ศาลปกครองสูงสุดตัดสินยกฟ้อง คดีแผนบริหารจัดการน้ำ เพียงเป็นแผนเท่านั้น จึงไม่เข้าข่ายกระทบต่อภาคประชาชน
ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดี ระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 45 คน (ผู้ฟ้องคดี) กับ นายกรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติใช้อำนาจทางปกครองในการออกแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยนำไปสู่การจัดทำหรือดำเนินโครงการก่อสร้างเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญฯกำหนด เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญฯได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษากลับ ยกฟ้องคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นแล้วว่าโดครงการดังกล่าวไม่กระทบต่อประขาชน เป็นเพียงแผนแม่บทเท่านั้น และแผนไม่กระทบต่อผังเมือง ไม่กระทบต่อภาคประชาชน ไม่มีการเวนคืนที่ดิน
ส่วนกรณีที่ผู้ว่าจ้างที่เป็นบริษัทเอกชน เป็นผู้จัดทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งรัฐเป็นผู้ควบคุมกำกับดูแล รัฐมีอำนาจที่จะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก็ได้
ขณะที่มีประเด็นที่มีการร้องขอให้ดำเนินการลงโทษเอาผิดต่อผู้ถูกฟ้องเห็นว่าเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งศาลปกครองไม่อาจรับไว้พิจารณาได้ เช่นเดียวกับกรณีการเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า หลังจากนี้ภาคประชาชนต้องทำงานหนักมากขึ้น และแม้ว่าคดีดังกล่าวจะถูกยกฟ้องไปแล้ว แต่จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ ให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการทั้งหมดของรัฐได้
อย่างไรก็ดีสมาคมจะเดินหน้าจับตาและตรวจสอบโครงการของรัฐอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะยุครัฐบาลไหน แม้ว่าจะเป็นยุค คสช.ก็จะเดินหน้าตรวจสอบ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการท้วงติงแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลชุดนี้ไปบ้างแล้ว โดยเสนอว่าทุกโครงการควรจะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและตกผลึกความคิดของประชาชนและผู้ได้รับผลกระทบในวงกว้าง
http://www.voicetv.co.th/news-update/127445.html
ศาลปค.สูงสุดยกฟ้อง 'ยิ่งลักษณ์' คดีโครงการน้ำ 3.5 แสนล้าน
ศาลปกครองกลางได้อ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดี ระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 45 คน (ผู้ฟ้องคดี) กับ นายกรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน (ผู้ถูกฟ้องคดี) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติใช้อำนาจทางปกครองในการออกแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำโดยนำไปสู่การจัดทำหรือดำเนินโครงการก่อสร้างเพื่อออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืนและระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม เนื่องจากมิได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่รัฐธรรมนูญฯกำหนด เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นองค์กรเอกชนสาธารณประโยชน์ตามรัฐธรรมนูญฯได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้พิพากษากลับ ยกฟ้องคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นแล้วว่าโดครงการดังกล่าวไม่กระทบต่อประขาชน เป็นเพียงแผนแม่บทเท่านั้น และแผนไม่กระทบต่อผังเมือง ไม่กระทบต่อภาคประชาชน ไม่มีการเวนคืนที่ดิน
ส่วนกรณีที่ผู้ว่าจ้างที่เป็นบริษัทเอกชน เป็นผู้จัดทำประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ซึ่งรัฐเป็นผู้ควบคุมกำกับดูแล รัฐมีอำนาจที่จะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบก็ได้
ขณะที่มีประเด็นที่มีการร้องขอให้ดำเนินการลงโทษเอาผิดต่อผู้ถูกฟ้องเห็นว่าเป็นอำนาจของศาลยุติธรรม ซึ่งศาลปกครองไม่อาจรับไว้พิจารณาได้ เช่นเดียวกับกรณีการเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต เห็นว่าเป็นอำนาจของ ป.ป.ช.
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า หลังจากนี้ภาคประชาชนต้องทำงานหนักมากขึ้น และแม้ว่าคดีดังกล่าวจะถูกยกฟ้องไปแล้ว แต่จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ ให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการทั้งหมดของรัฐได้
อย่างไรก็ดีสมาคมจะเดินหน้าจับตาและตรวจสอบโครงการของรัฐอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะยุครัฐบาลไหน แม้ว่าจะเป็นยุค คสช.ก็จะเดินหน้าตรวจสอบ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการท้วงติงแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลชุดนี้ไปบ้างแล้ว โดยเสนอว่าทุกโครงการควรจะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นและตกผลึกความคิดของประชาชนและผู้ได้รับผลกระทบในวงกว้าง
http://www.voicetv.co.th/news-update/127445.html