28 ตุลาคม พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลัง
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แสดงความเป็นห่วงเรื่องภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในปี 2558 ที่เศรษฐกิจโลกยังคงไม่ฟื้นตัว
โดยในวันที่ 29 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการระดับ
ปลัดกระทรวง หรือเทียบเท่าที่ทำเนียบรัฐบาล
เพื่อชี้แจงและติดตามนโยบายที่มอบหมายไปก่อนหน้านี้ว่าคืบหน้าไปอย่างไร
หลังการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์ว่า ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบจริงจัง ไม่ตำน้ำพริก
ละลายแม่น้ำ ไม่อยู่ในกรอบทฤษฎีประชานิยม เพราะรัฐบาลนี้ไม่ต้องการคะแนนเสียง เป็นการ
กระตุ้นเศรษฐกิจแบบ high-powered money เพื่อทำให้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวมานานฟื้นตัวขึ้น
มาได้
ประกอบด้วย 6 มาตรการ วงเงินที่อนุมัติทั้งสิ้น 793,672 ล้านบาท
ก่อนจะปาฐกถาพิเศษ New Growth Enginer : New Thailand ในงานสัมมนายุทธศาสตร์
ประเทศไทย บนฐานเศรษฐกิจใหม่ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ว่า รัฐบาลเตรียมออกมาตรการ
ประมาณ 15-16 มาตรการ เพื่อทำให้เกิดการลงทุนใหม่มากขึ้น
หลังจากได้ข้อสรุปชัดเจนว่าจะดำเนินการมาตรการใด จะขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ภายใน 3 สัปดาห์ข้างหน้า
สำหรับนโยบายสำคัญต่างๆ อาทิ การยกร่างกฎหมายเพื่อสนับสนุนดิจิตอลอีโคโนมี
หรือการส่งเสริมให้มีการใช้ระบบไอทีเพื่อสนับสนุนธุรกิจและการค้า การศึกษา และงานด้านอื่นๆ
และใช้เวลาอีก 12 เดือนในการวางรากฐานพัฒนาดิจิตอลอีโคโนมี เพื่อให้รัฐบาลใหม่มาสานงานต่อ
เป็นภาพอันสดสวยงดงามยิ่ง
แต่อีกด้านหนึ่ง นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมว่า ขณะนี้รัฐบาล
กำลังรอผลลัพธ์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจว่าจะเกิดผลในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไร หากยัง
ชัดเจนก็ต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในระยะต่อไป
ขณะนี้มีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น เช่นการจัดเก็บรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต)
ดีขึ้นมาก แม้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะฝืดเคืองจากข้อจำกัดในบางเรื่องโดยเฉพาะการส่งออก
"ครม.ห่วงภาวะเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ในการประชุมหลายเวทีทั้งของธนาคารโลก
และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียก็ยืนยันตรงกันว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี
"ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยได้"
ไม่แต่การส่งออกเท่านั้นดอกที่เป็นปัญหา
27 ตุลาคม รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก วิพากษ์การไม่ยกเลิกกฎอัยการศึกของรัฐบาลว่าจะสร้างปัญหามาก
ขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้า เพราะแรงกดดันจากภาคธุรกิจเอกชน และประชาคมนานาชาติ
ที่รัฐบาลอ้างการข่าวว่ายังมีคลื่นใต้น้ำนั้นก็คงเป็นความจริง แต่ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เทียบ
กับช่วงเดียวกันของปีก่อน นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปราว 2 ล้านคน ส่วนใหญ่คือ ญี่ปุ่น เกาหลี
และชาติอาเซียน แม้แต่จีนซึ่งรัฐบาลพยายามรณรงค์ให้มาก็หายไปราว 7 แสนคน
ยอดจองโรงแรมช่วง "ไฮซีซั่น" ก็กระเตื้องขึ้นไม่มาก
"คุณจะยกเลิกกฎอัยการศึกเฉพาะเขตท่องเที่ยวภาคใต้ (หาดใหญ่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี เกาะต่างๆ)
ได้อย่างไร?
"แล้วพื้นที่เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน หนองคาย อุบลราชธานี ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา
รวมทั้งกรุงเทพ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ จะอ้างยังไงว่า ยกเลิกกฎอัยการศึกไม่ได้?
"เพราะเป็นพื้นที่ที่มีเสื้อแดงหรือเพราะอะไร?"
ไม่มี "เงินใหม่" จากการส่งออก จากการท่องเที่ยว มาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจหมุนเวียน
ขณะที่เงินอัดฉีดจากรัฐบาลชุดแรก ไม่ว่าการช่วยชาวนา ชาวสวนยาง หรือการคืนภาษี
เศรษฐกิจไทยก็ยังอยู่ในอาการงัวเงีย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1414640529
เงินใหม่ ไม่มี เงินเก่า เอาอยู่? งานหนัก(ใจ)รัฐบาล วิเคราะห์ มติชนออนไลน์ sao..เหลือ..noi
การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
แสดงความเป็นห่วงเรื่องภาวะเศรษฐกิจโดยเฉพาะในปี 2558 ที่เศรษฐกิจโลกยังคงไม่ฟื้นตัว
โดยในวันที่ 29 ตุลาคม นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมกับหัวหน้าส่วนราชการระดับ
ปลัดกระทรวง หรือเทียบเท่าที่ทำเนียบรัฐบาล
เพื่อชี้แจงและติดตามนโยบายที่มอบหมายไปก่อนหน้านี้ว่าคืบหน้าไปอย่างไร
หลังการประชุม ครม. เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี
ฝ่ายเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์ว่า ครม.อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบจริงจัง ไม่ตำน้ำพริก
ละลายแม่น้ำ ไม่อยู่ในกรอบทฤษฎีประชานิยม เพราะรัฐบาลนี้ไม่ต้องการคะแนนเสียง เป็นการ
กระตุ้นเศรษฐกิจแบบ high-powered money เพื่อทำให้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวมานานฟื้นตัวขึ้น
มาได้
ประกอบด้วย 6 มาตรการ วงเงินที่อนุมัติทั้งสิ้น 793,672 ล้านบาท
ก่อนจะปาฐกถาพิเศษ New Growth Enginer : New Thailand ในงานสัมมนายุทธศาสตร์
ประเทศไทย บนฐานเศรษฐกิจใหม่ เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ว่า รัฐบาลเตรียมออกมาตรการ
ประมาณ 15-16 มาตรการ เพื่อทำให้เกิดการลงทุนใหม่มากขึ้น
หลังจากได้ข้อสรุปชัดเจนว่าจะดำเนินการมาตรการใด จะขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ภายใน 3 สัปดาห์ข้างหน้า
สำหรับนโยบายสำคัญต่างๆ อาทิ การยกร่างกฎหมายเพื่อสนับสนุนดิจิตอลอีโคโนมี
หรือการส่งเสริมให้มีการใช้ระบบไอทีเพื่อสนับสนุนธุรกิจและการค้า การศึกษา และงานด้านอื่นๆ
และใช้เวลาอีก 12 เดือนในการวางรากฐานพัฒนาดิจิตอลอีโคโนมี เพื่อให้รัฐบาลใหม่มาสานงานต่อ
เป็นภาพอันสดสวยงดงามยิ่ง
แต่อีกด้านหนึ่ง นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 28 ตุลาคมว่า ขณะนี้รัฐบาล
กำลังรอผลลัพธ์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจว่าจะเกิดผลในช่วงไตรมาสที่ 4 อย่างไร หากยัง
ชัดเจนก็ต้องมีมาตรการเพิ่มเติมในระยะต่อไป
ขณะนี้มีสัญญาณหลายอย่างที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจดีขึ้น เช่นการจัดเก็บรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต)
ดีขึ้นมาก แม้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะฝืดเคืองจากข้อจำกัดในบางเรื่องโดยเฉพาะการส่งออก
"ครม.ห่วงภาวะเศรษฐกิจโลกปีหน้าที่ไม่ค่อยดีนัก ในการประชุมหลายเวทีทั้งของธนาคารโลก
และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียก็ยืนยันตรงกันว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดี
"ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกสินค้าของไทยได้"
ไม่แต่การส่งออกเท่านั้นดอกที่เป็นปัญหา
27 ตุลาคม รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก วิพากษ์การไม่ยกเลิกกฎอัยการศึกของรัฐบาลว่าจะสร้างปัญหามาก
ขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้า เพราะแรงกดดันจากภาคธุรกิจเอกชน และประชาคมนานาชาติ
ที่รัฐบาลอ้างการข่าวว่ายังมีคลื่นใต้น้ำนั้นก็คงเป็นความจริง แต่ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เทียบ
กับช่วงเดียวกันของปีก่อน นักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปราว 2 ล้านคน ส่วนใหญ่คือ ญี่ปุ่น เกาหลี
และชาติอาเซียน แม้แต่จีนซึ่งรัฐบาลพยายามรณรงค์ให้มาก็หายไปราว 7 แสนคน
ยอดจองโรงแรมช่วง "ไฮซีซั่น" ก็กระเตื้องขึ้นไม่มาก
"คุณจะยกเลิกกฎอัยการศึกเฉพาะเขตท่องเที่ยวภาคใต้ (หาดใหญ่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี เกาะต่างๆ)
ได้อย่างไร?
"แล้วพื้นที่เช่น เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน หนองคาย อุบลราชธานี ขอนแก่น พระนครศรีอยุธยา
รวมทั้งกรุงเทพ ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ จะอ้างยังไงว่า ยกเลิกกฎอัยการศึกไม่ได้?
"เพราะเป็นพื้นที่ที่มีเสื้อแดงหรือเพราะอะไร?"
ไม่มี "เงินใหม่" จากการส่งออก จากการท่องเที่ยว มาเป็นตัวขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจหมุนเวียน
ขณะที่เงินอัดฉีดจากรัฐบาลชุดแรก ไม่ว่าการช่วยชาวนา ชาวสวนยาง หรือการคืนภาษี
เศรษฐกิจไทยก็ยังอยู่ในอาการงัวเงีย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1414640529