วิเคราะห์คำแถลงจาก Mazda เรื่อง Mazda 2 eco car เบนซิน 1.3 (ดีเซล 1.5 ยังไม่แน่)

กระทู้สนทนา

และแล้วข่าวช็อควงการรถก็ออกมาอีกครั้ง โดยบทสัมภาษณ์ผู้บริหาร “สุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดี จากเว็บผจก.
หลังจากที่ข่าววงในทั้งหลายเชื่อว่า Mazda 2 จะมาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 1.5 ก่อน แล้วค่อยเปิดตัวรุ่น 1.3 เบนซินทีหลัง และมาเป็นรถ eco car ทั้งคู่
แม้แต่เซลส์ก็ยังมีข่าวหลุดรอดออกมาก่อนหน้านี้สักพักว่าในการเข้าอบรมผลิตภัณฑ์ใหม่นั้น มี Mazda 2 รุ่นดีเซลขายอย่างแน่นอน
สรุปแล้วมันเป็นยังไงกันแน่ !?

ที่ผ่านมา Mazda เป็นค่ายรถนอกกระแสที่ระแวดระวังในการทำตลาดเป็นอย่างดี ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกที่
ข่าวต่างๆ ที่หลุดรอดออกมาจากวงใน ล้วนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาจนวินาทีสุดท้าย
ก่อนหน้านี้ก็เป็นกระแสข่าว Mazda 6 ที่ถึงขั้นเตรียมยอดผลิตเอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายก็หยุดแผนการเอาดื้อๆ
ตามการวิเคราะห์ข้อมูลด้านล่างดังนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

Mazda เป็นค่ายรถที่ระแวดระวังตัวเสมอ ขนาดวางแผนที่จะขาย Mazda 6 ในเมืองไทยแล้ว
มีการ forecast ยอดผลิตแล้วว่าจะส่งมาที่เมืองไทย 4,000 คันต่อปี แต่เนื่องจากพิษเศรษฐกิจ
และความกังวลเกี่ยวกับ Mazda 3 ที่ผลิตในประเทศจะถูกดึงความสนใจ ข่าววงในล่าสุดดูเหมือน
Mazda จะถอดใจไม่ขาย Mazda 6 ในไทยแน่นอน

ในมาเลย์เซีย Mazda 6 เริ่มขายก่อน Mazda 3 มีผลทำให้ Mazda 3 หมดความน่าสนใจไปพอสมควรจริง
และทำให้กระแสคนทั่วไปหันไปมอง Corolla Altis ดูสวยน่าชื่นชมมากกว่า 3 ที่ดูเหมือนลอก 6 มาทั้งดุ้น

สำหรับไทย อาจจะไม่ได้เกิดเคสเดียวกับมาเลย์เซีย แต่การที่ 3 เปิดตัวก่อน 6 ก็อาจจะส่งผลกระทบให้ คนซื้อรู้สึกว่า
6 ลอกดีไซน์จากรถที่เล็กกว่าอย่าง 3 และอาจทำให้ยอดขายชะงักเฉกเช่นเดียวกับคู่ Teana และ Sylphy
ซึ่งฝ่ายวางแผนของ Mazda เมื่อจับตาดูสถานการณ์ทั้งหมด ทำให้รู้สึกว่าไม่ขาย 6 น่าจะดีกว่า
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ดังนั้น ณ ตอนนี้สิ่งที่ชัดเจนคือ Mazda 2 เป็น eco car อย่างแน่นอน เป็นการ speed ยื่นเรื่องขอเข้า phase 2
ในขณะที่การเตรียมแผนงานทำไปก่อนล่วงหน้าแล้วเป็นปีๆ เหมือนเป็นการทำการบ้านล่วงหน้าก่อนที่คุณครูจะเริ่ม
สั่งการบ้านประมาณนั้น

หลังจากข่าวเว็บผจก.ออกมา กระแสในเน็ตก็เริ่มแปรเปลี่ยน จากชื่นชมกลายเป็นด่า ว่า Mazda ขี้ขลาด
ไม่ยอมขาย Mazda 2 ดีเซลตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้ 100 เปอร์เซ็นต์

แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่า Mazda จะยุติโครงการ Mazda 2 ดีเซลเลยแม้แต่น้อย
จากประโยคของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม “จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช” ในย่อหน้าที่หนึ่ง

" เปิดเผยมาสด้าเป็นค่ายแรกที่ผลิตรถยนต์ภายใต้โครงการอีโคคาร์ ระยะที่ 2 (Phase2) โดยมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน
และดีเซลรายแรก ซึ่งจะเริ่มผลิตวันที่ 6 พ.ย.นี้"


จากประสบการณ์ของผมบอกว่า เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพูดถูกรถยนต์ eco car ท่านหมายถึงรถ eco car สเป็คในประเทศ
เท่านั้น หาใช่สเป็คของต่างประเทศไม่ ที่ผ่านมา eco car รุ่นส่งออก มีสเป็คที่หลากหลายมาก ขายเครื่อง 1500cc ส่งออก
กันเป็นว่าเล่น เพราะการส่งออกต้องเน้นตามสเป็คที่ผู้นำเข้าต้องการเพื่อให้ได้ยอดขายนำรายได้เข้าประเทศ ดังนั้น
กระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ได้สนใจข้อกำหนดเพื่อสิ่งแวดล้อมสำหรับสเป็คส่งออก ในขณะที่รุ่นที่จำหน่ายในประเทศต้องมี
สเป็คเครื่องยนต์ การปล่อยมลพิษตามกฎ eco car เท่านั้น เพื่อลดมลภาวะภายในประเทศ ส่วนต่างประเทศไม่ได้สนใจ เรื่องมลภาวะ
เป็นเรื่องของประเทศใครประเทศมัน

และอีกกฎที่หลายคนสับสนมาตลอด ก็คือกฎที่ว่า ห้ามเป็นรถโมเดลที่เคยทำตลาดหรือผลิตที่ใดมาก่อน
คนอ่านแล้วก็เข้าใจว่าต้องเป็นรถที่ออกแบบและผลิตในประเทศไทยเป็นที่แรกเท่านั้น ห้ามเปิดตัวที่ไหนมาก่อน
ที่จริงความหมายของกฎนี้คือ ต้องเป็นรถใหม่ในประเทศ มีเงินลงทุนใหม่เข้ามาลงทุนจ้างงานในประเทศ ไม่ใช่รถรุ่นเก่า
ที่เอามาปรับปรุงใหม่ขาย เพราะนั่นจะทำให้ประเทศไม่ได้รับเงินลงทุนที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ส่วนรถรุ่นดังกล่าวจะเคยผลิตที่
ญี่ปุ่น เกาหลี อเมริกา ยุโรปมาก่อนก็ช่างมัน เรื่องของเรื่องคือกฎนี้ ต้องการได้เงินลงทุนจากต่างประเทศเยอะๆ โมเดลจะเก่าจาก
ต่างประเทศยังไงก็ไม่เกี่ยว

"รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม “จักรมณฑ์ ผาสุกวนิช” เปิดเผยมาสด้าเป็นค่ายแรกที่ผลิตรถยนต์
ภายใต้โครงการอีโคคาร์ ระยะที่ 2 (Phase2) โดยมีทั้งเครื่องยนต์เบนซิน
และดีเซลรายแรก ซึ่งจะเริ่มผลิตวันที่ 6 พ.ย.นี้"

จากประโยคดังกล่าวหมายความว่า Mazda Thailand ได้ยื่นสเป็คที่จะผลิตรุ่นดีเซลจำหน่ายในประเทศให้กับ
กระทรวงอุตสาหกรรมแล้วอย่างแน่นอน รวมไปถึงรุ่นส่งออก ดังนั้นจึงเหลือแค่ วันเวลาที่จะขายเท่านั้น หรือสุดท้าย
จะไม่ขายเหมือนเคส Mazda 6 ก็ยังเป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับภาวะการตลาดซึ่ง Mazda พร้อมจะเปลี่ยนตลอดเวลาจริงๆ

“ขณะนี้มาสด้ากำลังเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ของเครื่องยนต์ดีเซล เพื่อพร้อมเดินหน้าได้ทันที เมื่อตลาดเมืองไทยเปิดรับเครื่องยนต์
ประเภทนี้ในวงกว้าง แต่ปัจจุบันตลาดรถกลุ่มนี้ในไทยยังคงเป็นรุ่นเบนซิน เบื้องต้นจึงมุ่งเน้นเครื่องยนต์เบนซิน Skyactiv G 1.3 ลิตร
ซึ่งจะพบได้ในมาสด้า 2 โฉมใหม่ และเป็นเทคโนโลยีสกายแอคทีฟทั้งคัน ”


คำพูดนี้ของคุณสุรีทิพย์ ไม่ได้สื่อความหมายเลยว่า Mazda จะไม่ขายรุ่นดีเซลในประเทศเลยแม้แต่น้อย
แต่กลับเปิดช่องที่ว่า สามารถผลิตและจำหน่ายภายในประเทศได้ในทันที แสดงให้เห็นว่า Mazda กำลังจับตาดูสภาวะโดยรวม
ไปก่อน ส่วนตัวผมคิดว่าการที่ Mazda 2 เปิดตัวด้วยรุ่น Skyactiv G 1.3 ลิตรมาก่อน นับเป็นก้าวย่างที่ฉลาดและสุขุมรอบคอบ
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

1) การประสบความสำเร็จของ YARIS eco car
สูตรสำเร็จใหม่ล่าสุดจาก Toyota ที่วางแผนให้ Yaris ใหม่กลายเป็น eco car 1.2 แทนรุ่นเดิม 1.5
ทำให้คนซื้อรู้สึกถึงรถใหม่ ที่ดีกว่า ประหยัดน้ำมันกว่า ใหญ่กว่า และถูกกว่ารุ่นเดิม โดยฝ่ายการตลาด Toyota
ไม่ยอมใช้คำว่า eco car ในสื่อโฆษณาทุกประเภท ตรงข้ามกับ Nissan ที่ยังคงพยายามใช้คำเน้นความเป็นผู้นำรถ eco car ต่อไป
การตลาดของ Yaris ช่วยการันตีให้ Yaris ใหม่ได้ยอดขายที่ถล่มทลาย จากรุ่นเดิมที่ทำยอดขายได้ระดับงั้นๆ
เป็นการวางหมากที่ Mazda มองข้ามไม่ได้ การเปิดตัวด้วย Skyactiv G 1.3 เบนซิน น่าจะเป็นวิธีการที่ปลอดภัยว่า แน่นอนกว่า
และสามารถโกยยอดขายได้ง่ายกว่า รถรุ่นดีเซลที่ไม่สามารถกดราคารุ่นท็อปให้ต่ำกว่า 7 แสนได้เลย

2) ปัญหาด้านต้นทุนเครื่องดีเซล
แม้จะไม่เคยมีใครบอกว่าต้นทุนเครื่องดีเซลเท่าไหร่กันแน่ แต่ในกลุ่มรถเก๋งที่ผ่านมา เครื่องดีเซลสามารถ
ทำตลาดได้แค่รุ่นเดียว และเป็นรุ่นท๊อปเท่านั้น ไม่เหมือนกับรถกระบะ ที่มีภาษีรถยนต์พาณิชย์ช่วย และเป็นรถ
ทำมาหากินในประเทศทำให้มียอดผลิตมากกว่ารถเก๋งประมาณ 5-10 เท่า ต้นทุนเครื่องดีเซลจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับรถกระบะ
ดังนั้นถึงแม้จะได้ภาษีของรถ eco car มาช่วย Mazda 2 Skyactiv D 1.5 ดีเซล ก็คงจะสามารถทำตลาดได้แค่รุ่นเดียว
หรือไม่ก็แค่ 2 รุ่นเท่านั้น และราคาคงเฉียดๆ 7 แสน หรือไม่ก็ 7 แสนบาทขึ้นไป หากเปิดตัวรุ่นดีเซลก่อน จะสามารถสร้างกระแส
แบบ Yaris eco car ได้อย่างไร

3) ดีเซลมีน้อยรุ่น ความสามารถในการแข่งขันยิ่งน้อย
Mazda 2 ทั้งรุ่น 1.3 เบนซิน และ 1.5 ดีเซล น่าจะมีราคาครอบคลุมตั้งแต่ 4 แสนบาทกลางๆ ไปจนถึง 7 แสนบาทกลางๆ
โดยแบ่งหน้าที่ให้รุ่น eco car 1.5 ดีเซล ชนกับรถ 1.5 เบนซินในท้องตลาด และรุ่น 1.3 เบนซิน ชนกับรถ eco car 1.2 เบนซิน
แต่ปัญหาคือ ถ้ารุ่นดีเซลมีแค่รุ่นประมาณ 7 แสนกว่า จะเอามาสู้กับ รถ 1.5 เบนซินที่มี option ครบครันตั้งแต่ราคา 6 แสนต้นๆ ได้อย่างไร
คงประสบชะตากรรมแบบกู่ไม่กลับเหมือนกับ Fiesta Ecoboost 1.0 turbo ที่มีแค่รุ่นเดียว เพราะราคาระดับนี้ แม้แต่รุ่นท๊อปของรถตลาด
ก็ยังขายไม่ออกเช่นกัน

4) ทั้งสองเครื่องยนต์แย่งความสนใจกันเอง ทำให้ขายไม่ได้ทั้งคู่
ประเด็นนี้ sensitive และอ่อนไหวมาก เนื่องจากตลาดบ้านเราไม่เหมือนญี่ปุ่น การจะเปิดตัวทั้งสองเครื่องยนต์พร้อมๆ กัน
อาจเกิดปัญหาทำให้ลูกค้าสับสนได้ เพราะ
- ลูกค้ามักจะมองแต่รุ่นท๊อป แต่ราคารุ่นดีเซลก็โดดไปสูงมาก ทำให้รู้สึกว่ารุ่นดังกล่าวแพง
- ลูกค้ารู้สึกว่ารุ่นเบนซินมีสมรรถนะและความประหยัดสู้รุ่นท๊อปดีเซลไม่ได้ ทำให้รุ่นเบนซินซึ่งเป็นรุ่นหวังโกยยอดขายหมดความน่าสนใจ
สุดท้ายจากที่หวังไว้ว่าจะสามารถโกยยอดขายได้จากทั้งสองรุ่นเครื่องยนต์ อาจกลายเป็นขายไม่ได้เลยทั้งคู่


สรุป

Mazda ดูเหมือนจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้จะมีของดีอยู่ในมือถึง 2 เครื่องยนต์ก็ตาม และ Mazda ต้อง
เลือกอย่างใดอย่างนึงเพื่อที่จะให้ Mazda 2 ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน

การขายรุ่นเครื่องยนต์ 2 แบบพร้อมกัน อาจทำให้รุ่น 1.3 เบนซินเสียหายด้านยอดขาย ส่วนรุ่น 1.5 ดีเซลก็ขายได้น้อย

การเลือกขายรุ่น 1.5 ดีเซลก่อน แล้วขายรุ่น 1.3 เบนซินทีหลัง ดูจะเป็นกลยุทธที่เข้าท่า เหมือนจะทำให้ขายดีไปหมด
เพราะคนจะได้แห่มาซื้อรุ่นที่ถูกกว่าในภายหลัง เหมือนของดีที่ถูกลดสเป็คลงมาเล็กน้อยแล้วมาขายเทกระจาด แต่อย่าลืมว่า
รุ่นดีเซล อาจจะมีแค่รุ่นแพงๆ ระดับ 7 แสน การเอาออกมาขายเดี่ยวๆ ก็อาจจะเป็นการฆ่าตัวตายเหมือน Fiesta ecoboost

การเลือกขายรุ่น 1.3 เบนซินก่อน อาจจะทำให้ 1.5 ดีเซลที่จะตามมาทีหลัง ไม่เกิด หรือทำให้คนซื้อน้อยมาก เพราะรู้สึกว่า
เหมือนเอาของถูก มาเพิ่มสเป็คทำให้กลายเป็นรถที่ดูแพงเกิน แต่สิ่งที่ Mazda จะได้รับจากทางเลือกนี้ ที่แน่ๆ คือรุ่นเบนซิน
1.3 น่าจะขายดีมากๆ จากอานิสงค์สูตรของ Toyota Yaris eco car และสูตรของ Nissan ที่จับเอารถทั้งสองตัวถัง March/Almera
ลงตลาด eco car ทั้งหมด (จน Mitsubishi, Suzuki, Honda ต้องเดินตาม)......

.......และสุดท้าย Mazda ก็แค่รอดูว่า มีคนที่ต้องการรถเล็กเครื่องดีเซลประหยัดน้ำมันมากขนาดไหน เป็นการรอดูไปเรื่อยๆ
ซึ่งผมรู้สึกว่าคุณสุรีทิพย์พูดเป็นนัยสื่อออกมาแบบนี้ มันอาจจะขายไม่ออกเลยก็ได้แบบ Pulsar turbo ที่ออกมาทีหลัง หรือ
Altis 2.0 รุ่นที่แล้ว แต่ก็ยังมีลุ้นหากผู้บริโภคเริ่มตื่นตัวกับรถเก๋งดีเซลมากขึ้นเรื่อยๆ อาจจะพอขายได้ แต่แค่ไม่เปรี้ยงปร้าง
ซึ่งทำให้ผมเชื่อว่า Mazda สุดท้ายยังไงๆ ก็ต้องขายรุ่นดีเซล ไม่ใช่ว่าใช้แค่กระตุ้นตลาดตอนที่โมเดลเริ่มหมดอายุโรยรา แต่
เป็นการรอกระแสรถเก๋งดีเซลให้เติบโตขึ้น โดย Mazda อาจจะมีการทำตลาดให้ข้อมูลผู้บริโภคไปเรื่อยๆ ก่อน

เมื่อถึงจุดนี้ สรุปได้เลยว่า ผู้ที่เล่นกับตลาดเก๋งเล็กดีเซลจะมีเพียงแค่ Mazda เท่านั้น ไม่มีค่ายอื่นเล่นตามแน่นอนครับ
เพราะยังไงๆ มารูปการนี้ เก๋งเล็กดีเซลก็ยังไม่ใช่ตัวโกยยอดขายถล่มทลายแบบรถกระบะดีเซล ไม่ต้องถามเลยว่าจะมี
Yaris ดีเซลหรือไม่ ซึ่งตลาดบ้านเรายังไงๆ ก็ไม่เหมือนยุโรปกับอินเดียครับ

มีข้อมูล UPDATE ในความเห็นที่ 8 ครับ ไปๆ มาๆ wording ของรองประธานอาจสร้างความสับสน
และอาจจะยังคงแผนเดิมก็ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่