เห็นด้วยกับบทความนี้ไหม? : คนต่างชาติน่ะ..ไม่ได้อยากมาหา "ความศิวิไลซ์" ในเมืองไทยหรอก

สิ่งที่เชื่อ vs สิ่งที่จริง

By : คำ ผกา


"...มันคงถึงเวลาที่เราต้องยอมรับ ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้วสำหรับการท่องเที่ยวประเทศไทย เราขาย "ด้านมืด" และมี "ด้านมืด" เป็นสินค้าที่ดึงดูดให้คนมาเที่ยว..."

หนึ่งในกลุ่มลูกค้าที่มากินอาหารไทยที่ร้าน "ช้างน้อย" เกียวโต คือคนที่เคยมาเมืองไทย เคยอยู่เมืองไทย ชอบเมืองไทย

ไม่กี่วันก่อนหน้า มีลูกค้าคู่หนึ่ง สามีเป็นคนยุโรป ภรรยาเป็นคนญี่ปุ่น ที่มากินข้าวที่ร้านเป็นประจำ

และธรรมดาที่เวลาเห็นลูกค้าขาประจำเราก็จะชวนคุยเล็กๆน้อยๆ

ทั้งคู่บอกว่าชอบเมืองไทยมาก และในรอบสิบปีที่ผ่านมา ไปเมืองไทยมาแล้ว 33 ครั้ง!

แล้วปีนี้ก็จะไปอีก จุดหมายปลายทางก็คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ ไม่ค่อยได้ไปที่อื่นนอกเหนือจากนี้สักเท่าไหร่ เพราะรู้สึกตกหลุมรักสามเมืองนี้เสียแล้วอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

ส่วนฉันฟังแล้วก็ได้แต่ขอบคุณและจะด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบที่อยู่ๆก็นึกอายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผลมันคงเป็นวิตกจริตของตัวฉันเองที่รู้สึกว่าเราไม่มีค่าคู่ควรกับความรักและหลงใหลขนาดนั้น

เมืองที่แสนสกปรกเมืองที่ไร้ระเบียบเมืองที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบายหลอกนักท่องเที่ยวเมืองที่พื้นดินข้างล่างเต็มไปด้วยหนูแมลงสาบงูเหลือม

นี่ยังไม่นับคดีฆ่านักท่องเที่ยวที่เกาะเต่า อันตามมาด้วยเรื่องราวอีนุงตุงนังของมารยาททางการทูตในอีกหลายระดับทั้งกับประเทศเมียนมาร์และกับประเทศอังกฤษที่ทำให้เราไม่สามารถยิ้มรับคำชมได้เวลาที่มีใครมาบอกว่า "ชอบเมืองไทยจังเลย"

ตามมาด้วยคำถามของน้องคนไทยที่มาเรียนที่เกียวโตตั้งแต่มัธยมปลายตอนนี้ใกล้จบปริญญาตรีแล้วเธอถามว่า "พี่ว่าทำไมคนญี่ปุ่นชอบเมืองไทย?"

เธอถามด้วยความสนเท่ห์เหมือนฉันว่าก็เมืองไทยแสนจะเละตุ้มเป๊ะขนาดนั้นทำไมคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยถึงชอบ

ตอนนั้นฉันตอบไปแบบมักง่ายว่า "ก็มันสบาย" น้องก็รับลูกทันทีว่า "เออจริงพี่ เมืองไทยมันสบาย"

เราปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดมุ่งหมายของการท่องเที่ยวเดินทางมีหลายแบบ บ้างก็ต้องการความหรูหรา การพักผ่อนที่เต็มอิ่ม ความสุขสงบในการดื่มด่ำกับธรรมชาติ บ้างก็ต้องการช็อปปิ้ง บ้างก็ต้องการลิ้มรสอาหารแปลกๆ

มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในวัยเยาว์ที่ต้องการประสบการณ์ของการผจญภัยในดินแดนที่อลหม่านปราศจากกฎเกณฑ์ที่พวกเขาคุ้นเคย

จึงไม่น่าแปลกใจที่ประเทศโลกที่สามทั้งหลายจะกลายเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อย

ไม่ว่าจะเป็นอินเดียศรีลังกาไทยลาวเขมรพม่า และอีกหลายๆ ประเทศในแอฟริกาและละตินอเมริกา

นักท่องเที่ยวไม่ได้มาเที่ยวประเทศเหล่านี้เพราะ "ชื่นชม" อย่างที่เจ้าของประเทศเหล่านี้เข้าใจ (อย่างน้อยมีประเทศหนึ่งที่เข้าใจว่านักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศของเราเพราะเขาชื่นชมในวัฒนธรรมประเพณีและธรรมชาติของเรา - นั่นคือประเทศไทย)

แต่เขามาเพราะอยากสัมผัสความแตกต่างของวิถีชีวิต

อยากตื่นเต้นกับวิธีคิดและชีวิตประจำวันแบบโลกที่สาม

เช่น..

การทำอะไรไร้กฎเกณฑ์ การใช้รถใช้ถนนที่ต้องอาศัยเทคนิคการเอาตัวรอดส่วนบุคคลมากกว่ากฎจราจร

อาหารที่ขายข้างถนนโดยไม่คำนึงถึงความสะอาดและสุขอนามัย

สีสันของตุ๊กตุ๊ก มอเตอร์ไซค์รับจ้าง พวงมาลัย ศาลพระภูมิ ผู้คนที่นั่งยองๆถอดเสื้อคุยกันริมถนน แฟชั่นแปลกๆ หาบเร่ ไก่ย่างควันขโมงริมชายหาด

ภาพความยากจนของผู้คนที่ตัดกันฉึบฉับกับภาพความมั่งคั่งของคนกลุ่มน้อยในสังคม

เหล่านี้คือความตื่นตาตื่นใจและเป็นความบันเทิงของนักท่องเที่ยวจากประเทศโลกที่หนึ่งที่ได้มาเที่ยวประเทศโลกที่สาม


นักท่องเที่ยวเหล่านี้จะกลับไปยังบ้านเมืองของตัวเองด้วยความรู้สึกว่าตัวเองเติบโตขึ้นแล้วลุ่มลึกขึ้นแล้ว

พวกเขาจะกลับไปนั่งคุยกับเพื่อนฝูงถึงประสบการณ์แปลกใหม่ตื่นตาตื่นใจ

เพื่อนๆของพวกเขาจะนั่งฟังนิทานแห่งการผจญภัยกับมิจฉาชีพของผู้เล่าด้วยความอึ้งทึ่งเสียวลุ้น

พวกเขาจะเล่าเรื่องการถูกแท็กซี่หลอกอย่างออกรสผสมผสานกับการแสดงความโกรธแต่ท้ายที่สุดทุกอย่างจบลงด้วยดีเมื่อพวกเขาได้กลับสู่บ้านเมืองโลกที่หนึ่งอันปลอดภัยของพวกเขาอีกครั้ง

และความโกรธนั้นก็ได้ถูกแปรไปเป็นความ "เอ็นดู" แล้วจึงเหลือแต่ประสบการณ์อันน่าประทับใจ

พวกเขาจะเล่าถึงความมหัศจรรย์ของการทำอาหารข้างถนนการตั้งเตาแก๊สปิกนิกการผัดการนึ่งที่ทุกอย่างสามารถทำได้บนฟุตปาธ

พวกเขาจะเล่าถึงการกินพริกขี้หนูเม็ดแรกและภาวะน้ำหูน้ำตาไหลจากความเผ็ด

พวกเขาจะเล่าว่าเขาสามารถกินอะไรแปลกๆได้บ้าง ในสิ่งที่เพื่อนร่วมชาติร่วมสังคมของพวกเขายังไม่ได้ลิ้มลอง

นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยมองการมาท่องเที่ยวในประเทศโลกที่สามประหนึ่งการแสวงหาจิตวิญญาณ (จึงมีหนังสือและหนังชื่อEatPrayLove)

ฝรั่ง Hippie ในเชียงใหม่จำนวนมากมาเชียงใหม่เพื่อจะเข้าคอร์สวิปัสสนานั่งสมาธิ - เพราะการแสวงหาทางจิตวิญญาณมันต้องเกาะเกี่ยวไปกับความยากลำบากทางกายภาพของการใช้ชีวิตด้วย

ดังนั้นฉากทางสังคมวัฒนธรรมการเมืองและสังคมไทยและประเทศโลกที่สามต่างๆ เช่น อินเดีย นั้น จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะเป็นจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวแนววิปัสสนา

ในทางกลับกันมนุษย์จากประเทศโลกที่สามอย่างตัวฉันเองก็จะเฝ้ารังเกียจความอีเหละเขละขละของประเทศตัวเองและพยายามอย่างยิ่งที่หากเลือกได้ขอเลือกไปเที่ยวในประเทศโลกที่หนึ่งที่ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน บ้านเมืองมีระเบียบ ทุกอย่างคาดเดาได้ ปลอดภัย มีสินค้าหรูหราให้ช็อปปิ้ง ได้นั่งกินอาหารในร้านสามดาว ขออยู่โรงแรมหกดาว อยากไปดูปราสาทราชวังพันปี อยากไปไร่องุ่น ชิมไวน์ ฯลฯ

จากนั้นเราก็จะกลับไปเล่าให้เพื่อนๆ เราฟังว่า ประเทศเขามันดียังไง มันเป็นระเบียบยังไง ทางเท้าสะอาดอย่างไร มนุษย์ในบ้านเมืองของเขาเคารพกฎเกณฑ์อย่างไร คนขับแท็กซี่มีมารยาทอย่างไร

พร้อมๆ กับเฝ้าหวังว่า เมื่อไหร่หนอ ประเทศอันล้าหลังยากจนของเราจะเจริญก้าวหน้าอย่างนั้นบ้าง

แต่โลกไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้นในขณะที่ฉันกำลังอิ่มเอมฝันหวานชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างของประเทศโลกหนึ่งก็จะมีเพื่อนโลกที่สามแต่มีสำนึกแบบประเทศโลกที่หนึ่งหันมามองฉันด้วยสายตาดูถูกว่า "เฮ้ยยยยยูรู้ไหม คนประเทศโลกที่หนึ่งเค้าเบื่อประเทศเค้าจะแย่ เที่ยวแบบยูเนี่ยะ คนแค่มีเงินก็เที่ยวได้ แต่เที่ยวแบบไปสัมผัสชีวิตของมนุษย์มันต้องใช้อะไรมากกว่าเงินนะยู"

ว่าแล้วเพื่อนร่วมชะตากรรมโลกที่สามก็จะเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวของประเทศโลกสามจากสายตาของคนจากประเทศโลกที่หนึ่งเช่นหามุมเล็กๆที่งดงามของเยาวราชออกไปถ่ายทอดสู่สายตาชาวโลกเห็นความงามในรอยยิ้มของจับกังสักคนที่กำลังแบกข้าวสารเห็นสีสันแบบป๊อปอาร์ตของเมนูข้างฝาร้านก๋วยเตี๋ยวอันผุพังเก่าแก่ของตลาดเก่าๆ ที่ไหนสักแห่ง

การออกเดินทางท่องเที่ยวของมนุษย์จึงมีทั้งการออกไปชื่นชมด้วยสายตาแบบ "มองลงมาแล้วเอื้อเอ็นดู" กับ "มองขึ้นไปแบบชื่นชมยกย่องแกมอิจฉา"

กับแบบสุดท้ายคือ "การเอาตัวเองออกมาจากการถูกมองแบบเอื้อเอ็นดูแล้วสวมวิญญาณคนที่เหนือกว่ากลับมามองสังคมของตัวเองแบบเอื้อเอ็นดูแทน" (เช่น คนไทยที่เที่ยวไปในประเทศโลกที่สามอื่นๆ แล้วถ่ายรูปดินแดนเหล่านั้นมาจากสายตาหรือมุมมองของคนจากประเทศโลกที่หนึ่ง เช่น เห็นความโกลาหล และวัวบนถนน ด้วยความขบขันแกมทึ่งแกมเอ็นดูแกมดูถูก (บางๆ จนแทบไม่รู้ตัว)

หรือ คนไทยที่ไปเที่ยวถ่ายรูปชาวเขาด้วยมุมมองแบบกึ่ง exotic กึ่งเอ็นดู ชื่นชม

แต่ไม่ได้สำเหนียกว่า ตัวเองกับชาวเขาที่ตนเองไปถ่ายรูปมาคือสมาชิกร่วมสังคมเดียวกันที่จะต้องมีชะตากรรมทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ภายใต้ภูมิศาสตร์การเมืองอันเดียวกัน

เขียนมาทั้งหมดนี้ไม่ได้บอกว่าแบบไหนดีหรือแบบไหนไม่ดีแต่คิดว่ามันสำคัญสำหรับการทำการตลาดเพื่อการท่องเที่ยว

ที่ผ่านมาดูเหมือนว่า เมืองไทยจะทำการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวแบบ "สองหน้า"

คือแบบที่เอาไว้ใช้ "หลอกตัวเอง" คือเราจะมีเวอร์ชั่นของการท่องเที่ยวที่เอาไว้บอกคนไทยด้วยกันเองว่า

"นี่ๆๆ ที่คนเขามาเที่ยวเมืองไทยเพราะคนไทยน่ารัก ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ นักท่องเที่ยวเขาชอบดูภาพคนไทยออกมาตักบาตรตอนเช้า คนมาเที่ยวเมืองไทยเพราะอาหารอร่อย คนไทยใจดี คนมาเที่ยวเมืองไทยเพราะวัดสวย มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนาน คนมาเที่ยวเมืองไทยเพราะธรรมชาติของเราสวยงามอะเมซิ่ง คนมาเที่ยวเมืองไทยเพราะเรามีวัฒนธรรมลึกซึ้งละเอียดอ่อน ละเมียดละไม"

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันมีความจริงที่พวกเราไม่อยากจะยอมรับหรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ว่าคนมาเที่ยวเมืองไทยเพราะ - ทะเล เซ็กซ์ ยาเสพติด สินค้าแบรนด์เนมก๊อบปี้ โชว์สาวประเภทสอง ของราคาถูก และสุดท้ายคือความ "สบาย"

เนื่องจากรายได้หลักของเรามาจากการท่องเที่ยว สังคมจึงปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวแบบ "อภิสิทธิ์ชน" บวกกับสังคมไร้กฎเกณฑ์ของสังคมไทย นักท่องเที่ยวจึงรู้สึกทั้งได้ผจญภัยไปกับความคาดไม่ถึง คาดเดาไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และภาวะอะไรก็เกิดขึ้นได้ อะไรก็กลายเป็นข้อยกเว้นได้

มันคงถึงเวลาที่เราต้องยอมรับ ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้วสำหรับการท่องเที่ยวประเทศไทย เราขาย "ด้านมืด" และมี "ด้านมืด" เป็นสินค้าที่ดึงดูดให้คนมาเที่ยว

( มีต่อ )
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
อ่านแล้วไม่ได้รู้สึกว่าคนเขียนคือคนที่รู้จักเมืองไทยลึกซึ้ง
สัมผัสได้แค่ว่า มีความรังเกียจ ดูหมิ่น และอยากหนีไปให้พ้นอยู่ในทุกอณู
ไม่ว่าจะหนูแมลงสาบและงูเหลือมบนพื้นดิน  (เขาคนนั้นไปจากมุมไหนของเมืองไทยนะ)
หรือแม้กระทั่งไม่เชื่อว่าผู้มาเยือนนั้น "ค้นพบ" อะไรในการเดินทางจริง ๆ นอกจากมายา
กลับไปมองว่าเป็นความรู้สึก "เอ็นดู" ผู้ที่ด้อยกว่าจากคนที่เหนือกว่า  
โดยอิงเอาจากตัวเองที่เฝ้ามองเมืองไทยในมุมที่อยากละทิ้ง และไม่เคยมีดีอะไร

ถึงแม้บางประโยคที่ก็เหมือนจะเข้าใจว่านั่นคือการไปแสวงหาสิ่งต่าง
คนจากอีกซีกโลกหนึ่งมีวิถีอีกแบบก็มักจะฝันถึงความไม่เหมือนกับตัวตนของตนเอง
เหมือนที่คนเขียนเองก็อยากไปรู้ไปเห็นในสิ่งที่ไม่ใช่แบบที่ตัวเองเป็น ตะวันออกสู่ตะวันตก
เพราะนั่นแหละคือการเปิดหน้าต่างของโลก และคือการผจญภัยที่ติดอยู่ในตัวของคนทุกคน
คนเขียนก็จึงอีกครั้งที่ดูถูกว่า พวกเขาจากที่เจริญเหล่านั้นแค่ชอบมันแบบผิวเผิน

เหมือนเรากำลังมองภาพวาดของจิตรกรที่"ไม่ประทับใจ"กับสิ่งหนึ่ง
ภาพออกมาบิดเบี้ยวเสียจนรับรู้ได้ในความไม่ชอบในสิ่งนั้น  
มากกว่าจะเป็นการสังเคราะห์และแจงเอาข้อเท็จจริงมาเล่าให้ฟัง  
ไม่เคยอ่านงานเขียนของเขามาก่อนนอกจากบทความนี้
ดูเขาเป็นคนมีปมกับความเป็นคนจากโลกที่สามเอามาก
ความจริงแล้วการมีคุณค่ามันไม่ได้อยู่ที่สีผิวหรือแหล่งกำเนิด
ก็คงอีกสักพักที่เขาจะคิดออกและเริ่มนับถือตัวเองได้มากกว่านี้

ปล. การท่องเที่ยวส่วนหนึ่งคือการแสวงหาความแตกต่าง
การที่คนตะวันตกอยู่ตึกใช้เทคโนโลยีตื่นเต้นกับคนตะวันออกอยู่กระต๊อบไร้เทคโนโลยีจึงไม่แปลก
อินเดีย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น พม่า ลาว เขมร กลุ่มเอเซียรู้สึกเฉยสนิทกับวัฒนธรรมไทยก็เป็นธรรมดา
บ้านเธอบ้านฉันมีเหมือนกันจะให้ปลื้มดื่มด่ำอะไรตรงไหน ก็ทุกอย่างมาจากรากฐานเดียวกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่