หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 42

กระทู้สนทนา
ตอนที่ผ่านมาอยู่ คห สุดท้ายค่ะ




แจ้งให้ทราบค่ะ
เนื่องจากว่าผู้เขียนรีไรท์เรื่องราวโดยการตัดทอนความยาวแต่ละตอนให้กระชับ และมีการยกเนื้อหาไปขึ้นตอนถัดไป
ทำให้ลำดับตอนเลื่อนออกค่ะ  แค่เลขลำดับเลื่อนค่ะ แต่เนื้อหาต่อกัน




หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ 42




“เธอนี่บ้าจริงเลย” เอื้อยบ่นกระปอดประแปดขณะเดินตามหลังหญิงสาวคนข้างหน้าที่พาลงจากรถโดยสารกลางทาง

และเพราะรองเท้ามีส้นที่เธอสวมใส่ไม่เหมาะกับการเดินป่าแบบนี้ อาการเมื่อยและปวดเกร็งเกิดขึ้นทุกครั้งที่ย่างก้าว แต่เธอแปลกใจกับตัวเองว่าทำไมถึง
รู้สึกเหนื่อยมากขนาดนี้ ทั้งที่เธอก็คุ้นเคยกับการเข้าป่าในวัยเด็กดี หรือการทำงานกลางคืนทำให้เธอพักผ่อนน้อยจนทำอะไรก็เหนื่อยไปหมดทั้งๆที่อายุเพิ่งจะยี่สิบเองด้วยซ้ำไป

“ไหวหรือเปล่า” ธิดาหันมาถามด้วยความห่วงใยเมื่อสังเกตใบหน้าที่เหนื่อยหอบของเอื้อย

“ไม่ไหวแล้วเธอจะอุ้มฉันหรือไง” เอื้อยแหวใส่

“ไม่อุ้มหรอก แต่จะให้ขี่หลัง ตัวเธอผมออกอย่างนั้นฉันแบกได้อยู่แล้ว” ธิดาหยุดเดินแล้วรอจนกว่าเอื้อยจะเดินเข้ามาใกล้ เธอเพิ่งสังเกตว่าเอื้อยผอมมากที
เดียว ผอมกว่าเธอเสียด้วยซ้ำไป

หญิงสาวที่เพิ่งเดินมาถึงหายใจหอบ มองคนหวังดีที่จะให้ขี่หลัง “ไม่ต้อง ฉันยังไหว เต้นทั้งคืนยังทำมาแล้ว”

“ตามใจ” ธิดาพูดแล้วเดินตามคอยระวังหลังร่างบอบบางของเอื้อยให้

นิสัยห่วงใยคนอื่นกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวเธอไปแล้ว แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิงแต่การทำงานกับพ่อและพี่ชายทำให้เธอแกร่งได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะรอบกายมีแต่คนงานผู้ชายทั้งนั้น ถ้าไม่ทำให้ตัวเองเข้มแข็งพอที่จะให้พวกเขายอมรับ เธอก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะปกป้องคุ้มครองผู้ใต้บังคับบัญชาได้ และคงเป็นได้แค่คุณหนูที่นั่งแต่ในออฟฟิศซึ่งเธอไม่ชอบแบบนั้น

“แล้วคิดยังไงถึงชวนฉันกระโดดลงอย่างนี้ ถ้าเจอโจรขึ้นมาจะทำยังไง” เอื้อยยังบ่นไม่หยุด

“ในเมื่อหมู่บ้านเธอก็เป็นหมู่บ้านโจร แล้วเธอก็เป็นลูกสาวโจรด้วย จะกลัวอะไร” ธิดาพูดแหย่เผื่อว่าจะช่วยให้บรรยากาศการเดินป่ายามดึกดีขึ้น

“ฉันถามจริงเถอะ มีใครเคยบอกเธอไหมว่าเธอมันชอบเถียง” โคโยตี้สาวที่ไม่คิดว่าจะต้องมาเดินป่าหันกลับไปแล้วชี้หน้าใส่หญิงสาวที่ทำหน้าทะเล้นใส่

“มี เยอะเลย จะให้นับไหมล่ะ”

เอื้อยสุดจะทนกับผู้หญิงคนนี้ เธอหันขวับแล้วเดินฉับๆไปอย่างเร็วเหมือนกับลืมเหนื่อยไปชั่วครู่ ระยะทางจากตรงนี้ไปถึงหมู่บ้านห่างไม่มากนัก แต่ก็ไม่ปลอดภัยนักหรอกที่จะเดินกลางป่ากลางดง นึกว่ากล่าวธิดาในใจที่คิดอะไรถึงลงกลางทางค่ำๆมืด ๆ ถ้าตอนกลางวันไม่บ่นเลย

“ฉันเห็นลูกน้องคุณนายขับรถผ่านไป”

เอื้อยหยุดเดินทันที “รถคันเมื่อกี้น่ะหรือ ฉันมัวแต่ก้มมองโทรศัพท์”

“ทีนี้เธอรู้หรือยังว่าทำไมฉันถึงต้องชวนเธอลงกลางทาง”

“แล้วมันรู้ได้ยังไงว่าเราจะมาที่นี่” เอื้อยถามด้วยใบหน้าวิตก “หรือว่าเป็นคุณนาย แต่เมื่อกี้ฉันจะเพิ่งบอกเธอไปเองนะว่ากลับบ้าน”

“ไม่น่าใช่ ฉันคิดว่าเขารู้แผนของกลาง...และนั่นหมายความว่า กลางยังไม่ตาย” เธอพูดอย่างมั่นใจ นอกจากกลาง ตฤณ ตรีรัตน์ และเธอ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาทั้งหลายจะเดินทางมาที่นี่

“ไปเถอะ เราต้องไปให้ถึงหมู่บ้าน แต่เราต้องระวังอย่าให้ใครเห็น โดยเฉพาะเธอ” ธิดาบอกกับเอื้อยแล้วพยุงแขนหญิงสาว
ความรู้สึกปรีดาเกิดขึ้นในหัวใจของเอื้อย ถ้าเขายังปลอดภัยตามที่ธิดาพูดจริงล่ะก็มันเป็นเรื่องที่วิเศษมาก ในที่สุดสวรรค์ก็ได้ยินคำขอร้องของผู้หญิงด้อยค่าคนนี้

ชายหนุ่มกรอกเม็ดยากลืนลงคอ จากนั้นเขานับกระสุนที่มีสี่นัด หมายความว่าคุณนายดาราให้โอกาสพลาดเพียงแค่นัดเดียว กลางหันซ้ายแลขวาเพื่อดูว่าลูกน้องคุณนายซุ่มอยู่ตรงไหนได้บ้าง แต่ก็เปล่าประโยชน์ที่จะมองหา การส่งยาให้เขาทำโดยไปหยิบเม็ดยาจากจุดที่ลูกน้องคุณนายส่งข้อความบอก ดังนั้นลูกน้องคุณนายอยู่ในระยะใกล้หรือไม่ก็นำหน้าไปที่หมู่บ้านนั้นแล้ว

ถ้าตฤณยังทำตามแผนเดิมอยู่ ตอนนี้ตฤณและธิดาก็น่าจะอยู่ที่หมู่บ้าน แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือแผนการคือลูกน้องคุณนายจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ จากที่แผนที่วางร่วมกับสารวัตรไว้คือเขาจะต้องถูกยิงโดยคนของหมู่บ้านซึ่งคือตฤณ แต่ในแผนนั้นเขาควรจะมีเสื้อกันกระสุนใส่ก่อนที่จะวิ่งออกไปเป็นเป้า แต่ดันมาโดนลูกน้องคุณนายจับได้เสียก่อนที่เขาจะมีโอกาสใส่เสื้อกันกระสุน เท่ากับว่าเขาต้องเอาร่างรับแรงอัดของลูกปืนเต็มๆ หวังไว้อย่างเดียวคือให้ตฤณยิงพลาดเป้าแต่โอกาสที่ลูกชายมาเฟียผู้จับปืนมาตั้งแต่เด็กจะพลาดเป้านั้นมีน้อยมากเสียด้วย

“จะตายก็คราวนี้แหละวะ สิ้นชื่อระพีพัฒน์แน่ล่ะเอ็งเอ๋ย” เขาเปรยกับตัวเองแล้วบิดเครื่องยนต์มุ่งตรงไปยังหมู่บ้านตามภารกิจฆ่าคนอื่นให้ตัวเองตาย ในหัวตอนนี้ก็ล้าเกินกว่าที่จะคิดอะไร ผลจากสารเสพติดมันกระทบกระเทือนสมองได้อย่างน่ากลัวจริงๆ

เมื่อใกล้ถึงหมู่บ้าน เขาใช้วิธีเข็นรถโดยการดับเครื่องและปิดไฟเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกต อย่างน้อยอาจทำให้ลูกน้องคุณนายยังไม่รู้ถึงการมาของเขา ชายหนุ่มนึกหวนถึงต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องลำบากลำบนแบบนี้ มันเริ่มต้นจากความบังเอิญที่ไปช่วยยายเพื่อนสาวคนสวยแต่สุดซวยจากนั้นเธอก็นำพาเขาซวยไปด้วย แต่นั่นก็ผ่านมาแล้วและตอนนี้เขาต้องทำการล้างคดีให้หมดจด ไม่อย่างนั้นอนาคตก็คงจบ เรียนซะสูง คะแนนสอบนำโด่งแต่มาเสียเพราะมีคดีไร้สาระติดตัว

“หวังว่าเจอเธอที่หมู่บ้านแล้วเธอจะไม่มาพร้อมกับความซวยมานะยายธิดา”


เขาหาได้รู้ไม่ว่าธิดาคนนี้ไม่ได้นำความซวยมาให้หรอก แต่นำความยุ่งยากมาให้มาต่างหากเพราะเอื้อยร่วมเดินมากับเธอด้วยน่ะสิ และตอนนี้เอื้อยคนนี้ก็กำลังนั่งอย่างเหนื่อยหอบจนธิดาเริ่มหวั่นวิตก

“เอื้อย เธอไม่สบายหรือเปล่า ทำไมหน้าซีดขนาดนี้” ธิดาจับแขนของหญิงสาวเบาๆ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร ก่อนหน้านั้นก็เป็นแค่หวัดเท่านั้นเอง แต่ตอนหลังฉันรู้สึกเหนื่อยง่ายกว่าเมื่อก่อน” เธอบอกแล้วเอากดที่หน้าอกที่เจ็บจนปวดร้าวไปหมด

“ขี่หลังฉัน” ธิดาพูดแล้วย่อตัวเองลง

“ไม่เป็นไร” เอื้อยปฏิเสธเพราะเห็นว่าหญิงสาวคนนี้ก็ไม่ได้มีร่างกายใหญ่โตอะไร เว้นเสียแต่ตัวสูงกว่าเธอเท่านั้น

“ไม่ต้องห่วง แบกอิฐ แบกปูน หาบน้ำ ฉันก็ทำมาแล้ว ตัวเธอน่าจะหนักแค่สี่สิบกว่ากิโล แค่นี้ฉันแบกได้อยู่”
หญิงสาวที่นั่งหอบมองผู้หญิงอีกคนที่พลีหลังของตัวเองให้เธอขึ้นขี่ ความรู้สึกที่เคยอคติเล็กๆกับผู้หญิงคนนี้เริ่มลดน้อยลง ทำไมหนอ แม้แต่กับคนที่ไม่รู้จักกันเธอยังแสดงน้ำใจได้ถึงเพียงนี้ เอื้อยขยับตัวเองลุกขึ้นแต่แทนที่เธอจะขึ้นขี่หลังหญิงสาว เธอกลับเดินด้วยขาตัวเองต่อไป

“ขอบใจสำหรับน้ำใจ ฉันยังไหว” เอื้อยพูดพร้อมรอยยิ้ม แต่เป็นรอยยิ้มดูเหนื่อยที่สุดในสายตาของธิดา
ไฟนำทางของกระบอกไฟฉายส่องสว่างในป่ามืด ลมเย็นโชยพัดผ่านกลางป่าเขา เมฆฝนก้อนสีดำใหญ่เคลื่อนตัวพาดผ่านแสงจันทร์ ความชื้นรอบกายหญิงสาวเริ่มมากขึ้นจนได้กลิ่นดินของป่าหน้าฝน  แต่สองหญิงสาวก้าวเดินอย่างไม่ลดละ ธิดาเงยหน้ามองใบไม้สีน้ำตาลแดงที่ร่วงหล่นบนผืนดิน และเห็นดวงจันทร์กลมเด่นอยู่บนผืนนภาสีนิล ธิดาเอ่ยรำพึงคำอธิษฐานกับราชินีแห่งฟากฟ้ายามรัตติกาล

“ขอให้ฉันได้รู้ว่าคุณมีความสุขกับคนที่คุณรักแค่นั้นฉันก็พอใจ คืนนี้ขอให้วิญญาณของคุณหลับอย่างเป็นสุขนะคะ คุณดวงแข”
แต่สีของดวงจันทร์คืนนี้ดูผิดแผก ไม่ใช่สีเหลืองนวลอย่างที่มันควรจะเป็น
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่