อ่านเรื่องนี้แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ

กระทู้คำถาม
เรื่องเล่าที่อาจไม่เกิดขึ้นจริง#1ตอนบ่ายๆ
ผมชื่อ รณภพ ผมมีนิสัยไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ผมในวัย15ปี กำลังมีอารมณ์รักอย่างพลุ่งพล่าน ยังไงน่ะหรอ ถึงหน้าตาอาจจะไม่หล่อมากมายแต่ก็มีความพยายามบวกกับการที่มีคำพูดเยอะ ผมจึงมีผู้หญิงเยอะตามคำพูดไปด้วย
ผมเรียนม.3อย่างมีความสุขแต่แล้วสิ่งท้าทายผมก็บังเกิดขึ้น รุ่นน้องม.1หน้าตาน่ารักน่าชังทีเดียว ผมล่ะเชื่อเลย ในแว๊บแรกผมถึงกับต้องใจอึ้งไปหลายนาที พวกคุณอาจดูว่าเว่อร์ไป แต่สำหรับผมวินาทีนั้นผมเป็นแบบนั้นจริงๆ
ผมยังคงเจ้าชู้ไปเรื่อยแต่ในขณะเดียวกันผมก็เริ่มกระเถิบใกล้เธอไปเรื่อยๆ จนในที่สุดโอกาสใกล้เธอก็มาถึง ข้ามไปเลยละกัน ผมรู้จักเธอและรู้ว่าเธอชื่อ เทพธิดา
บ๊ะ นี่ก็เหมือนเว่อร์แต่เธอชื่อนั้นจริงๆ เพื่อนเธอเรียกเทพ ฮาเหมือนกันชื่อยังกับผู้ชาย ผมก็พยายามตีสนิทเธอ คุยเล่น หยอกไปเรื่อยๆ คนโลกสวยอาจจะมองไม่ดี แต่ผมเชื่อว่ารักในวัยเรียน ทุกคนมีหมด อ๊ะ บางคนอาจไม่ เช่นเพื่อนผมเป็นต้น นานวันเข้าผมเริ่มรักเธอมากขึ้น มากขึ้น จนผมไม่ยอมไปต่อม.4ที่อื่นอ่ะ คิดดู๊ ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ตอบรับอะไรผมนะ อาจเพราะเธอยังเด็ก เอ๊ะ ผมก็เด็กนี่หว่า
เวลาล่วงผ่าน 1ปี6เดือน ผมจำได้ดี ใช่ มันมีเหตุผลที่ผมจะต้องจดจำมัน เธอนัดผมมาหน้าโรงเรียน ผมก็เข้าใจว่าเหมือนปกติทำไมต้องนัด ปกติเราจะกลับบ้านด้วยกันทุกวัน มันก็ธรรมดาถ้าใครเลิกก่อนก็มารอ ผมไม่ค่อยเอะใจไรหรอก แต่วันนี้มันแปลกกว่าทุกวัน เพื่อนเธออยู่ล้อมรอบเธอหมดแต่ทิ้งระยะห่างไว้พอควร ผมสังเกตได้ถึงความผิดปกติ
ผมเดินเข้าหาเธออย่างไตร่ตรองว่าผมพลาดอะไรหรือปล่าว เมื่ออยู่ตรงหน้าเธอผมจึงรู้แล้วว่าพลาด ผมมองผ่านหลังเธอไปยังอีกฟากของถนน หนึ่งในคนที่ผมคบยืนอยู่ตรงนั้น ผมรู้ตัวอีกทีตอนเธอเรียกชื่อ เหมือนเธอรู้ว่าผมมองอะไร และ เธอก็บอกว่านั้นคือพี่แถวบ้านเธอ
บัดซบ ผมคิดได้คำแรก เพราะทุกวันที่กลับบ้านผมไม่เคยเจอพี่แถวบ้านคนนี้เลย และ ใช่พี่แถวบ้านเธอที่ผมคบไม่ได้บอกว่าบ้านพ่อมันอยู่ที่นั่น เวรจริงๆ นี่คือคำที่สองที่ผมคิดได้
ขณะที่ผมยังยืนคิดอะไรอยู่เงียบๆ ใช่ครับ เงียบต่อหน้าเธอ เทพธิดาของผม เธอกำลังจะเดินหนีไป ผมไม่ทันได้คิดอะไรแต่เห็นน้ำตาเธอกำลังไหล เธอไม่เคยบอกว่าเราคบกัน ไม่เคยบอกว่าเราเป็นแฟนกัน ผมดันรู้หลังจากนั้นเพียง1วันว่า เธอก็รักผมเช่นกัน โดยรู้จากปากของเพื่อนเธอ
ทำไมน่ะหรอ ในขณะที่เธอร้องไห้แล้ววิ่งจากไป เพื่อที่จะไปหาพี่เธอที่อีกฟากของถนน ไอ้รถกระบะเวรตะไลนั่นกลับวิ่งแซงรถสองแถวมา โดยที่มันไม่ทันดูเชี่ยอะไร ไอ้สารเลวสุดโง่นั่น ขับรถพุ่งชน เทพธิดาของผม ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก ทุกคนยืนอึ้ง ไม่รู้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนหรือแค่ชั่ววินาทีเดียว ผมกระตุกตัวเองวิ่งไปเป็นคนแรก และ ยาม รวมถึงเพื่อนเธอ ชาวบ้านต่างๆ วิ่งมาล้อมรุม ผมโวยวายแบบถึงที่สุดและเรียกเพื่อนที่นั่งกินข้าวอยู่หน้าโรงเรียนให้รุมจับคนขับเวรนี่ที
ในความตกใจ เสียใจ หรือ รู้สึกผิด อะไรก็ตามที่เข้ามาในตอนนั้น ผมเรียกมันว่า ความทุกข์ ผมอยากช่วยเธอแต่ไม่รู้จะทำยังไง ผมมองเข้าไปในตาเธอพร้อมกับพร่ำบอกคำว่าขอโทษ ซ้ำกันไม่รู้กี่ครั้ง ผมร้องไห้ไปขอโทษในความผิดที่ผมได้ทำกับเธอ มันอาจดูเรื่องเล็กสำหรับคนอื่นแต่สำหรับผมไม่ใช่ ผมเสียเธอไป คนที่ผมรักที่สุด เธอพยายามมองตาผมกลับและหันไปอีกด้าน สองครั้ง ผมรับรู้ได้แล้วว่าเธอพยายามจะสั่งเสีย เธอกลั้นใจพูดประโยคสุดท้ายที่ทำให้ผมทั้งอึ้งและดีใจ เสียใจไปในเวลาเดียวกัน เธอยังคงเป็นผู้หญิงที่ตลกได้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต
เธอบอกกับผมอย่างช้าๆว่า ไม่ต้องขอโทษหรอก หนูไม่ได้โกรธพี่ ไว้ดีกัน ชาติหน้าตอนบ่ายๆนะ แล้วผมก็รู้แล้วว่า เธอสิ้นใจในคำพูดสุดท้าย
กู้กัยและตำรวจมา ผมยังนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน ไม่มีใครกล้าเข้ามาห้ามเพราะผมโวยวายหากใครมาแตะตัวผมผมจะฆ่าตัวตายตามไป สุดท้ายเพื่อนผมก็เข้ามาลากไปในขณะที่ผมเหมือนตายไปพร้อมกับเธอ เทพธิดาของผม
เรื่องของผมผ่านมาแล้ว20ปี ผมในวัย35ตอนนี้ก็มีการมีงานทำอย่างดี ไม่อยากจะเชื่อเรื่ิองในวันนั้นเป็นแรกผลักดันให้ผมก้าวถึงจุดที่สูงสุด ผมอยากมีเงินเก็บเยอะๆ อยากมีทุกอย่างที่พร้อมสมบูรณ์
ทำไมน่ะหรอ ผมรอวันที่เธอกลับมายังไงล่ะ คนเราไม่สามารถรู้ได้ว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่ หรืออาจไม่มี ทุกวันนี้ผมยังไม่มีใคร ด้วยวัยที่แก่ลงเรื่อยๆ 20ปีที่ผ่านมาผมกลายเป็นอีกคน ผมจึงยืนได้อยู่จุดนี้ จุดที่สุดท้ายผมก็เป็นเจ้าของธุรกิจเอง ในวัย35ปี ผมพร้อมที่สุดในการที่จะมีใครสักคน
วันหนึ่ง ผมขับรถไปฟังเพลงไปดันเกือบไปชนนักศึกษาคนหนึ่งที่กำลังเร่งรีบ เธอคนนั้นโวยวายไม่หยุดและบังคับให้ผมลงจากรถ แหม่ ทั้งที่เธออยู่คนเดียวก็ช่างกล้าโวยวาย ผมนั่งดูเธอและนึกตลกก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป เธอยังโวยวายไม่หยุดจนคนเริ่มหันมามอง ผมขอโทษเธอและขอร้องเธอว่าอย่าโวยวายนักเดี๋ยวผมไปส่งในที่ที่เธอรีบไป เธอปฏิเสธตาแข็งว่าไม่ ซึ่งผมก็กะไว้อยู่แล้ว เธอเดินจากไปเฉยเลย รีบวิ่งไปไหนก็ไม่รู้ ผมซึ่งมีนัดสัมภาษณ์งานเด็กไว้ก็ขึ้นรถแล้วก็ขับเลี้ยวเข้าห้างไป
ผมเดินเล่นเอ้อระเหยนิดหน่อยเพื่อดูร้านเพื่อนบ้าน คู่ค้าคู่แข่งต่างๆ ก่อนจะเดินเลี้ยวเข้าร้านตัวเอง ผมเหลือบเห็นอะไรแว๊บที่มุมของร้าน มุมที่ผมเอาไว้ให้เด็กที่มาสมัครงานนั่ง ผมเลี้ยวเข้าร้านไปแล้วก็เดินไปถามน้องที่ร้านว่า ไหนเด็กที่จะมาสัมภาษณ์งาน น้องชี้ไปตรงนั้นทั้งที่ผมก้รู้ว่าที่นั่งอยู่คือน้องที่มาสมัครงาน ผมเดินเลี้ยวไปในโต๊ะตัวนั้นแต่ยังไม่ถึงโต๊ะผมก็กระตุกนิ่งไปซะก่อน ฮ่าๆเวรละ ผมแค่นหัวเราะออกมาพร้อมคิดในใจได้คำแรก ใช่ครับ น้องคนที่ผมเกือบจะขับรถชนนั่นล่ะ ผมก็ติดเรียกน้องเพราะ35กับ20นี่สมัยนี้เธอคงจะรุ่นลูกผมได้มั้ง
น้องยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยนะ ผมเดินเข้าไปพูดเป็นประโยคแรกพร้อมทั้งนั่งอย่างมีมาด มองดูดีๆหัวของเธอกระเซอะกระเซิง ใช่สิ เธอรีบวิ่งมาจากไหนก็ไม่รู้ เกือบโดนรถชน อีกทั้งอากาศยังร้อนอีก มันก็ธรรมดาที่เธอจะไม่เรียบร้อยต่อหน้าผม ผมก็รู้แต่ก็อดไม่ได้ที่จะแกล้งเธอ
เธอคงทีท่าโมโหอยู่ในใจแต่ก็ยังไม่วายใช้สายตาค้อนผมอีก เหมือนงานนี้จะสำคัญต่อเธอ เธอจึงยังไม่ลุกจากไปในทันทีที่เห็นหน้าผม หรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้
ผมอ่านโปรไฟล์ของเธอแบบผ่านๆ แต่แล้วผมก็ต้องกลับมาอ่านอีกรอบเพราะผมสะดุดกับอะไรบางอย่าง วันเดือนที่เกิด กรุ๊ปเลือด ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แว๊บหนึ่งผมก็คิดไปอีก เจอกันตอนบ่าย ผมหันหน้ามองนาฬิกา บ๊ะ บ่ายโมงครึ่ง นี่มันอะไรกัน ผมตกลงรับเธอเข้าทำงานทันที แม้เธอจะดูงงที่ผมไม่ถามอะไรต่อแค่ดูโปรไฟล์ แต่เธอก็จากไปโดยที่ไม่ถามอะไรผมเช่นกัน
ผมเฝ้ารอวันที่เธอมาทำงานและจะอ้างว่าเข้าไปดูร้านเพื่อเจอเธอ แต่อีกใจผมก็คิดว่าหากเธอไม่มาทำงานล่ะ เธออาจจะโกรธ โมโห หรือ มีงานที่ใหม่ที่ดีกว่า แต่ผมก็ยังได้เจอเธอในวันแรกที่เธอทำงาน
ผมลองจีบเธอทั้งที่อายุห่างกันมากแต่ผมก็อดไม่ไหว ความสงสัยที่ว่าเธอคือเทพธิดาของผมหรือปล่าวมันพุ่งพล่าน จนผมเริ่มลืมตัว ลืมอายุตัวเอง แต่เธอก็ไม่ได้แสดงทีท่ารังเกียจอะไร
และแล้วผมกับเธอก็คบกัน ปาริชาติ ชื่อเธอช่างบ่งบอกให้ผมรักเธอซะ แล้วจะกลับไปยังอดีตได้ ดั่งดอกปาริชาติที่เมื่อสูดกลิ่นไปแล้วจะระลึกชาติได้ยังไงยังงั้น
ในระหว่างที่คบกันผมก็รับรู้ถึงปัญหาของเธอ แม่เธอป่วย พ่อเธอทิ้งไปนานแล้ว เธอจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เรียน ได้ช่วยแม่ของเธอ แต่เธอย้ำเสมอว่าต้องเป็นในทางที่ถูกที่ควร
เหมือนผมจะคิดไปเองในระหว่างที่จีบเธอผมก็ใช้นิสัยเดิมๆ หยอกล้อบ้าง ทีเล่นทีจริง จนวันที่ผมถามเธอว่า เราเป็นแฟนกันใช่ไหม เธอจึงตอบว่าให้คิดเอง ผมก็คิดดิว่าเป็น เอ้อ
ความแปลกประหลาดในตอนเดินด้วยกันมันก็มีอยู่ 35 กับ 20 นี่มันเด็กกับเสี่ยชัดๆ จะอะไรก็ช่างผมไม่ค่อยสนใจเพราะหน้าผมมันค้างตอนอายุ25 มันก้ดูเหมือนพี่ที่ดูมีตังค์คอยส่งน้องเรียนที่มหาลัยล่ะมั้ง
ในระหว่างที่คบกันผมเขียนบันทึกที่มีต่อเธอรวมถึงเขียนย้อนไปยังในวันที่ไม่รู้จักเธอด้วย ตั้งแต่เริ่มเจอเธอจนถึงวันนี้ 1ปี6เดือน ผมเฝ้าหวังว่าอะไรๆจะไม่เกิดขึ้นอีก ดูหมอ ตรวจสุขภาพ พาแม่เธอไปรักษา ซื้อทุกอย่างที่สำคัญให้เธอ ผมดูเหมือนคนแก่ที่โดนหลอกเลยใช่ไหม ใครจะคิดอะไรก็ช่างแต่ผมมีความสุขและผมรอคอยวันนี้มาตลอด ผมกำลังจะขอเธอแต่งงาน ในวันที่1ปี6เดือนกับอีก1วัน

ในช่วงเวลาที่คบกัน ผมรักเธอมาก และ ผมก็รู้ว่าเธอก็รักผมเช่นกัน เธอบอกว่าเธอชอบตอนบ่ายที่สุด เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วไม่รู้ทำไม เธอบอกว่ามันสบายดี ตอนบ่ายแก่สักบ่าย3บ่าย4 แดดจะร่มลงหน่อยเพราะใกล้จะเย็นแต่บางครั้งเธอก็เหงาและอยากจะร้องไห้ในเวลานั้น เวลาที่เธอชอบเช่นกัน ผมนึกตลกและมั่นใจแล้วว่า ผมจะขอเธอแต่งงาน ในตอนบ่ายของวันที่ xx/xx/xxxx และผมเชื่อว่าเธอต้องรับการขอนี้แน่ ผมว่าเธอต้องอึ้งในมุกของผมแน่ๆเลย ฮ่าๆ สักวันผมจะให้เธออ่านไดอารี่ที่รักนี้ของผม วันที่เราแต่งงานกัน มันจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุด ลงวันที่ xx/xx/xxxx

ปาริชาติอ่านแล้วน้ำตาไหลออกมา เธอเพิ่งเข้าใจในคำพูดสุดท้ายของรณภพ
เธอยืนอยู่หน้าเตียงของเขาในเวลาที่เขาสิ้นใจในตอนนั้นเธอยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้ในวันที่เธอได้อ่านไดอารี่ จนถึงวันที่เธอโปรยอัฐิของเขา เธอถึงรับรู้เรืองราวในชีวิตของรณภพและรู้ว่าเธอรักเขามากมายแค่ไหน

สายตาเธอมองยาวออกไปในทะเลพร้อมกับนึกยิ้มในคำพูดของรณภพก่อนตาย

ในขณะที่ผมกำลังจะเซอร์ไพรส์เธอ ผมนัดเธอมาที่ถนนหน้าห้าง ที่ที่เราเจอกันครั้งแรก แม้มันจะไม่ค่อยดีเท่าไรแต่มันก็ทำให้เราได้เจอกัน ในขณะที่ผมได้ติดต่อทุกคนทั้งทางห้างก็ให้ความร่วมมือ เพื่อนผมต่างมาช่วยกันเป็นสักขีพยาน แต่ผมดันพลาดไปเรื่องหนึ่ง คือ ลืมให้ยามกันรถให้ อาจเพราะความสมจริง เพราะหากไม่มีรถวิ่ง เธอต้องสงสัยแน่ แต่นั่นกลับทำให้ผมมีภัย ผมยืนมองเธออยู่ตรงฝั่งข้ามของถนน เธอยืนตรงนั้น ที่เรานัดกันไว้ ผมจะวิ่งข้ามถนนไปหาเธออย่างเหนื่อยหอบและหอมแก้มเธอ พร้อมคุกเข่าขอเธอแต่งงาน ทุกอย่างจะไวปานสายฟ้าแล่บ แต่แล้ว ผมถูกรถบ้าที่ไหนก็ไม่รู้ที่ดันขับมาด้วยความเร็ว เร็วพอที่จะฆ่าผมได้ เสียงดังสนั่นผมโดนรถชนแต่ยังไม่ตาย สภาพสาหัส ผมรู้ตัวว่าผมคงไม่รอดแล้ว เสียดาย เสียดายจริงๆ
แต่ผมรู้ตัวก่อนตายนะ เอาจริงๆ ผมจึงเรียกเธอมาใกล้ๆพร้อมกับกระซิบข้างหูเธอว่า
ตอนบ่ายเราดีกันแล้ว ชาติหน้าขอให้เราเจอกันและรักกันในตอนเช้าบ้างนะ
ก่อนผมจะหลับตาผมเห็นเธอยืนร้องไห้แต่ก็ยังหัวเราะในมุกของผมในพร้อมกัน ลาก่อน . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
เก่งค่ะ แต่งได้สนุกดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่