรวาล. และเจ้าสัตว์ต่างดาวตัวใหญ่ๆ ซึ่ง หนังส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้เขาก็มักจะใช้กรีนสกรีนแล้วใช้cgเช่นกัน อย่างthe hobbit เป็นต้น. เทคนิคนี้เราเห็นทุกครั้งก็อึ้ง ถึงมันจะดูหลอกในบางครั้ง แต่สิ่งที่เห็นนั้นฟ้องว่ามันเป็นเรื่องจริง ของจริง เหมือนใน 2001:a space odyssey ซึ่งใช้จานอวกาศโมเดล ไม่ใช่cg. ถึงจะทำจากไม้ก็เถอะ หรือแม้แต่ฉากและการแต่งหน้าต่างๆในplanet of the apes 2001จาก พี่ทิม ซึ่งมันทำให้เราดูแล้ว ถึงกับอึ้งไปอีกรอบ. แต่ก็ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวนี้จะไม่มีนะ อย่าง the impossible ที่เซตฉากสึนามิและโรงแรมมาถล่มจริงๆนี่ก็. กลายเป็นอีก1ปรากฎการณ์ของช่วงนั้นเลย
และการผูกเรื่องด้วยประวัติศาสตร์และเรื่องเล่าความเชื่อต่างๆทั้ง อียิปต์ และเอเลี่ยน ซึ่งน่าจะมีที่มาจากทฤษฎีที่ว่า ปิรามิดมีเอเลี่ยนช่วยสร้าง. ก็ทำได้อย่างที่เรารู้สึกว่า"เฮ๊ยเจ๋ง คิดเนื้อเรื่องไปๆมาๆแนวนี้ไดิไง ชอบๆ. แบบ เป็นความรู้สึกเดียวกะที่ดู the terminal. ทวิภพ และหนังอื่นๆอีกมากมาย
คำบ่นๆจากหนังเรื่องเดียวทืไปต้อยไปกล่าวถึงหนังแบบ เฮ๊ยเจ๋งของผมก็ไปและหลายเรื่อง คุณล่ะ มีเฮ๊ยเจ๋งแบบนี้มะ^^