คลุมถุงชนVSรักกันเองแบบไหนชีวิตคู่อยู่กันยืดกว่ากัน???

คุณคิดว่าไงแบบไหนชีวิตคู่จะอยู่กันยืดกว่ากัน
..........................................................................................................
     ขอเล่าประสบการณ์เพิ่มเติมนะ จากที่เราเคยไปเที่ยวอินเดีย ก่อนอื่นเราก็คิดว่าคนสมัยนี้ใครๆก็ต้องแต่งกันเพราะรักกันก่อนเท่านั้นใช่มั้ย แต่ยังมีคนอีกหลายล้านคนบนโลกนี้ที่ยังใช้วิธีคลุมถุงชนกันอยู่ จากการสอบถามไกด์ก็พอจะจับใจความได้ว่าคู่ที่โดนคลุมถุงชนต่างฝ่ายก็มักจะแต่งงานกันโดยที่ไม่ได้หวังความสุขส่วนตัวอยู่แล้ว ซึ่งต่างจากการแต่งงานสมัยใหม่ที่มักจะเอาความต้องการเอารสนิยมของตนเองเป็นที่ตั้ง ในการหาคนที่ตนเองถูกใจซึ่งมันก็ดีที่หาคนที่เหมาะสมได้ แต่เราหาคนที่เหมาะสมจริงๆหรือหาคนที่ยอมเรากันแน่ ดูได้จากการทะเลาะของคู่แต่งงานในไทยปัจจุบันที่การทะเลาะการมักจะเป็นเรื่อง ค่าใช้จ่าย ใครจ่ายอะไร เวลาว่างใครทำอะไร หรือปัญหาเรื่องเพศสัมพันธ์(เราเคยฝึกงานที่ศาลเยาวชน ส่วนใหญ่เลิกกันเพราะเพศสัมพันธ์นี่แหละ ที่บอกว่าเข้ากันไม่ได้ จริงๆแล้วเข้าได้แต่เข้าแบบไหนหละ?? ที่ถูกใจ) ซึ่งจริงๆมันก็คือเรื่องใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ในครอบครัว
          
      แต่กรณีคลุมถุงชน ทั้งสองฝ่ายไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องถูกใจตนอยู่แล้ว และยอมรับการผูกพันทางครองครัวการรับภาระครอบครัวของทั้งสองฝ่ายมากกว่าจะเอาเรื่องอื่นมาเป็นปัญหาใหญ่ในชีวิต แต่ละฝ่ายจึงมีความอดทนต่ออีกฝ่ายมากกว่า และที่สำคัญคือฝ่ายคลุมถุงชนมักจะไม่ปราถนาให้อีกฝ่ายต้องทำตามความต้องการของตนเองมากจนอีกฝ่ายรู้สึกเสียความรู้สึกแม้นจะเข้ากันไม่ได้ก็ตาม ประกอบกับฝ่ายคลุมถุงชนมักจะอยู่ในสังคมที่ไม่สนับสนุนการแตกร้าว เมื่อมีปัญหาก็จะมีญาติผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคอยประคอง และผู้ชายในฝ่ายคลุมถุงชนมักจะมีความรับผิดชอบมีความเป็นผู้ใหญ่สูงเพราะมีญาติๆคอยจับตาตลอดเวลา อีกอันที่เราว่ามันสำคัญมากๆ คือ วิธีการมองความรักของสังคมคลุมถุงชนต่างจากความรักสมัยใหม่ คือ คลุมถุงชนมองว่าความรักจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันก่อน ความรักจึงจะตามมา ซึ่งอันนี้เราว่ามันต่างจากความรักสมัยใหม่ที่มีวิธีคิดว่าต้องรักกันก่อนจึงจะสามารถอยู่ด้วยกันได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่