คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 25
ขอตอบในมุมมองที่เชื่อว่าที่คุณเล่าคือเรื่องจริงนะครับ
1. เรื่องราวของพ่อของคุณ และ ผู้ที่มีความสามารถในการรักษาโรคด้วยพลังจิตนั้น ต่างก็อยู่บนฐานของการฝึกสมาธิ(ที่พ่อคุณพยายามให้คุณทำนั่นแหละครับ)
เมื่อจิตมีสมาธิในระดับที่เป็นฌาน (อ่านว่าชาน) ก็จะสามารถนำพลังงานนั้นเพื่อไปสร้างความรู้ที่เกินปุถุชนธรรมดาจะทำได้ ตัวอย่างเช่น กรณีของพ่อของคุณ อาจจะเรียกได้ว่า ทิพยจักษุญาณ (อ่านว่า ยาน) ซี่งเป็นการสร้างความรู้ดุจมีตาทิพย์ โดยมีฐานจากการฝึกสมาธิจนถึงระดับฌานดังกล่าวแล้ว
การนำทิพยจักษุญาณไปใช้ ก็สามารถนำไปใช้ได้หลายอย่าง เช่น การดูของหาย (อย่างพ่อคุณทำ) การดูสาเหตุของปัญหาที่เกิดจากสิ่งที่ตามองไม่เห็น (กรณีที่เพื่อนคุณโดนเก้าอี้ทับเลือดไหลไม่หยุด), การตรวจดูโรคภัยไข้เจ็บ (อันนี้ เท่าที่เคยได้ยิน ผู้ที่มีญาณ จะสแกน แล้วเห็นเป็นจุดดำ ก็จะใช้พลังงานทางจิตด้านดี เช่นการแผ่เมตตา เพื่อรักษาอาการเหล่านั้น เขาเห็นจุดดำตรงไหน ก็มีโรคภัยไข้เจ็บตรงนั้น)
บางคนก็จะประยุกต์ใช้ในการทราบเหตุการณ์ในอนาคต อาจจะเอาไปดูหวย หรือไปทำนายทายทัก ทำอาชีพหมอดูไปก็มี ซึ่งถ้าหากทำเพื่ออามิสมากๆ ความสามารถพวกนี้ก็อาจจะเสื่อมได้
2. เรื่องราวแบบนี้ มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกครับ เช่น ในสามัญผลสูตร เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าอชาติศัตรู ไปพบพระพุทธเจ้า แล้วถามว่า พระภิกษุในศาสนาพุทธของพระองค์ ดีกว่านักบวชในลัทธิอื่นอย่างไร ซี่งมีส่วนนึง พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ถึงสิ่งที่เรียกว่า วิชชา 8 ประการ ซี่งเป็นผลจากสมาธิที่ทำได้ถึงระดับ ฌาน 4 ตามที่กล่าวข้างต้นครับ
วิชชา 8 ประการนี้ ยกตัวอย่างเช่น การระลึกชาติ, การถอดจิต, การดูอดีตกรรมของคนและสัตว์ว่าได้รับผลเช่นนี้ เพราะทำกรรมใดมา, การมีหูทิพย์ ได้ยินเสียงทิพย์ที่หูคนปกติไม่ได้ยิน เช่นเสียงเทวดา, การรู้ใจคนอื่น
ทั้งหมดนี้ มีกล่าวไว้แล้วในพระไตรปิฏกทั้งสิ้นครับ
กรณีคนอื่นที่อาจจะมีความสามารถคล้ายๆพ่อของคุณ อาจจะไม่ได้ทิพยจักษุญาณ แต่อาจจะสามารถสื่อสารกับสิ่งลี้ลับบางอย่างที่มีความสามารถด้านนี้ แล้วถามเอาจากสิ่งเหล่านั้น ก็มีเหมือนกันครับ แต่ฟังที่คุณเล่ามา ผมว่าลักษณะของพ่อคุณ เหมือนเป็นทิพยจักษุญาณมากกว่า
3. ตัวอย่างที่ผู้ปฏิบัติธรรม ได้พบกันบ่อยๆ คือ การไปกราบพระปฎิบัติ แล้วพบว่า ท่านพูดหรือสอน หรือดุ ตรงกับที่เราคิดไว้พอดีจนน่าตกใจว่าท่านรู้ความคิดเราได้ ซึ่งอันนี้ ก็เข้าข่าย วิชชา 8 ด้วยเหมือนกัน
4. กรณีที่คุณเจออยู่ คงต้องมองแง่ดี อย่าไปคิดแต่แง่ร้าย แต่ก็ต้องระวังด้วย อย่าให้ศรัทธาของแม่มีมากจนขาดความระมัดระวังครับ
5. ตัวคุณเอง ถือว่า ต้นดี ตรงกลางโก่ง และส่วนมาก สุดท้ายจะดีในที่สุดนะ (ต้นดีคือคุณได้พ่อที่ดี มีศีลธรรม แนะนำให้คุณทำสมาธิตั้งแต่เล็กๆ), กลางโก่ง คือ ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยจะปฏิบัติอย่างตั้งอกตั้งใจสักเท่าไหร่ แต่คนลักษณะคุณ เท่าที่ผมเคยเห็น สุดท้าย เมื่อพบว่าสิ่งที่พ่อสอนคือของจริง ก็จะรีบปฏิบัติ เพราะมองย้อนไปจะเห็นว่าตัวเองทำอะไรไว้ไม่ดีหลายอย่าง และเวลาเหลือไม่มาก ถ้าไม่เร่งทำ ก็อาจจะสายเกินไป
6. กรณีรักษาโรค ผมเคยได้ข้อมูลพวกนี้มาเหมือนกัน ว่าบางวัดมีการรักษาในลักษณะที่คุณกล่าวถึง ถ้าอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ก็หลังไมค์มาก็ได้ครับ จะส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ครับ
1. เรื่องราวของพ่อของคุณ และ ผู้ที่มีความสามารถในการรักษาโรคด้วยพลังจิตนั้น ต่างก็อยู่บนฐานของการฝึกสมาธิ(ที่พ่อคุณพยายามให้คุณทำนั่นแหละครับ)
เมื่อจิตมีสมาธิในระดับที่เป็นฌาน (อ่านว่าชาน) ก็จะสามารถนำพลังงานนั้นเพื่อไปสร้างความรู้ที่เกินปุถุชนธรรมดาจะทำได้ ตัวอย่างเช่น กรณีของพ่อของคุณ อาจจะเรียกได้ว่า ทิพยจักษุญาณ (อ่านว่า ยาน) ซี่งเป็นการสร้างความรู้ดุจมีตาทิพย์ โดยมีฐานจากการฝึกสมาธิจนถึงระดับฌานดังกล่าวแล้ว
การนำทิพยจักษุญาณไปใช้ ก็สามารถนำไปใช้ได้หลายอย่าง เช่น การดูของหาย (อย่างพ่อคุณทำ) การดูสาเหตุของปัญหาที่เกิดจากสิ่งที่ตามองไม่เห็น (กรณีที่เพื่อนคุณโดนเก้าอี้ทับเลือดไหลไม่หยุด), การตรวจดูโรคภัยไข้เจ็บ (อันนี้ เท่าที่เคยได้ยิน ผู้ที่มีญาณ จะสแกน แล้วเห็นเป็นจุดดำ ก็จะใช้พลังงานทางจิตด้านดี เช่นการแผ่เมตตา เพื่อรักษาอาการเหล่านั้น เขาเห็นจุดดำตรงไหน ก็มีโรคภัยไข้เจ็บตรงนั้น)
บางคนก็จะประยุกต์ใช้ในการทราบเหตุการณ์ในอนาคต อาจจะเอาไปดูหวย หรือไปทำนายทายทัก ทำอาชีพหมอดูไปก็มี ซึ่งถ้าหากทำเพื่ออามิสมากๆ ความสามารถพวกนี้ก็อาจจะเสื่อมได้
2. เรื่องราวแบบนี้ มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฏกครับ เช่น ในสามัญผลสูตร เป็นเรื่องราวที่พระเจ้าอชาติศัตรู ไปพบพระพุทธเจ้า แล้วถามว่า พระภิกษุในศาสนาพุทธของพระองค์ ดีกว่านักบวชในลัทธิอื่นอย่างไร ซี่งมีส่วนนึง พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสไว้ถึงสิ่งที่เรียกว่า วิชชา 8 ประการ ซี่งเป็นผลจากสมาธิที่ทำได้ถึงระดับ ฌาน 4 ตามที่กล่าวข้างต้นครับ
วิชชา 8 ประการนี้ ยกตัวอย่างเช่น การระลึกชาติ, การถอดจิต, การดูอดีตกรรมของคนและสัตว์ว่าได้รับผลเช่นนี้ เพราะทำกรรมใดมา, การมีหูทิพย์ ได้ยินเสียงทิพย์ที่หูคนปกติไม่ได้ยิน เช่นเสียงเทวดา, การรู้ใจคนอื่น
ทั้งหมดนี้ มีกล่าวไว้แล้วในพระไตรปิฏกทั้งสิ้นครับ
กรณีคนอื่นที่อาจจะมีความสามารถคล้ายๆพ่อของคุณ อาจจะไม่ได้ทิพยจักษุญาณ แต่อาจจะสามารถสื่อสารกับสิ่งลี้ลับบางอย่างที่มีความสามารถด้านนี้ แล้วถามเอาจากสิ่งเหล่านั้น ก็มีเหมือนกันครับ แต่ฟังที่คุณเล่ามา ผมว่าลักษณะของพ่อคุณ เหมือนเป็นทิพยจักษุญาณมากกว่า
3. ตัวอย่างที่ผู้ปฏิบัติธรรม ได้พบกันบ่อยๆ คือ การไปกราบพระปฎิบัติ แล้วพบว่า ท่านพูดหรือสอน หรือดุ ตรงกับที่เราคิดไว้พอดีจนน่าตกใจว่าท่านรู้ความคิดเราได้ ซึ่งอันนี้ ก็เข้าข่าย วิชชา 8 ด้วยเหมือนกัน
4. กรณีที่คุณเจออยู่ คงต้องมองแง่ดี อย่าไปคิดแต่แง่ร้าย แต่ก็ต้องระวังด้วย อย่าให้ศรัทธาของแม่มีมากจนขาดความระมัดระวังครับ
5. ตัวคุณเอง ถือว่า ต้นดี ตรงกลางโก่ง และส่วนมาก สุดท้ายจะดีในที่สุดนะ (ต้นดีคือคุณได้พ่อที่ดี มีศีลธรรม แนะนำให้คุณทำสมาธิตั้งแต่เล็กๆ), กลางโก่ง คือ ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยจะปฏิบัติอย่างตั้งอกตั้งใจสักเท่าไหร่ แต่คนลักษณะคุณ เท่าที่ผมเคยเห็น สุดท้าย เมื่อพบว่าสิ่งที่พ่อสอนคือของจริง ก็จะรีบปฏิบัติ เพราะมองย้อนไปจะเห็นว่าตัวเองทำอะไรไว้ไม่ดีหลายอย่าง และเวลาเหลือไม่มาก ถ้าไม่เร่งทำ ก็อาจจะสายเกินไป
6. กรณีรักษาโรค ผมเคยได้ข้อมูลพวกนี้มาเหมือนกัน ว่าบางวัดมีการรักษาในลักษณะที่คุณกล่าวถึง ถ้าอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ก็หลังไมค์มาก็ได้ครับ จะส่งข้อมูลเพิ่มเติมให้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยเจอพระหรือคนที่"ฝึกสมาธิ"ทำแบบนี้กับเราบ้างครับ "ผมนี่อึ้งไปเลยย"
คือผมสงสัยมานานแล้วครับ บ้านผมนับถือพุทธทั้งบ้าน คุณพ่อผมชอบนั่งสมาธิสวดมนต์ ภาวนา เกือบตลอด(ที่มีเวลาว่าง) จนท่านเสียชีวิตไปแล้ว
ท่านสอนผมให้รักษาศีล 5 อยู่ตลอดและให้ฝึกสมาธิเท่าที่จะมีโอกาส ตอนนั้นผมก็ทำบ้างไม่ทำบ้างแล้วแต่จังหวะและโอกาส
ทีนี้เรื่องมันมีอยู่ว่า ...
ย้อนนนไปเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ตอนพ่อผมยังมีชีวิตอยู่ ผมอยู่ รร.ประจำที่ต่างจังหวัด (บ้านผมอยู่กทม.) เพื่อนผมมันโดนขโมย "โทรศัพท์มือถือ"
คือผมกับเพื่อนคนนี้ค่อนข้างจะสนิทกันมาก เลยอาสาช่วยเค้าโดยการบอกว่า "เออเดี๋ยวตรูช่วยเอง เดี๊ยวตรูโทรบอกพ่อให้พ่อนั่งทางในดูให้" ตอนนั้นยอมรับว่าพูดไปเพราะความเชื่อจริงๆ [ เนื่องจาก ตอน ม.3 ผมถูกส่งไป จ.ราชบุรีเพื่อทำการเตรียมตัวสอบเตรียมทหาร (ขอเล่าไม่ละเอียดนะเดี๋ยวยาว) ผมได้เจอกับ "เจ้ากรรมนายเวรครั้งแรก !!" ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร แต่ที่รู้ๆคือ ผมอยู่ที่นั่นไม่ได้ ผมเหมือนโดนบีบให้อยู่ไม่ได้ ทั้งๆที่ผมโคตรจะอยากสอบเข้าทหารให้ได้เลย ผมอยู่ได้ไม่ถึง 7 วัน ผมต้องโทรกลับบ้าน ร้องไห้และอึดอัดมากอยากกลับบ้าน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะความลำบากแน่ๆ เพราะ รร.ประจำที่ผมอยู่ก็ไม่ได้สบายสักเท่าไหร่ เผลอๆที่นี่สบายกว่าอีก ได้นอนแอร์ห้องพิเศษ ฮ่าๆๆ (นอกเรื่องละ) เอาเป็นว่าผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนผมโทรกลับบ้าน บอกพ่อว่าอยู่ไม่ได้แล้วต้องกลับบ้านให้ได้ ขณะที่เดินทางกลับ เหมือนผมจะโดนสัตว์มีพิษกัด (น่าจะตอนจอดปั๊มน้ำมัน) เข้าที่แขนบวมมาก ในรถไม่มียาอะไรเลย พ่อผมนั่งสมาธิหลับตา เอามือจับชีพจร แล้วเป่า.. เชื่อไหม หายปวด+หายบวมดิบๆ (ใช้เวลาสักพัก)...
พอกลับมาถึงบ้านพี่ชายผมที่เป็นคนส่งเสียค่าใช้จ่ายเป็น "หมื่น" โกรธผมมาก .. แต่พ่อก็ได้อธิบายไปว่า อ๋อ พ่อดูให้แล้ว มันเจอเจ้ากรรมนายเวรรบกวน เนื่องจากชาติก่อน บลาๆๆ พ่อผมก็เล่าไป พี่ผมก็เข้าใจและหายโกรธ ผมก็ไปถวายสังฆทานในวันรุ่งขึ้น หลังจากกลับมาสภาพจิตใจผมก็กลับเปนปกติแล้ว (แต่ก็ยังไม่ get อยู่ดีว่าเกิด'ไรขึ้นวะ ..งง -..-) ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผม "เชื่อว่า" พ่อผมมีพลังพิเศษจากการนั่งสมาธิ ..] กลับมาเรื่องมือถือเพื่อนผมที่หายไป(นาย A) - -*
..
ผมก็โทรเล่าให้ฟังว่าเพื่อนคนนี้ชื่อนี้ๆ มือถือมันโดนขโมย ตอนแรกมือถืออยู่ในล๊อกเกอร์(นาย A) แล้วก็ถูกเพื่อนอีกคนขโมยไป(นายB) .. พ่อผมก็บอก ว่ามือถือถูกซ่อนไว้ที่บลาๆ (ฟูกที่นอนเตียงNo. xx จะมีรูอยู่เอามือล้วงเข้าไปจะเจอมือถือ) ตอนนั้นผมเองยังไม่รู้ตัวคนร้าย (พ่อผมบอกว่าบอกไม่ได้ว่าใครทำ เพราะอะไรผมก็ลืมไปแล้ว -*-) เผอิญ นาย B มันเนียนนั่งฟังอยู่ด้วย มันเลยไหวตัวทัน เอามือถือย้ายที่ซ่อน (ซึ่งมันย้ายจริงๆรึปล่าวก็ไม่รู้) แต่ที่ผมฟันธงว่ามันย้าย เพราะว่าเพื่อนผมมันโทรหาพ่อผมอีกแล้วบอกว่าหาแล้วไม่เจอ ช่วยเมตตามันหน่อย (มันก็ศรัทธาว่าพ่อผมต้องช่วยมันได้นะ 555+) พ่อผมก็มีเมตตา อ่ะช่วยดูให้อีก [เดธไลน์คือต้องหาให้เจอภายในวันศุกร์ (เหตุเกิดวัน พฤ) เพราะมิฉะนั้นโรงเรียนจะให้กลับบ้านสุดสัปดาห์ได้ มันคงเอามือถือไปขายแดรกเรียบร้อยแน่ หนำซ้ำมือถือมันผิดกฏ รร. ขอให้ อ.ช่วยก็ไม่ได้เดี๋ยวโดนยึด + ไม่มีนโย-บายรับผิดชอบของที่ผิดระเบียบ] เกมนี้เลยตึงมาก คืนนั้นผมเครียดมากเพราะสงสารเพื่อน เลยแอบขึ้นไปดูดหรี่บนดาดฟ้า หอพัก กับ นาย A .. ขณะนั้น พ่อผมโทรเข้ามาพอดี บอกว่า "เห็นถุงผ้าตรงริมกันสาดรึปล่าว มือถืออยู่ในนั้น !!! " เนื่องด้วยดาดฟ้ามันกว้าง เราก็ต้องใช้เวลาในการค้นหา
ในขณะนั้นก็มีเงาดำมืดแบบตัวร้ายในโคนันหยิบถุงผ้าและรีบวิ่งกลับเข้าตึกไป แน่นอนว่าเป็นนาย B ชัวร์เพราะหุ่นเตี้ยล่ำแบบนี้ไม่มีใคร (ผมคิดในใจ)
จนเพื่อนผมมันก็ไปซักถามด้วยความโมโห (เกือบโดนรุมตรีนเอาเพราะนาย B เพื่อนเยอะ) เปิดถุงผ้าก็ไม่มี แน่นอนมันคงย้ายที่ไปแล้ว(ผมคิดในใจอีกแล้ว)
เช้าวันศุกร์ นาย A มันตัดสินใจมายืมโทรศัพท์ผมตั้งแต่ 6 โมงเช้า (ผมเพิ่งตื่น แต่มันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว) ผมไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกับพ่อผมหลังจากนั้น ..พอผมลงไปข้างล่างหอประมาณ 7 โมง มันเดินมากระซิบแล้วโชว์โทรศัพท์ "เจอแล้วว่ะ พ่อนี่
.... เพื่อนๆคิดว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องลี้ลับหรือว่าคนธรรมดาก็สามารถสืบหาได้ ( แต่ถ้าเป็นผมนะ แม่รงเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรอะ บอกเลยถอดใจ)
.... สมาธิ สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรอครับ ผมสามารถฝึกได้ไหมครับ ผมควรศึกษาที่ไหนอย่างไร ผมทานเนื้อสัตว์ ไม่ได้ทานมังสวิรัติเหมือนพ่อผมถือว่าศีลขาดไหม หรือของแบบนี้มันเป็น passive skill ครับ -*-
.... พ่อผมเป็นทหารเก่า (ยุคจอมพลถนอม) อะครับ ทำเกี่ยวกับสืบสวน ส่วนใหญ่นั่งโต๊ะและมีสายข่าว.. จากจุดยืนตรงนั้น มีส่วนช่วยในการสืบหาเบาะแสอย่างไรบ้างครับ
.... จริงๆผมเชื่อไปโดยสนิทใจแล้วกับเรื่องนี้ แต่พอผ่านโลกมาเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าไม่เห็นมีใครทำได้เลย(คนใกล้ตัว) สงสัยเรื่องที่ผ่านมา มันต้องมีที่มาที่ไปแบบว่าวิทยาศาสตร์มันต้องพิสูจน์ได้สิหรือผมอาจจะพลาดขั้นตอนสำคัญไป (นาย A อาจจะคุยอะไรกับพ่อผมจนนำทางไปเจอมือถือ) ส่วนเรื่องเจ้ากรรมนายเวร พ่อผมคงพูดให้พี่ชายผมสบายใจ+หายโกรธ เพราะอุตส่าห์เสียเงินให้น้องไปเรียนแต่ผมดันงอแงอยากกลับบ้าน
..... จนกระทั่งผมได้มาเจอกับ ลูกศิษย์ก้นกุฏิของพระอาจารย์ ย. ไม่ขอเอ่ยนามนะครับ แต่ผมว่าบางคนน่าจะรู้ว่าผมสื่อถึงพระรูปไหน (เคยเข้ามาสืบประวัติ เห็นมีเคยมีข่าวฉาว) ผมจึงกลัวและอยากลองของอีกครั้ง (พ่อผมเสียแล้วนะ) ...
... ใช้เวลาพิมนานเหมือนกันแฮะ
ปล. เรื่องย่อภาคพิเศษว่า ทำไมฟะ!! นาย B มันเป็น stalker หรือไง ทำไมมันถึงรู้ทันตลอด ?? (คห.18)
ปล.2 ครั้งแรกนะที่มาพิมใน pantip ขอบคุณสำหรับพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ อิอิ..
ปล.3 เดี๋ยวหลายคนจะงงว่าเอ.. เมฺิงจะtag แพทย์ทำไม เรื่องมันมีอยู่ว่า ... (ขอเล่าต่อนะสงสัยจริงๆ )
พระอาจารย์ ส. (ขออนุญาตย่อชื่อ) ท่านเป็นพระที่เก่งด้านรักษาคนมาก .. ขอเกริ่นก่อนเลยว่า ดูไม่ over เหมือนพ่อผม แต่เก่งกว่าพ่อผม (งงมะ)
พระอาจารย์ ส. มารักษาคุณแม่ผมที่เป็นโรคหัวใจ โดนการขยายหลอดเลือด ผมนั่งดูอยู่ก็มี หลักๆ นั่งสมาธิ จุดเทียน จับชีพจร แล้วก็มีแท่งไม้แปลก คอยขูด หรือเลื่อนหาอะไรสักอย่าง เอาเป็นว่าเรื่องของแม่ผม ไม่ใช่เรื่องของผม .. เล่าไปเดี๋ยวไม่ตรงกับความจริงที่ผมรับรู้มา ..
.. ผมเป็นนักดนตรี ( กากๆ ) ที่ค่อนข้างสูบจัด ( มียำเพิ่มบ้างตามโอกาส 555+ ) ที่จบสายวิทย์-คณิต ผมเคยเรียนวิทยาศาสตร์มาบ้าง เคมี ชีวฯ นี่ของถนัดเลย (ฟิสิกส์ 0 กระจาย -*-) ผมแทบไม่หลงเหลือความเชื่อเดิมๆอีกแล้ว จนมาวันหนึ่ง ผมเล่นดนตรีจนมีอาการปวดไหล่ซ้าย ร้าวขึ้นคอ ลงสะบักหลังซ้าย หาหมอปัจจุบันเป็นว่าเล่น กินยาจนไตจะแตกอยู่แล้ว ก็ตัดสินใจจะไปกายภาพบำบัด ..
เผอิญ แม่ผมเท้าบวมหนักมาก ดูยังไงก็น่าจะเกี่ยวกับกายภาพ (ความคิดผม) พอพระอาจารย์ ส. ท่านมาดูอาการแม่ ท่านกลับบอกว่า เป็นเพราะโรคหัวใจ ... งงไปเบยผมไม่ได้เรียนแพทย์มา ก็งงกันไปว่าเห้ย ตำราไหนวะ -*-... ไป ค้นข้อมูล จึงรู้ว่า อืม มันมี effect แบบนี้ด้วยแหะ ( สงสัย ท่านคงเล่น google ด้วย ) ก็เริ่มตะหงิดๆใจเพราะทุกครั้งที่รักษา พี่ชายผมก็ถวายปัจจัย ค่อนข้างเยอะ .. อีกทั้งยังมีการสร้างวิหารถวายที่วัด แห่งหนึ่งในจ.ลพบุรี ( แอบน้อยในว่าทำไมไม่เอามาซื้อรถหรือกีต้าร์ใหม่ให้ตูฟะ ) .. แต่ท่านก็ไม่รับนะ พี่ผมก็ยัดใส่ย่ามท่านไป (ทีใช้เราไปซื้อผัก ตังทอน 10 บาท ทวงยิกๆเลย -.-)
เรื่องมันมีอยู่ว่า แม่ผมบอกให้ไปรักษากับท่านก่อนจะไปกายภาพบำบัด .. ผมก็กลัวดิ (ที่กลัวไม่ใช่กลัวอะไรนะ กลัวว่าถ้าเกิดของจริงแล้วความลับที่อุตส่าห์ปิดบังว่า สูบบุหรี่จัด / ปุ๊นบ้าง จะถูกเปิดเผย ) และแล้วพอเข้าใกล้ จับชีพจร ท่านก็พูดออกมาว่า ดูดหรี่จัดนะเรา .. [ โอเคผมเข้าใจว่าคนสูบกับไม่สูบ มันดูไม่ยาก แต่!! ก็ใช่ว่าคนที่สูบจัดกว่าผมจะเหมือนคนสูบ (เพื่อนผมบางคน
เวลาผ่านไปนานจนมาถึง ปัจจุบัน ผมรู้สึกเหมือนเป็นไซนัส วันนี้ผมก็ไปหาหมอ รพ.ให้เค้าตรวจ หมอบอกว่าผมเป็นไซนัส T-T
ซึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ 13 ที่ผ่านมา ที่บ้านผมเลี้ยงเพลพระอาจารย์ ส. แล้วท่านก็มองหน้าผมตอนผมเข้าไปกราบ แบบเหมือนโดนสแกนอ่ะ (หรือผมกลัวความผิดอะไรในใจสักอย่าง 555+) ผมไม่ได้นั่งฟังเทศน์หรือสนทนาธรรม ผมกลับห้องมานั่งเล่นเกม ... พอท่านกลับไป แม่ผมก็บอกว่าท่านพูดเรื่องเราเยอะนะ ทั้งเรื่อง ผงชูรส / บุหรี่ / หักโหมงาน ซึ่งมันทำให้ผมตัดสินใจได้ว่า ผมจะเลิกบุหรี่ เพราะแม่ผมท่านเป็นโรคหัวใจและเป็นห่วงผมมาก ( คงเชื่อ พระอาจารย์ ส. มากอะนะ )
ปล. 3 วันนี้ผมเลิกบุหรี่ได้ 7 วันพอดี ( นับตั้งแต่ ผมรู้สึกปวดไซนัส )
***อยากถามว่า ถ้าสมมุติ สมาธิไม่สามารถมอบพลังอย่างที่บางท่านได้แย้งมา การที่พระอาจารย์ ส. ใช้วิธีการต่างๆในการรักษา เป็นแพทย์ศาสตร์ใด ชีพจรมันมีผลกับอาการต่างๆของร่างกายมากน้อยเพียงใด แค่จับก็รู้หรอ มองตาก็รู้หรอ-*- เพราะผมเชื่อว่า ท่านยังต้องใช้กายเนื้อในการรักษา (ยังต้องมีการ มอง / ใช้สัมผัส /รับรู้กลิ่น ลมหายใจ บลาๆๆๆ) จนทำให้วิเคราะห์อาการของผู้ป่วยได้ การนั่งสมาธิก่อนการรักษานั้น จะเหมือนการที่ผมทำใจ(สมาธิ)ก่อนขึ้นเล่นดนตรีมั้ยนะ
และ !! ถ้าสมมุติว่า สมาธิเป็นอย่างที่บางท่านบอกว่า "พระหรือคนฝึกสมถะกรรมฐาน(สมาธิ)แล้วมีฤทธิ์เป็นเรื่องปกติที่เห็นได้กันทั่วไปในแวดวงนักปฏิบัติ" แสดงว่า ผมก็สามารถทำให้คนบางคน "น๊อคไปเลย" ก็ได้น่ะสิ ถ้าผมปฏิบัติสำเร็จ (ใช้ในทางที่ผิด) อย่างนั้นหรือปล่าว ??
จบแค่นี้แล่ะครับ ประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง แต่ตอนนี้ผมยังเข้าไม่ถึงแก่นของพุทธเลย รู้สึกว่ายากยิ่งกว่าการปั่น solo เขบ็ด 2 ชั้น ที่ 120 bpm ซะอีก
*-* คืออย่างที่บอกไป ผมกลัวที่บ้านงมงายโดนหลอกอะครับเลยอยากได้คำตอบแบบที่มันมีเหตุ-ผล ถ้าจะตอบแบบเอามัน(+อคติ) ไม่ต้องตอบอะครับมันไม่เกิดประโยชน์.. ผมยอมรับทุกความคิดเห็นได้ครับไม่โกรธเบย เช่น ถ้าคิดว่าพ่อผมโกหก .. ก็คงโกหกให้มันเกิดความสบายใจทุกฝ่าย ปกครองครอบครัวง่าย หรือการเป่าที่แผลโดนสัตว์ต่อยเป็นการทำให้ผมใจเย็นลง (ด้วยใจที่ทุกข์ร้อนเพราะบาดแผล) อีกกรณีถ้าตอบในทางพุทธ ผมก็เห็นหลายความเห็นแล้วจะไปพิจารณาแล้วศึกษานะครับ (หางอึ่งทั้งทางแพทย์และพุทธครับ) อิอิ
ปล.สุดท้าย หามือกลองเล่น acoustic หรือ band ด้วยนะครับ //ไม่เกี่ยว 555+
ขอบคุณครับ *-*
รักทุกคนนะครับ <3