สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกที่ตัวเองตั้ง จขกท.อายุ 17 ปี งั้นขอเรียกแทนตัวเองว่าหนูแล้วกันนะคะ ^^ ไม่ขอพูดอะไรมาก อยากขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากท่านผู้ใหญ่ว่าหนูควรจะทำอย่างไรดีค่ะ เข้าเรื่องเลยนะคะ อาจจะยาวหน่อย แต่อยากได้คำแนำนำค่ะ
ตอนนี้หนูอยู่กับพ่อและพี่ชายรวมทั้งหมด 3 คน แม่เสียไป 5 ปีแล้วค่ะ ตอนเด็กๆครอบครัวหนูอยู่ที่อยุธยา พอประมาณปี 46 ก็ย้ายมาอยู่ที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี คลอง 7 อยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง ข้างๆมีโลตัส ฝั่งตรงข้ามมีตลาด บ้านที่พ่อกับแม่ซื้อ เป็นบ้านที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับหนู มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ ซึ่งห้องหนูได้สิทธิพิเศษมากกว่าใครคือ มีห้องน้ำในตัวและมีระเบียงและเป็นห้องที่ใหญ่พอสมควร ราคาถ้าหนูจำไม่ผิดคือ 4,500,000 ไม่รวมค่าตกแต่งต่างๆ ซึ่งเคยถามพ่อแล้วประมาณ 1,000,000 กว่าๆ แน่นอนว่าหนูรักบ้านหลังนี้มากๆ มันร่มรื่น สงบ ไม่วุ่นวาย แรกๆ เห็นแม่บอกว่า ต้องผ่อนเดือนละ 16,000 หนูกับพี่ยังเด็กเลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ปล่อยให้พ่อกับแม่จัดการ สภาพการเงินที่บ้านก็พอใช้และมีเงินเหลือ พ่อเป็นวิศวกร ทำงานสมัยนั้นได้เดือนละ 40,000 บาท ครอบครัวเราไม่เคยเงินขาด มีเงินไปทานข้าวข้างนอกทุกอาทิตย์ มีเงินไปเที่ยวตามประสาครอบครัวบ้าง ชีวิตตอนนั้นจำได้ว่าเหมือนฝัน ครอบครัวพร้อมหน้า พอประมาณปี 50 พ่อหนูเข้าโรงพยาบาล เพราะตรวจเจอว่าเป็นโรคหัวใจ สาเหตุมาจากสูบบุหรี่จัดมาก ต้องทำบอลลูน ซึ่งจำได้ว่าเข้าไปโรงพยาบาลเอกชนที่หรูมากๆ น่าจะใช้เงินไปไม่น้อยทีเดียว แต่หนูไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ไม่มีใครบอก หลังจากทำบอลลูนแล้ว พ่อก็หักดิบเลิกบุหรี่ค่ะ ตรงนี้หนูดีใจมาก เพราะหนูอยากให้พ่อเลิกบุหรี่มาตั้งแต่เด็กๆ (เคยเอาบุหรี่พ่อมานั่งตัดๆๆทิ้งลงถังขยะต่อหน้าพ่อแม่แล้วก็พี่ชาย ตอนตัดนั่งร้องไห้ไปด้วยค่ะ จำได้ว่าวันนั้นวันงดสูบบุหรี่โลก) หลังจากพ่อออกจากโรงพยาบาลมาก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ มีไปรับยาที่โรงพยาบาลทุกเดือน แต่จุดเปลี่ยนมันอยู่ที่ตรงนี้ค่ะ เป็นจุดที่ชีวิตหนูเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ปี 52 เดือนพฤษจิกายน ตอนนั้นหนูอยู่ ป. 6 ซึ่งวันนั้นหนูกับพี่ชายไปโรงเรียน พ่อไปทำงานที่ขอนแก่นค่ะ ตอนเช้าก็ยังกินข้าวที่แม่ทำให้ปกติ ไหว้แม่ปกติ หอมแม่ก่อนไปโรงเรียนตามปกติ ตกเย็นกำลังเรียนคาบสุดท้าย ครูก็ประกาศเรียกชื่อหนูว่ามีผู้ปกครองมารับ หนูก็เอ๊ะ...แม่มารับไปงานศพทวดแน่เลย เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงจัดงานศพทวดอยู่ หนูก็รีบลงไปข้างล่าง เห็นแค่พี่ชายนั่งอยู่กับน้าชายที่ยืนคุยกับครูอยู่ ทุกคนน่าเครียดหนูก็เอ๊ะ มีอะไรกัน? พอลาครูเสร็จ กำลังเดินกลับไปที่รถ น้าบอกว่า แม่หนูเข้าโรงพยาบาลนะ อยู่ห้อง ICU ตอนนี้กำลัง 'รอ' หนูอยู่คนเดียว หนูก็เริ่มใจไม่ดีละ คิดมากไปหมดว่าแม่เป็นอะไร เมื่อเช้าก็ยังปกติดีนี่ พอไปถึงโรงพยาบาล น้าก็ส่งหนูกับพี่ลงข้างหน้าทางเข้าแล้วพี่ชายก็เริ่มร้องไห้แล้วบอกว่า แม่เสียแล้วนะ...ตอนนั้นอึ้งค่ะ คิดว่าพี่ชายพูดเล่น เพราะเมื่อตอนอยู่ รร. น้าบอกว่าอยู่ ICU แต่พอเห็นหน้าพี่ชายก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เหมือนโลกทล่ม นั่งทรุดร้องไห้อยู่หน้าทางเข้านั่นแหละ แล้วพี่ชายก็พาหนูเดินเข้าไปข้างใน ป้า น้า ญาติๆ นั่งร้องไห้กันระงม ทีนี้น้ำตาแตกยิ่งกว่าเดิมค่ะ หมอบอกว่า แม่เสียเพราะว่ากล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน น้าเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นแม่ทำกับข้าวอยู่ เตรียมไปงานศพทวด กลัวหนูกับพี่กลับมาไม่มีอะไรกินเลยทำต้มซุปน่องไก่ไว้ให้ แล้วแม่ก็เริ่มเจ็บหน้าอก แต่ไม่ได้คิดอะไร เพราะสองสามวันที่แล้วไปช่วยญาติๆตำพริกแกงที่บ้าน คิดว่าคงปวดกล้ามเนื้อธรรมดา แต่พอเริ่มหายใจไม่ออก แม่ก็โทรหาพ่อที่ขอนแก่น พ่อก็บอกว่าให้แม่ไอแรงๆคิดว่าลิ่มเลือดไปอุดตรงไหนสักที่ แต่แม่บอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงจะพูด พ่อเลยโทรบอกน้าที่บ้านอยู่ใกล้ๆกันมารับไปโรงพยาบาล พอแม่กำลังเดินไปที่ประตู น้าก็บอกว่า แม่ล้มลงไปเลยค่ะ น้าเลยพาแม่ขึ้นรถจะไปโรงพยาบาล แต่ไม่ทันค่ะ แม่เสียตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว ไปถึงโรงพยาบาล หมอปั๊มหัวใจยื้อไว้นานประมาณ 50 นาที แต่ยื้อไม่ไหวค่ะ แม่ไปแล้ว เล่ามานาน ปัญหามันอยู่ตรงที่จะเล่าต่อไปนี้ค่ะ
หลังจากแม่เสีย พ่อก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพ เท่าที่รู้คือ เงินเดือนอัพขึ้นมาเป็น 60,000 เกือบๆ 70,000 ค่าบ้านก็อัพขึ้นตามเงินเดือนค่ะ เป็นเดือนละ 20,000 กว่าๆ ปีแรกๆ เริ่มเงินไม่พอหมุนบ้าง แต่ยังพออยู่ได้ แรกๆหนูค่อนข้างเซนต์ซิทีฟค่ะ ร้องไห้บ่อย อ่อนไหวง่าย พ่อว่านิดหน่อยก็ร้องไห้ หลังๆมานี่คนละคน เข้มแข็งมาก ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนเย็นชาหรือว่าอะไรนะคะ ยังยิ้มยังหัวเราะได้ตามปกติ แต่ไม่เคยร้องไห้ง่ายๆอีกเลย พอประมาณ ม.3 หนูก็หางานทำค่ะ เป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารญี่ปุ่นที่ห้างข้างๆบ้าน ได้เดือนละ 6,000-8,000 บาท เงินก็เอาไปหมุนกับที่บ้านหมดเลย ไม่มีเงินเก็บเลย บอกก่อนนะคะว่าหนูไม่ใช่พวกบ้าวัตถุนิยม ไม่แต่งตัว ไม่เที่ยว วันๆนึงเรียนเสร็จถ้าไม่ทำงานก็กลับบ้าน เงินที่ได้มาจึงเอาไปช่วยพ่อบ้าง เอาไปซื้อหนังสือเรียนบ้าง ซื้อของใช้ ซื้อกับข้าวบ้างช่วยๆกันไป เป็นงานที่เหนื่อยมาก แต่สนุกดีค่ะ พอขึ้น ม.4 ก็ออกมา เพราะต้องปรับตัวกับการขึ้น ม.ปลาย ซึ่งจะเรียนหนักขึ้น ม.4 นี่แหละค่ะ เริ่มมาถึงปัญหา คือ เงินขาด บ้านขาดส่ง ของใช้ไม่เคยได้ซื้อ ต้องเก็บเอาจากเงินที่พ่อให้ไปซื้อเอาเล็กๆน้อยๆ ค่าเทอมยังไม่ได้จ่ายตอนนี้ค้างไว้สี่เทอมแล้วค่ะ เพราะต้องเอาไปจ่ายของพี่ชายก่อน เพราะพี่ชายขึ้นมหาลัยไม่งั้นจะโดนไทร์ ที่บ้านเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น หมายถึงพ่อกับพี่ชายนะคะ หนูนี่อยู่ตรงกลางเงียบ ทะเลาะกันแรงมาก เพราะแรงด้วยกันทั้งคู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูเคยทะเลาะกับพ่อครั้งแรกในชีวิต ก็ไม่เชิงทะเลาะหรอกค่ะ หนูนั่งฟังเขาว่าเงียบๆมากกว่า จนพ่อบอกว่า ต่างคนต่างอยู่กันไปเลย พ่อไม่คุยกับหนูและพี่ชายเลย หลายเดือนมาก สีห้าเดือนได้ คือให้เงินไว้อย่างเดียว ถ้าหนูอยู่ข้างล่าง พ่อก็จะขึ้นไปข้างบน แต่ถ้าพ่ออยู่ข้างล่าง หนูก็จะไม่กล้าลงไป เพราะพ่อเมินหนูมาก เหมือนไม่มีหนูอยู่ในบ้านนี้ จนไปทำบุญครบรอบแม่ ญาติๆรวมตัวกัน พูดกับพ่อให้ หนูคิดว่าจะดี แต่ทุกคนกลับมารุมต่อว่าหนูกับพี่ชาย จากนั้นเราก็กลับมาคุยกันอีก พ่อกับพี่ชายก็ทะเลาะกันหนักขึ้น แรงขึ้น ส่วนมากที่ทะเลาะกันในบ้าน ก็คือเรื่องเงิน บ้านไม่สะอาด แค่สองเรื่องนี้ค่ะ หนูก็ได้แต่นั่งเงียบๆค่ะ เพราะหนูไม่ใช่คนเถียง แต่พี่ชายจะเถียง หนูก็ประคับประคองความเป็นบ้านมาจนถึงทุกวันนี้ คือ พยายามทำบ้านให้สะอาด และประหยัดเงินมากๆ ย้ำว่ามากๆค่ะ หนูไม่ได้บอกว่าหนูดีเด่อะไร แต่ว่าที่พูดเพราะหนูพยายามมากที่จะให้บ้านมีเงินเหลือ เพราะทุกวันนี้ติดลบทุกเดือน เป็นหนี้เขาอีกไม่รู้เท่าไหร่ บอกไว้ก่อนเลยว่า พ่อไม่ชอบให้หนูถามเรื่องเงินค่ะ เพราะเหมือนว่าไปดูถูกเขาว่าเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ หนูทำกับข้าวไปกินโรงเรียนทุกวัน(ทำเองนะคะ) ใช้เงินแค่วันละ 50 บาท คือซื้อของสดมาทำกับข้าวนั่นแหละค่ะ ตอนนอนก็เปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมนอน แต่พ่อกับพี่นี่จะเปิดแอร์นอนกัน หนูไม่ได้เปิดมาสามปีแล้วค่ะ คือหนูประหยัดจนเพื่อนๆหนูทักค่ะ ประหยัดอะไรขนาดนั้น แล้วก็มีรับจ๊อบทำงานให้เพื่อนๆบ้าง ชีวิตเป็นอย่างนั้นผ่านไปหนึ่งปี เคยมีประมาณว่าพ่อให้เงินหนูกับพี่ไปโรงเรียนจนพ่อไม่มีเงินไปทำงานอ่ะค่ะ บางอาทิตย์ก็กินแต่มาม่า ปลากระป๋อง ไข่ดาว หนูก็ไม่ได้อะไรนะคะ หนูกินได้ หนูอยู่ง่าย กินง่ายอยู่แล้ว จนมาเมื่อวานซืน คือวันพฤหัส หนูก็กำลังเตรียมของไว้ทำกับข้าวพรุ่งนี้ตามปกติ พ่อก็กลับมาค่ะ และเริ่มเปิด (ขอบอกเป็นบทสนทนานะคะ)
พ่อ : ป๋าจะให้พี่ชายไปอยู่หอแล้วนะ
(พี่ชายอยู่มหาลัยที่ใกล้บ้านมากค่ะ คือนั่งรถไปไม่ถึง 15 นาที)
หนู : อ่าว ทำไมล่ะคะ?
พ่อ : บ้านช่องไม่ยอมกลับเมื่อคืนก็กลับบ้านตีหนึ่งตีสอง
(พี่ชายไปเฟรชชี่ไนท์ของมหาลัยค่ะ เค้าบอกให้หนูโทรบอกพ่อด้วยว่าจะกลับดึก แต่หนูโทรศัพท์ตังค์หมดเลยไม่ได้โทร คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะพี่ชายก็เคยอยู่ทำงานที่มหาลัยจนกลับบ้านดึกกว่านั้นมาแล้ว พ่อก็รู้เรื่อง ปัจจุบันพี่ชายก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยค่ะ หนูก็เพิ่งไปสมัครงานเซเว่นเหมือนกันค่ะ รอเรียกอยู่)
หนู : เมื่อคืนเขาไปงานเฟรชชี่ที่มหาลัย หนูจะโทรบอกป๋าแล้วค่ะ แต่โทรศัพท์ตังค์หมด
พ่อ : ก็ไม่ต้องแล้ว ไปอยู่หอซะ ! (เริ่มใส่อารมณ์ค่ะ)
หนูก็ตำน้ำพริกต่อไปเงียบๆ พ่อก็เริ่มอีก
พ่อ : หนูจะไปอยู่หอใช่มั้ยถ้าเข้ามหาลัย?
หนู : คงต้องเป็นอย่างนั้นค่ะ เพราะหนูอยากเข้าลาดกระบัง มันไกล
พ่อ : (เสียงแข็ง) งั้นป๋าจะขายบ้านนี้แล้วป๋าจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว! ป๋าเบื่อ!
หนู : (เงียบค่ะ กำลังใจหายอยู่).......ทำไมต้องขายล่ะคะ?
พ่อ: รู้บ้างมั้ยล่ะว่ามันส่งเดือนละเท่าไหร่! ป๋าส่งไม่ไหวแล้ว!
(หนูเคยคุยกับพี่ในหมู่บ้านว่า มีลูกบ้านเคยขายบ้านคืนให้ธนาคาร ประมาณว่า เขาจะตีราคาบ้านให้ใหม่แล้วเราก็จะได้เงินที่ผ่อนเขาไปคืนมาบ้าง หนูก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าเป็นยังไง ทำยังไง เคยลองบอกพ่อไปหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่จบด้วยการโมโหและทะเลาะกันของพ่อทุกที)
หนู : ก็ขายตอนนี้เลยก็ได้นี่คะ (คิดอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ได้จะประชด)
พ่อ : (โมโหหนัก) คิดว่าขายได้มั้ยล่ะ!! บ้างตรงข้ามน่ะ กี่ปีแล้วล่ะ ไม่มีคนซื้อซักคน!!
หนู : (เงียบอีกค่ะเพราะเค้าลางไม่ดีบอกหนูว่าหนูควรเงียบฟังเขาดีกว่า)
พ่อ : แล้วผ้าบนโต๊ะน่ะ รกอีกแล้ว! ป๋าบอกกี่รอบแล้วว่าอย่าให้รก หนูขี้เกียจเหรอน้อง(ชื่อหนู)....ถึงไม่ทำ!
หนู : เปล่าค่ะ ราวที่แขวนมันหัก มันเป็นผ้ารีด หนูไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหน (หลายคนคงคิด ก็เอาไปเก็บข้างบนสิ! ทำไม่ได้หรอกค่ะ ทุกคนล๊อกห้องหมด ไม่มีใครเข้าห้องใครได้ แล้วบนโต๊ะนั่นมันก็มีแต่เสื้อหนาวพ่อ เสื้อทำงานพ่อ ที่ยังไม่ได้รีด)
พ่อ : นี่จะบอกว่าให้ป๋าซื้อราวใหม่ใช่มั้ย! (โมโหหนักกว่าเดิม เพราะมีเรื่องเงิน)
หนู : (เงียบค่ะ ไม่รู้จะไปต่อยังไง)
พ่อ : อวดดีทั้งคู่! เถียงป๋าแว้ดๆ (แล้วก็ปึงปังๆเดินขึ้นห้องไป)
แรกๆหนูนี่หดหู่ค่ะ ตำน้ำพริกอยู่คงไม่อร่อยแล้ว พอกำลังล้างของเก็บ คำพูดพ่อก็เข้ามาในหัวตั้งแต่เรื่องคราวก่อนๆจนถึงเรื่องนี้ น้ำตาเริ่มไหลค่ะในรอบหลายปี เลยอยากจะปรึกษาค่ะว่า....
1. ขายบ้านคืนธนาคารนี่มันทำยังไงคะ ขั้นตอนอะไรบ้าง ยุ่งยากมั้ย(คิดว่ายากค่ะ ไม่งั้นเค้าคงทำกันไปหมดแล้ว)
2. ตอนนี้อยากจะขายบ้านมาก แต่ยังเหลืออีกตั้ง 10 ปี พ่อก็ 51 แล้ว ไม่กี่ปีก็เกษียณ มีวิธีไหนแนะนำมั้ยคะ คือพ่อส่งไม่ไหวแล้ว ถ้าจะให้ส่งต่อไปเดือนละสองหมื่นๆกว่า ถ้าพ่อเกษียณออกมาแล้วแล้วหนูจะเอาเงินที่ไหนส่ง เพราะหนี้เยอะมากค่ะ บ้านคงถูกยึดแน่ค่ะ
ปล.ขอบคุณที่อ่านมาตั้งยาวนะคะ
ปัญหาชีวิตที่ตอนนี้ไม่รู้จะแก้ยังไงแล้วค่ะ!!!!!
ตอนนี้หนูอยู่กับพ่อและพี่ชายรวมทั้งหมด 3 คน แม่เสียไป 5 ปีแล้วค่ะ ตอนเด็กๆครอบครัวหนูอยู่ที่อยุธยา พอประมาณปี 46 ก็ย้ายมาอยู่ที่ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี คลอง 7 อยู่ในหมู่บ้านหนึ่ง ข้างๆมีโลตัส ฝั่งตรงข้ามมีตลาด บ้านที่พ่อกับแม่ซื้อ เป็นบ้านที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับหนู มีสามห้องนอน สองห้องน้ำ ซึ่งห้องหนูได้สิทธิพิเศษมากกว่าใครคือ มีห้องน้ำในตัวและมีระเบียงและเป็นห้องที่ใหญ่พอสมควร ราคาถ้าหนูจำไม่ผิดคือ 4,500,000 ไม่รวมค่าตกแต่งต่างๆ ซึ่งเคยถามพ่อแล้วประมาณ 1,000,000 กว่าๆ แน่นอนว่าหนูรักบ้านหลังนี้มากๆ มันร่มรื่น สงบ ไม่วุ่นวาย แรกๆ เห็นแม่บอกว่า ต้องผ่อนเดือนละ 16,000 หนูกับพี่ยังเด็กเลยไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ปล่อยให้พ่อกับแม่จัดการ สภาพการเงินที่บ้านก็พอใช้และมีเงินเหลือ พ่อเป็นวิศวกร ทำงานสมัยนั้นได้เดือนละ 40,000 บาท ครอบครัวเราไม่เคยเงินขาด มีเงินไปทานข้าวข้างนอกทุกอาทิตย์ มีเงินไปเที่ยวตามประสาครอบครัวบ้าง ชีวิตตอนนั้นจำได้ว่าเหมือนฝัน ครอบครัวพร้อมหน้า พอประมาณปี 50 พ่อหนูเข้าโรงพยาบาล เพราะตรวจเจอว่าเป็นโรคหัวใจ สาเหตุมาจากสูบบุหรี่จัดมาก ต้องทำบอลลูน ซึ่งจำได้ว่าเข้าไปโรงพยาบาลเอกชนที่หรูมากๆ น่าจะใช้เงินไปไม่น้อยทีเดียว แต่หนูไม่รู้ว่าเท่าไหร่ ไม่มีใครบอก หลังจากทำบอลลูนแล้ว พ่อก็หักดิบเลิกบุหรี่ค่ะ ตรงนี้หนูดีใจมาก เพราะหนูอยากให้พ่อเลิกบุหรี่มาตั้งแต่เด็กๆ (เคยเอาบุหรี่พ่อมานั่งตัดๆๆทิ้งลงถังขยะต่อหน้าพ่อแม่แล้วก็พี่ชาย ตอนตัดนั่งร้องไห้ไปด้วยค่ะ จำได้ว่าวันนั้นวันงดสูบบุหรี่โลก) หลังจากพ่อออกจากโรงพยาบาลมาก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ มีไปรับยาที่โรงพยาบาลทุกเดือน แต่จุดเปลี่ยนมันอยู่ที่ตรงนี้ค่ะ เป็นจุดที่ชีวิตหนูเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ปี 52 เดือนพฤษจิกายน ตอนนั้นหนูอยู่ ป. 6 ซึ่งวันนั้นหนูกับพี่ชายไปโรงเรียน พ่อไปทำงานที่ขอนแก่นค่ะ ตอนเช้าก็ยังกินข้าวที่แม่ทำให้ปกติ ไหว้แม่ปกติ หอมแม่ก่อนไปโรงเรียนตามปกติ ตกเย็นกำลังเรียนคาบสุดท้าย ครูก็ประกาศเรียกชื่อหนูว่ามีผู้ปกครองมารับ หนูก็เอ๊ะ...แม่มารับไปงานศพทวดแน่เลย เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงจัดงานศพทวดอยู่ หนูก็รีบลงไปข้างล่าง เห็นแค่พี่ชายนั่งอยู่กับน้าชายที่ยืนคุยกับครูอยู่ ทุกคนน่าเครียดหนูก็เอ๊ะ มีอะไรกัน? พอลาครูเสร็จ กำลังเดินกลับไปที่รถ น้าบอกว่า แม่หนูเข้าโรงพยาบาลนะ อยู่ห้อง ICU ตอนนี้กำลัง 'รอ' หนูอยู่คนเดียว หนูก็เริ่มใจไม่ดีละ คิดมากไปหมดว่าแม่เป็นอะไร เมื่อเช้าก็ยังปกติดีนี่ พอไปถึงโรงพยาบาล น้าก็ส่งหนูกับพี่ลงข้างหน้าทางเข้าแล้วพี่ชายก็เริ่มร้องไห้แล้วบอกว่า แม่เสียแล้วนะ...ตอนนั้นอึ้งค่ะ คิดว่าพี่ชายพูดเล่น เพราะเมื่อตอนอยู่ รร. น้าบอกว่าอยู่ ICU แต่พอเห็นหน้าพี่ชายก็รู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เหมือนโลกทล่ม นั่งทรุดร้องไห้อยู่หน้าทางเข้านั่นแหละ แล้วพี่ชายก็พาหนูเดินเข้าไปข้างใน ป้า น้า ญาติๆ นั่งร้องไห้กันระงม ทีนี้น้ำตาแตกยิ่งกว่าเดิมค่ะ หมอบอกว่า แม่เสียเพราะว่ากล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน น้าเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นแม่ทำกับข้าวอยู่ เตรียมไปงานศพทวด กลัวหนูกับพี่กลับมาไม่มีอะไรกินเลยทำต้มซุปน่องไก่ไว้ให้ แล้วแม่ก็เริ่มเจ็บหน้าอก แต่ไม่ได้คิดอะไร เพราะสองสามวันที่แล้วไปช่วยญาติๆตำพริกแกงที่บ้าน คิดว่าคงปวดกล้ามเนื้อธรรมดา แต่พอเริ่มหายใจไม่ออก แม่ก็โทรหาพ่อที่ขอนแก่น พ่อก็บอกว่าให้แม่ไอแรงๆคิดว่าลิ่มเลือดไปอุดตรงไหนสักที่ แต่แม่บอกว่าไม่ไหวแล้ว ไม่มีแรงจะพูด พ่อเลยโทรบอกน้าที่บ้านอยู่ใกล้ๆกันมารับไปโรงพยาบาล พอแม่กำลังเดินไปที่ประตู น้าก็บอกว่า แม่ล้มลงไปเลยค่ะ น้าเลยพาแม่ขึ้นรถจะไปโรงพยาบาล แต่ไม่ทันค่ะ แม่เสียตั้งแต่อยู่บนรถแล้ว ไปถึงโรงพยาบาล หมอปั๊มหัวใจยื้อไว้นานประมาณ 50 นาที แต่ยื้อไม่ไหวค่ะ แม่ไปแล้ว เล่ามานาน ปัญหามันอยู่ตรงที่จะเล่าต่อไปนี้ค่ะ
หลังจากแม่เสีย พ่อก็กลับมาทำงานที่กรุงเทพ เท่าที่รู้คือ เงินเดือนอัพขึ้นมาเป็น 60,000 เกือบๆ 70,000 ค่าบ้านก็อัพขึ้นตามเงินเดือนค่ะ เป็นเดือนละ 20,000 กว่าๆ ปีแรกๆ เริ่มเงินไม่พอหมุนบ้าง แต่ยังพออยู่ได้ แรกๆหนูค่อนข้างเซนต์ซิทีฟค่ะ ร้องไห้บ่อย อ่อนไหวง่าย พ่อว่านิดหน่อยก็ร้องไห้ หลังๆมานี่คนละคน เข้มแข็งมาก ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แต่ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนเย็นชาหรือว่าอะไรนะคะ ยังยิ้มยังหัวเราะได้ตามปกติ แต่ไม่เคยร้องไห้ง่ายๆอีกเลย พอประมาณ ม.3 หนูก็หางานทำค่ะ เป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารญี่ปุ่นที่ห้างข้างๆบ้าน ได้เดือนละ 6,000-8,000 บาท เงินก็เอาไปหมุนกับที่บ้านหมดเลย ไม่มีเงินเก็บเลย บอกก่อนนะคะว่าหนูไม่ใช่พวกบ้าวัตถุนิยม ไม่แต่งตัว ไม่เที่ยว วันๆนึงเรียนเสร็จถ้าไม่ทำงานก็กลับบ้าน เงินที่ได้มาจึงเอาไปช่วยพ่อบ้าง เอาไปซื้อหนังสือเรียนบ้าง ซื้อของใช้ ซื้อกับข้าวบ้างช่วยๆกันไป เป็นงานที่เหนื่อยมาก แต่สนุกดีค่ะ พอขึ้น ม.4 ก็ออกมา เพราะต้องปรับตัวกับการขึ้น ม.ปลาย ซึ่งจะเรียนหนักขึ้น ม.4 นี่แหละค่ะ เริ่มมาถึงปัญหา คือ เงินขาด บ้านขาดส่ง ของใช้ไม่เคยได้ซื้อ ต้องเก็บเอาจากเงินที่พ่อให้ไปซื้อเอาเล็กๆน้อยๆ ค่าเทอมยังไม่ได้จ่ายตอนนี้ค้างไว้สี่เทอมแล้วค่ะ เพราะต้องเอาไปจ่ายของพี่ชายก่อน เพราะพี่ชายขึ้นมหาลัยไม่งั้นจะโดนไทร์ ที่บ้านเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น หมายถึงพ่อกับพี่ชายนะคะ หนูนี่อยู่ตรงกลางเงียบ ทะเลาะกันแรงมาก เพราะแรงด้วยกันทั้งคู่ มีอยู่ครั้งหนึ่งหนูเคยทะเลาะกับพ่อครั้งแรกในชีวิต ก็ไม่เชิงทะเลาะหรอกค่ะ หนูนั่งฟังเขาว่าเงียบๆมากกว่า จนพ่อบอกว่า ต่างคนต่างอยู่กันไปเลย พ่อไม่คุยกับหนูและพี่ชายเลย หลายเดือนมาก สีห้าเดือนได้ คือให้เงินไว้อย่างเดียว ถ้าหนูอยู่ข้างล่าง พ่อก็จะขึ้นไปข้างบน แต่ถ้าพ่ออยู่ข้างล่าง หนูก็จะไม่กล้าลงไป เพราะพ่อเมินหนูมาก เหมือนไม่มีหนูอยู่ในบ้านนี้ จนไปทำบุญครบรอบแม่ ญาติๆรวมตัวกัน พูดกับพ่อให้ หนูคิดว่าจะดี แต่ทุกคนกลับมารุมต่อว่าหนูกับพี่ชาย จากนั้นเราก็กลับมาคุยกันอีก พ่อกับพี่ชายก็ทะเลาะกันหนักขึ้น แรงขึ้น ส่วนมากที่ทะเลาะกันในบ้าน ก็คือเรื่องเงิน บ้านไม่สะอาด แค่สองเรื่องนี้ค่ะ หนูก็ได้แต่นั่งเงียบๆค่ะ เพราะหนูไม่ใช่คนเถียง แต่พี่ชายจะเถียง หนูก็ประคับประคองความเป็นบ้านมาจนถึงทุกวันนี้ คือ พยายามทำบ้านให้สะอาด และประหยัดเงินมากๆ ย้ำว่ามากๆค่ะ หนูไม่ได้บอกว่าหนูดีเด่อะไร แต่ว่าที่พูดเพราะหนูพยายามมากที่จะให้บ้านมีเงินเหลือ เพราะทุกวันนี้ติดลบทุกเดือน เป็นหนี้เขาอีกไม่รู้เท่าไหร่ บอกไว้ก่อนเลยว่า พ่อไม่ชอบให้หนูถามเรื่องเงินค่ะ เพราะเหมือนว่าไปดูถูกเขาว่าเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอ หนูทำกับข้าวไปกินโรงเรียนทุกวัน(ทำเองนะคะ) ใช้เงินแค่วันละ 50 บาท คือซื้อของสดมาทำกับข้าวนั่นแหละค่ะ ตอนนอนก็เปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมนอน แต่พ่อกับพี่นี่จะเปิดแอร์นอนกัน หนูไม่ได้เปิดมาสามปีแล้วค่ะ คือหนูประหยัดจนเพื่อนๆหนูทักค่ะ ประหยัดอะไรขนาดนั้น แล้วก็มีรับจ๊อบทำงานให้เพื่อนๆบ้าง ชีวิตเป็นอย่างนั้นผ่านไปหนึ่งปี เคยมีประมาณว่าพ่อให้เงินหนูกับพี่ไปโรงเรียนจนพ่อไม่มีเงินไปทำงานอ่ะค่ะ บางอาทิตย์ก็กินแต่มาม่า ปลากระป๋อง ไข่ดาว หนูก็ไม่ได้อะไรนะคะ หนูกินได้ หนูอยู่ง่าย กินง่ายอยู่แล้ว จนมาเมื่อวานซืน คือวันพฤหัส หนูก็กำลังเตรียมของไว้ทำกับข้าวพรุ่งนี้ตามปกติ พ่อก็กลับมาค่ะ และเริ่มเปิด (ขอบอกเป็นบทสนทนานะคะ)
พ่อ : ป๋าจะให้พี่ชายไปอยู่หอแล้วนะ
(พี่ชายอยู่มหาลัยที่ใกล้บ้านมากค่ะ คือนั่งรถไปไม่ถึง 15 นาที)
หนู : อ่าว ทำไมล่ะคะ?
พ่อ : บ้านช่องไม่ยอมกลับเมื่อคืนก็กลับบ้านตีหนึ่งตีสอง
(พี่ชายไปเฟรชชี่ไนท์ของมหาลัยค่ะ เค้าบอกให้หนูโทรบอกพ่อด้วยว่าจะกลับดึก แต่หนูโทรศัพท์ตังค์หมดเลยไม่ได้โทร คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะพี่ชายก็เคยอยู่ทำงานที่มหาลัยจนกลับบ้านดึกกว่านั้นมาแล้ว พ่อก็รู้เรื่อง ปัจจุบันพี่ชายก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยค่ะ หนูก็เพิ่งไปสมัครงานเซเว่นเหมือนกันค่ะ รอเรียกอยู่)
หนู : เมื่อคืนเขาไปงานเฟรชชี่ที่มหาลัย หนูจะโทรบอกป๋าแล้วค่ะ แต่โทรศัพท์ตังค์หมด
พ่อ : ก็ไม่ต้องแล้ว ไปอยู่หอซะ ! (เริ่มใส่อารมณ์ค่ะ)
หนูก็ตำน้ำพริกต่อไปเงียบๆ พ่อก็เริ่มอีก
พ่อ : หนูจะไปอยู่หอใช่มั้ยถ้าเข้ามหาลัย?
หนู : คงต้องเป็นอย่างนั้นค่ะ เพราะหนูอยากเข้าลาดกระบัง มันไกล
พ่อ : (เสียงแข็ง) งั้นป๋าจะขายบ้านนี้แล้วป๋าจะไปอยู่ที่อื่นแล้ว! ป๋าเบื่อ!
หนู : (เงียบค่ะ กำลังใจหายอยู่).......ทำไมต้องขายล่ะคะ?
พ่อ: รู้บ้างมั้ยล่ะว่ามันส่งเดือนละเท่าไหร่! ป๋าส่งไม่ไหวแล้ว!
(หนูเคยคุยกับพี่ในหมู่บ้านว่า มีลูกบ้านเคยขายบ้านคืนให้ธนาคาร ประมาณว่า เขาจะตีราคาบ้านให้ใหม่แล้วเราก็จะได้เงินที่ผ่อนเขาไปคืนมาบ้าง หนูก็ไม่รู้หรอกค่ะว่าเป็นยังไง ทำยังไง เคยลองบอกพ่อไปหลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่จบด้วยการโมโหและทะเลาะกันของพ่อทุกที)
หนู : ก็ขายตอนนี้เลยก็ได้นี่คะ (คิดอย่างที่พูดจริงๆ ไม่ได้จะประชด)
พ่อ : (โมโหหนัก) คิดว่าขายได้มั้ยล่ะ!! บ้างตรงข้ามน่ะ กี่ปีแล้วล่ะ ไม่มีคนซื้อซักคน!!
หนู : (เงียบอีกค่ะเพราะเค้าลางไม่ดีบอกหนูว่าหนูควรเงียบฟังเขาดีกว่า)
พ่อ : แล้วผ้าบนโต๊ะน่ะ รกอีกแล้ว! ป๋าบอกกี่รอบแล้วว่าอย่าให้รก หนูขี้เกียจเหรอน้อง(ชื่อหนู)....ถึงไม่ทำ!
หนู : เปล่าค่ะ ราวที่แขวนมันหัก มันเป็นผ้ารีด หนูไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหน (หลายคนคงคิด ก็เอาไปเก็บข้างบนสิ! ทำไม่ได้หรอกค่ะ ทุกคนล๊อกห้องหมด ไม่มีใครเข้าห้องใครได้ แล้วบนโต๊ะนั่นมันก็มีแต่เสื้อหนาวพ่อ เสื้อทำงานพ่อ ที่ยังไม่ได้รีด)
พ่อ : นี่จะบอกว่าให้ป๋าซื้อราวใหม่ใช่มั้ย! (โมโหหนักกว่าเดิม เพราะมีเรื่องเงิน)
หนู : (เงียบค่ะ ไม่รู้จะไปต่อยังไง)
พ่อ : อวดดีทั้งคู่! เถียงป๋าแว้ดๆ (แล้วก็ปึงปังๆเดินขึ้นห้องไป)
แรกๆหนูนี่หดหู่ค่ะ ตำน้ำพริกอยู่คงไม่อร่อยแล้ว พอกำลังล้างของเก็บ คำพูดพ่อก็เข้ามาในหัวตั้งแต่เรื่องคราวก่อนๆจนถึงเรื่องนี้ น้ำตาเริ่มไหลค่ะในรอบหลายปี เลยอยากจะปรึกษาค่ะว่า....
1. ขายบ้านคืนธนาคารนี่มันทำยังไงคะ ขั้นตอนอะไรบ้าง ยุ่งยากมั้ย(คิดว่ายากค่ะ ไม่งั้นเค้าคงทำกันไปหมดแล้ว)
2. ตอนนี้อยากจะขายบ้านมาก แต่ยังเหลืออีกตั้ง 10 ปี พ่อก็ 51 แล้ว ไม่กี่ปีก็เกษียณ มีวิธีไหนแนะนำมั้ยคะ คือพ่อส่งไม่ไหวแล้ว ถ้าจะให้ส่งต่อไปเดือนละสองหมื่นๆกว่า ถ้าพ่อเกษียณออกมาแล้วแล้วหนูจะเอาเงินที่ไหนส่ง เพราะหนี้เยอะมากค่ะ บ้านคงถูกยึดแน่ค่ะ
ปล.ขอบคุณที่อ่านมาตั้งยาวนะคะ