โบรกเกอร์ส่องหุ้นกลุ่มพลังงาน ไตรมาส 3 ธุรกิจโรงกลั่น-ปิโตรเคมีอ่วม ขาดทุนสต๊อกน้ำมัน เหตุราคาน้ำมันดิบโลกตกต่ำสุดรอบ 4 ปี นักวิเคราะห์ปรับลดคาดการณ์ทั้งกลุ่มปีนี้กำไรรวมลดวูบ 2 หมื่นล้านบาท ชี้กลุ่ม ปตท.กระทบหนัก คาด PTT กำไรเหลือ 9.8 หมื่นล้านบาท
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมันตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2557 ที่ผ่านมา อาจนำไปสู่ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันของผู้ประกอบการกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ซึ่งประเมินเบื้องต้น ธุรกิจโรงกลั่นจะมีผลขาดทุนในงวดไตรมาส 3 หนักสุด นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ คาดว่า บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) จะมีผลประกอบการไตรมาส 3/2557 เป็นขาดทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก หลังราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบอ่อนตัวลงต่อเนื่อง ส่วน บมจ.บางจากฯ (BCP) ผลประกอบการอาจลดลง ซึ่งจะกำไรหรือขาดทุนไม่มาก เนื่องจากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดี เช่นเดียวกับ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ที่คาดว่าจะยังคงมีกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีสายโอลิฟินส์มาช่วยชดเชย
ส่วน บมจ.ปตท. (PTT) และ บมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) แม้จะเป็นบริษัทที่ได้รับแรงกดดันมากสุดจากราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวลดลง แต่คาดว่างวดไตรมาส 3/2557 จะยังคงมีกำไรสุทธิอยู่ แต่อาจจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าก็ตาม
"ด้วยราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ ฝ่ายวิเคราะห์จึงเตรียมทบทวนปรับลดประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มพลังงานปีนี้ลงไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท จากประมาณการเดิมทั้งปีที่จะทำได้ราว 1.93 แสนล้านบาท" นายสุทธิชัยกล่าว
นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธุรกิจพลังงานปี 2557 ลงประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากประมาณการเดิมปีนี้จะทำได้ประมาณ 202,172 ล้านบาท เนื่องจากมีตัวแปรหลัก คือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจในกลุ่มปิโตรเลียม, ถ่านหิน, โรงกลั่น และปิโตรเคมี ที่ต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและราคาพลังงานที่ลดลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงตลาดน้ำมันดูไบ (ณ วันที่ 20 ต.ค. 57) อยู่ที่ระดับ 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลง 23.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากช่วงสิ้นไตรมาส 2/2557 ที่อยู่ระดับ 108.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่าลดลงต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากอุปทาน (การผลิต) น้ำมันดิบในตลาดโลกล้นตลาด หลังจากที่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตะวันออกกลางกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต ทำให้โอเปกมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2555
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันด้านอุปสงค์ (ความต้องการใช้น้ำมัน) ที่อ่อนแอลงตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหลายประเทศเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์
ดังนั้น จึงปรับประมาณการว่า กำไรสุทธิของกลุ่มพลังงาน ณ สิ้นปี 2557 และปี 2558 ครั้งล่าสุด (ต.ค. 57) มาอยู่ที่ 182,172 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ 196,224 ล้านบาท ที่ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเนื่องจากกำไรของกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนอยู่ถึง 30% ของกำไรสุทธิรวมของทั้งตลาด จึงส่งผลให้อัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในงวดปี 2557 และ 2558 ลดลงจากประมาณการเดิม 2.49% เหมือนกัน
ฝ่ายวิจัยยังประเมินด้วยว่า บมจ.ปตท. หรือ PTT จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงอย่างรุนแรง และกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและบริษัทย่อย โดยเฉพาะใน บมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) ที่มีหุ้นอยู่ราว 65.3%
ขณะที่บริษัทย่อยในธุรกิจโรงกลั่น เช่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.บางจาก (BCP) ต้องเผชิญกับการขาดทุนสต๊อกน้ำมันเฉลี่ยประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อบริษัทในช่วงไตรมาส 3/2557 ซึ่งมีผลให้ฝ่ายวิจัยอาจต้องปรับประมาณการกำไรสุทธิของ PTT ในปีนี้ลดลงเหลือ 98,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่คาดว่าจะมีมูลค่า 104,119 ล้านบาท
"ราคาน้ำมันดิบมีทิศทางขาลง ฝ่ายวิจัยจึงต้องทบทวนสมมติฐานการประมาณการกำไรอีกครั้ง ทำให้มูลค่าพื้นฐานของหุ้น PTTEP และ PTT ปรับตัวลงมา 10.25% และ 3.8% เหลือหุ้นละ 175 บาทและ 354 บาทตามลำดับ" นางสาวนลินรัตน์กล่าว
ใครถือ กลุ่มพี่ปอ ต้องให้กำลังใจกันเยอะๆๆนะครับ จากข่าวนี้
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า การปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมันตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3/2557 ที่ผ่านมา อาจนำไปสู่ผลขาดทุนสต๊อกน้ำมันของผู้ประกอบการกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ซึ่งประเมินเบื้องต้น ธุรกิจโรงกลั่นจะมีผลขาดทุนในงวดไตรมาส 3 หนักสุด นักลงทุนควรเพิ่มความระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ คาดว่า บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) และ บมจ.ไทยออยล์ (TOP) จะมีผลประกอบการไตรมาส 3/2557 เป็นขาดทุน เนื่องจากมีความเสี่ยงจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันจำนวนมาก หลังราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบอ่อนตัวลงต่อเนื่อง ส่วน บมจ.บางจากฯ (BCP) ผลประกอบการอาจลดลง ซึ่งจะกำไรหรือขาดทุนไม่มาก เนื่องจากการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจที่ดี เช่นเดียวกับ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ที่คาดว่าจะยังคงมีกำไรจากธุรกิจปิโตรเคมีสายโอลิฟินส์มาช่วยชดเชย
ส่วน บมจ.ปตท. (PTT) และ บมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) แม้จะเป็นบริษัทที่ได้รับแรงกดดันมากสุดจากราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่ปรับตัวลดลง แต่คาดว่างวดไตรมาส 3/2557 จะยังคงมีกำไรสุทธิอยู่ แต่อาจจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าก็ตาม
"ด้วยราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ ฝ่ายวิเคราะห์จึงเตรียมทบทวนปรับลดประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มพลังงานปีนี้ลงไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาท จากประมาณการเดิมทั้งปีที่จะทำได้ราว 1.93 แสนล้านบาท" นายสุทธิชัยกล่าว
นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ฝ่ายวิจัยได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของกลุ่มธุรกิจพลังงานปี 2557 ลงประมาณ 2 หมื่นล้านบาท จากประมาณการเดิมปีนี้จะทำได้ประมาณ 202,172 ล้านบาท เนื่องจากมีตัวแปรหลัก คือ ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจในกลุ่มปิโตรเลียม, ถ่านหิน, โรงกลั่น และปิโตรเคมี ที่ต้องเผชิญกับภาวะขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันและราคาพลังงานที่ลดลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบอ้างอิงตลาดน้ำมันดูไบ (ณ วันที่ 20 ต.ค. 57) อยู่ที่ระดับ 85 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ปรับตัวลดลง 23.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากช่วงสิ้นไตรมาส 2/2557 ที่อยู่ระดับ 108.99 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งถือว่าลดลงต่ำที่สุดในรอบ 4 ปี เนื่องจากอุปทาน (การผลิต) น้ำมันดิบในตลาดโลกล้นตลาด หลังจากที่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตะวันออกกลางกลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต ทำให้โอเปกมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นมาแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2555
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยกดดันด้านอุปสงค์ (ความต้องการใช้น้ำมัน) ที่อ่อนแอลงตามภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และหลายประเทศเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์
ดังนั้น จึงปรับประมาณการว่า กำไรสุทธิของกลุ่มพลังงาน ณ สิ้นปี 2557 และปี 2558 ครั้งล่าสุด (ต.ค. 57) มาอยู่ที่ 182,172 ล้านบาท ภายใต้สมมติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และ 196,224 ล้านบาท ที่ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 90 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ตามลำดับ และเนื่องจากกำไรของกลุ่มพลังงานมีสัดส่วนอยู่ถึง 30% ของกำไรสุทธิรวมของทั้งตลาด จึงส่งผลให้อัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนในงวดปี 2557 และ 2558 ลดลงจากประมาณการเดิม 2.49% เหมือนกัน
ฝ่ายวิจัยยังประเมินด้วยว่า บมจ.ปตท. หรือ PTT จะได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากราคาน้ำมันดิบโลกที่ลดลงอย่างรุนแรง และกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทและบริษัทย่อย โดยเฉพาะใน บมจ.ปตท.สผ. (PTTEP) ที่มีหุ้นอยู่ราว 65.3%
ขณะที่บริษัทย่อยในธุรกิจโรงกลั่น เช่น บมจ.ไทยออยล์ (TOP), บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.บางจาก (BCP) ต้องเผชิญกับการขาดทุนสต๊อกน้ำมันเฉลี่ยประมาณ 2-3 พันล้านบาทต่อบริษัทในช่วงไตรมาส 3/2557 ซึ่งมีผลให้ฝ่ายวิจัยอาจต้องปรับประมาณการกำไรสุทธิของ PTT ในปีนี้ลดลงเหลือ 98,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่คาดว่าจะมีมูลค่า 104,119 ล้านบาท
"ราคาน้ำมันดิบมีทิศทางขาลง ฝ่ายวิจัยจึงต้องทบทวนสมมติฐานการประมาณการกำไรอีกครั้ง ทำให้มูลค่าพื้นฐานของหุ้น PTTEP และ PTT ปรับตัวลงมา 10.25% และ 3.8% เหลือหุ้นละ 175 บาทและ 354 บาทตามลำดับ" นางสาวนลินรัตน์กล่าว